ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 87-2 สังหารข้าบรรพตเยียนจือ
อาจารย์ใหญ่ที่บรรพตเยียนจือเอ่ยถึงคือผู้ใดกัน หรือว่าจะหมายถึงท่านมหาบัณฑิตทงกู่ซือ
หากเป็นเยี่ยงนี้ บรรพตทั้งแปดก็คือนักเรียนของทงกู่ซือหรือ อย่างนั้นก็เป็นความลับที่ใครก็ต่างไม่ทราบเลยทีเดียว
แต่เหตุใดต้องเรียกเขาว่าท่านอาจารย์ใหญ่ทงกู่ซือเล่า เพราะในคำเรียกอย่างเคารพนั้นมีคำว่า ‘ใหญ่’ หรือ หรือว่า…คนบรรพตทั้งแปดยังมีอาจารย์เล็กรึ
เฉินฉางเซิงและคนอื่นๆ คิดไปถึงเนื้อหาอื่นในข่าวคราว สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ในข่าวลับนั้น ว่ากันว่าการปรากฏตัวของบรรพตเยียนจือมีความเกี่ยวข้องกับใต้เท้าสังฆราชรุ่นนั้น
หรือว่า ใต้เท้าสังฆราชท่านนั้นก็คืออาจารย์ของพวกเขา
“ใช่แล้ว พวกเรามีอาจารย์สองท่าน”
บรรพตเยียนจือยืนยันในคำคาดเดาของพวกเขา
ผู้บำเพ็ญพรตทั้งหมดล้วนทราบดีถึงความสัมพันธ์ของใต้เท้าสังฆราชท่านนั้นและท่านมหาบัณฑิตทงกู่ซือ
นับตั้งแต่การชำระกระดูกไปจนถึงขั้นรวบรวมดวงดาว กฎเกณฑ์และความรู้นับไม่ถ้วนที่คนทั้งโลกเคยชินล้วนมาจากจดหมายที่ส่งถึงกันระหว่างทั้งสองท่านนั้น
หากเอ่ยถึงอำนาจและกำลังทหาร ใต้เท้าสังฆราชและท่านมหาบัณฑิตทงกู่ซืออาจจะไม่ใช่คนที่เป็นสุดยอด แต่หากเอ่ยถึงอิทธิพลทางประวัติศาสตร์แล้วละก็ พวกเขาต้องมีคุณสมบัติหนึ่งในสามเป็นแน่ หากเอ่ยถึงความเฉลียวฉลาดและความรู้ ทั้งสองยิ่งเป็นผู้นำยิ่งกว่าคนใดเสียอีก
อัจฉริยะผู้ฉลาดที่สุดมักมีความคิดที่บ้าคลั่งที่สุด
ท่านมหาบัณฑิตทงกู่ซือและใต้เท้าสังฆราชท่านนั้น กลับปิดบังทั่วทั้งโลกได้สำเร็จ ลักลอบร่วมมือกันทำเรื่องบางอย่าง
อาจะเป็นเพราะเพื่อต้องการพิสูจน์ความเป็นไปได้ถึงชีวิตอันเป็นนิรันดร์ การสืบทอดทางวิญญาณเทพ การแลกเปลี่ยนข้อมูลข้ามเผ่าพันธ์ หรืออาจเป็นเป็นเพราะว่างเกินไป
พวกเขาจึงสร้างคนบรรพตทั้งแปดขึ้น
รายละเอียดทั้งหมดหายไปอย่างสืบไม่ได้ คนบรรพตทั้งแปดเองก็ไม่รู้ มีเพียงข้อเดียวที่สามารถยืนยันได้ พวกเขามิใช่เผ่ามาร และก็ไม่ใช่เผ่ามนุษย์ และไม่ได้เป็นเลือดผสมเยี่ยงชีเจียนอย่างนั้น แต่เป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างสองเผ่าพันธุ์ หรือแม้กระทั่งอาจจะเป็นชะตาชีวิตที่อยู่เหนือสองเผ่าพันธ์ก็เป็นได้
ทุกการมีอยู่ล้วนมีความหมาย หรือจะกล่าวได้ว่าทุกการมีอยู่ล้วนต้องไปหาความหมายของตน หลังจากนั้นก็มอบมันให้แก่ตนเอง
ท่านมหาบัณฑิตทงกู่ซือและใต้เท้าสังฆราชทยอยสิ้นไป
คนบรรพตทั้งแปดจากสวนผลไม้ไป มายังโลกมนุษย์
พวกเขาเริ่มครุ่นคิดถึงเรื่องนี้
หากว่ากันตามความฉลาดของพวกเขา ล้วนไม่สามารถคาดเดาถึงความคิดที่แท้จริงของอาจารย์ทั้งสองได้ ยิ่งไม่อาจสัมผัสถึงเศษเสี้ยวของชีวิตอันเป็นนิรันดร์หรือจิตวิญญาณได้เลย
สุดท้ายพวกเขาก็ได้ข้อสรุปหนึ่ง
อาจารย์ทั้งสองท่านสร้างตนเพื่อพิสูจน์ว่าเผ่ามนุษย์และเผ่ามารสามารถอยู่ร่วมกันได้ น่าจะอยู่ด้วยกันได้อย่างสงบสุข
พวกเขาเองก็คือสัญลักษณ์แห่งความสงบสุข
บรรพตเยียนจือเอ่ย “เป้าหมายของพวกเราคือความสงบสุขของโลกใบนี้ ก่อนที่ความสงบสุขสุดท้ายจะมาถึง พวกเราหวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ว่าเผ่าเทพและเผ่ามนุษย์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแข็งแกร่งกว่ากัน และทำให้เกิดอันตรายจนทำให้เผ่าพันธุ์วอดวายได้ ดังนั้นเมื่อฝ่ายหนึ่งรุ่งเรือง พวกเราก็จะช่วยอีกฝ่ายนั้น”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ดังนั้นในปีเหล่านั้น พวกท่านจึงนำทัพไปรบกับจักรพรรดิไท่จง หลังจากนั้นจู่ๆ ก็หายไป”
บรรพตเยียนจือเอ่ย “ถูกต้อง”
“ยามเผ่ามารเรืองอำนาจพวกท่านไปอยู่ที่ใดเล่า เมื่อยามลั่วหยางถูกล้อมเมืองเล่า พวกท่านก็ไปอยู่ที่ใด”
สวีโหย่วหรงจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น เสียงนางเย็นชายิ่งนัก
บรรพตเยียนจือเอ่ย “เผ่ามนุษย์ในขณะนั้นยังมีผู้แข็งแกร่งอีกมากมาย ไม่มีอันตรายจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์”
สวีโหย่วหรงเอ่ย “ขอเพียงไม่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เผ่ามนุษย์ถูกเผ่ามารทรมานดั่งสัตว์เดรัจฉาน มองเป็นอาหาร พวกท่านรู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่เป็นไรหรือ”
บรรพตเยียนจือเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนเอ่ย “ก่อนหน้านี้บอกแล้วว่าเมื่อยามพวกข้ายังเยาว์ก็พบเจอบทละครพื้นเมืองของเผ่ามนุษย์มามากมาย บทละครเวทีในเมืองเสวี่ยเหล่าก็ด้วย อันหลังคือท่านอาจารย์ใหญ่ที่นำพวกเราเข้าไปดูในโรงละคร อันก่อนหน้าคือท่านอาจารย์เล็กส่งมา ระหว่างนี้สุดท้ายยังคงมีการลาจาก”
พวกเขาเกิดในเมืองเสวี่ยเหล่า เติบโตในเมืองเสวี่ยเหล่า แน่นอนว่าความรู้สึกที่มีต่อเผ่ามารต้องลึกซึ้งมากอยู่แล้ว
โดยเฉพาะเมื่อกาลเวลาผันผ่าน ความรู้สึกผูกพันที่มีต่อเผ่ามนุษย์นั้นจึงอ่อนลงบ้าง ถึงแม้ว่าในกายของพวกเขาจะมีโลหิตของมนุษย์ไหลเวียนแต่มันจะไม่จางไป
“ดังนั้นการมีอยู่ของพวกท่านไม่มีความหมายใดเลย สำหรับเผ่ามารแล้วพวกท่านคือกำแพงหญ้าที่พลิ้วไหวตามสายลม คิดว่าไม่ว่าจะเป็นราชามารเฒ่าหรือว่าราชามารในตอนนี้ล้วนระแวดระวังต่อพวกท่านอย่างหาใดเทียบ ข้าคิดแม้กระทั่งว่าราชามารเฒ่าน่าจะสังหารใครหลายคนในพวกท่านไปเสีย แต่สำหรับเผ่ามนุษย์แล้ว พวกท่านจะต่างอะไรกับคนชุดดำเล่า ล้วนเป็นพวกทรยศทั้งนั้น”
เสียงของสวีโหย่วหรงสงบนิ่งยิ่งนัก คำที่กล่าวมามีแรงสังหารแกร่งมาก
หวังผ้อและเซียวจางลอบสบตากัน ไม่รู้ว่าควรเอ่ยคำใด
สุดท้ายแล้วเรื่องจริงทำร้ายคนเสมอ
เห็นได้ชัดเลยว่า สวีโหย่วหรงพูดถูกในเรื่องที่คนบรรพตทั้งแปดต้องประสบเมื่ออยู่ในเผ่ามาร
บรรพตเยียนจือเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว “พวกข้าไหวเอน แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกข้าเป็นคนทรยศ! อย่าเอาพวกเราไปเทียบกับคนชุดดำ!”
สวีโหย่วหรงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที นางชี้ไปทางเหนือก่อนเอ่ย “ในรัตติกาลนั้นมีอะไรกันแน่”
บรรพตเยียนจืองงงวยก่อนเอ่ย “นี่มันเวลาใดแล้ว จะเอ่ยขึ้นอีกทำไมกัน”
สวีโหย่วหรงยกมุมปากขึ้น ก่อนเอ่ยอย่างดูแคลน “นี่มันเวลาใดแล้ว เผ่ามารยังรบกันภายในอีกหรือ ไม่สูญสิ้นเผ่าพันธุ์ก็แปลกแล้ว”
สีหน้าบรรพตเยียนจือยุ่งยากนัก
“เห็นได้ชัดว่านี่เป็นแผนชั่วของคนชุดดำ เหตุใดต้องปกปิดแทนพวกเขาด้วย”
สวีโหย่วหรงมองไปยังเขาก่อนเอ่ยถาม “ผู้คุมกฎเผ่ามารหรือ”
บรรพตเยียนจือลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนพยักหน้า
สวีโหย่วหรงพยักหน้า ก่อนเอ่ย “ข้าไม่มีอะไรจะถามแล้ว”
จวบจนเวลานี้ หวังผ้อถึงได้เข้าใจว่านางกำลังทำอะไร นับถือนางยิ่งนัก
เขาหันกลับไปมองบรรพตเยียนจือก่อนเอ่ย “ทางที่ดีท่านต้องให้พวกเขาไปไกลสักหน่อย”
ที่เขาเอ่ยถึงคือบรรพตจิ้งพัวและบรรพตอีชุน
เปลวไฟสงครามนั้นไร้ปรานี มันจุดชนวนไปทั่วทั้งดินแดน แม้แต่แคว้นต้าซีก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
บรรพตเยียนจือเอ่ย “พวกเขาจะไปทะเลยวนไห่อันไกลโพ้น”
เรื่องราวของคนบรรพตทั้งแปดจบลงแล้วจริงๆ
ภารกิจทางประวัติศาสตร์ที่พวกเขามอบให้ตนเองสิ้นสุดลงแล้ว
คำกล่าวนี้ของบรรพตเยียนจือหมายถึงยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว
ไม่ใช่การพ่ายแพ้ในคืนนี้ แต่เป็นการพ่ายแพ้ของทั้งเผ่ามาร
เมื่อยามที่สงครามนั้นยังไม่ได้เริ่ม เขาก็ยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว
หากประสงค์จะเอาชนะเทือกเขาลูกหนึ่ง ก่อนอื่นต้องทะลวงแนวเทือกเขาก่อน
เซียวจางก็ทำอย่างนี้เอง
พลังที่แท้จริงของเทือกเขา อยู่ที่แนวเทือกเขา
ความต่างระหว่างหน้าผาที่สูงต่ำ การเปลี่ยนแปลงของเส้นสูงต่ำของเทือกเขา ล้วนอยู่ที่แนวเทือกเขา
พลังยิ่งใหญ่ในใต้หน้า กลับอยู่ที่โชคชะตาของแต่ละเผ่าพันธุ์
พันปีมานี้โชคชะตาของเผ่ามนุษย์รุ่งโรจน์นัก
จักรพรรดิไท่จง จักรพรรดิองค์ก่อน จักรพรรดินีเทียนไห่ ล้วนสามารถเรียกได้ว่าเป็นนักปกครองชั้นยอดเลย
ที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาล้วนเสียชีวิตเมื่อคราวที่ต้องเสียชีวิต เหลือเพียงความทรงจำที่ดีไว้ให้แก่ราชวงศ์ต้าโจว
อาทิเช่นการร่วมพันธมิตรกับเผ่าปีศาจ หรืออาทิเช่นการสร้างเส้นทางเชื่อมโยงสิบเจ็ดเมืองของด่านยงเสวี่ยและด่านหลานกวน อาทิเช่นจุดบรรจบของทิศเหนือและใต้
ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเองก็เป็นจักรพรรดิที่ดี
เขาไม่ออกจากวังเลย แต่กลับปกครองทั้งใต้หล้าได้ ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาลติดต่อกันสิบกว่าปี ใต้หล้าสงบสุข คิดจริงหรือว่าเป็นเพราะฟ้าดินทรงเมตตา
เมื่อเทียบกับเผ่ามนุษย์แล้ว หลายพันปีมานี้ดวงชะตาของเผ่ามารกลับตกต่ำจนถึงขีดสุด
ความสามารถของราชามารพระองค์ก่อนงดงามอย่างถึงที่สุด เป็นวีรบุรุษที่แท้จริง หรืออาจจะเรียกได้ว่ายิ่งใหญ่เลยก็ว่าได้
หากว่าเขาตายเร็วกว่านี้หน่อยละก็
น่าเสียดายที่ ราชามารองค์นี้มีชีวิตยาวนานเหลือเกิน
เขาอายุมากกว่าจักรพรรดิไท่จง เคยเรียกขานว่าพี่น้องกับจักรพรรดิไท่จู่ด้วยซ้ำ
แต่เมื่อจักรพรรดิไท่จู่สิ้นแล้ว จักรพรรดิไท่จงสิ้นแล้ว จักรพรรดิเกาจงสิ้นแล้ว เขายังไม่สิ้น เขายังไม่ยอมตาย
น้ำที่ไหลจึงจะถือว่าไม่ใช่น้ำเน่า ราชามารปกครองเมื่อเสวี่ยเหล่ามานานเกินไป ทั่วทั้งเผ่ามารล้วนมีแต่ไอสังหาร
สายน้ำที่เคลื่อนไหลไม่อาจส่งกลิ่นเหม็น วันเวลาที่ราชามารปกครองเมืองเสวี่ยเหล่านั้นยาวนานเกินไป ทั้งเผ่ามารจึงล้วนมีกลิ่นอายแห่งความตายเข้มข้น
ที่น่ากลัวไปกว่านั้นก็คือ ร่างกายเลือดเนื้อของราชามารเฒ่ายังอยู่ แต่จิตวิญญาณค่อยๆ เน่าตายเสียแล้ว
อาจะเป็นเพราะเผชิญหน้ากับความตายมายาวนาน เขาแทบจะไม่มีแก่ใจมาใส่ใจการปกครองเลย เอาเวลาส่วนใหญ่ไปให้กับการฝึกหลอมสังขารมารและจิตวิญญาณเทพ
เขาต้องการรักษาบาดแผลเก่าในปีนั้น อยากบรรลุสู่ขั้นมหาอิสระในตำนาน เขาอยาก…มีชีวิตนิรันดร์
ดังนั้นในปีนั้นเขาจึงเสี่ยงชีวิตเข้าไปในเทือกเขาหานซาน อยากกินเฉินฉางเซิงเสียง จึงตกอยู่ในแผนการของซางสิงโจว และได้ประมือกับจักรพรรดิไป๋ตี้บนทุ่งหิมะเสียจนสะเทือนฟ้าดิน ได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาจึงได้เผยช่องโหว่ออกมา ถูกล้มล้างโดยคนชุดดำและผู้คุมกฎเผ่ามารที่ร่วมมือกัน หลังจากนั้นก็ถูกบุตรชายแท้ๆ บังคับจนตกลงสู่เหวลึก
สุดท้ายแล้ว เขาเสียชีวิตบนเทือกเขาหิมะ ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นใด ก็เป็นเพราะเขาอยากมีชีวิตอยู่เกินไปนั่นเอง
ยังคงเป็นคำพูดก่อนหน้านี้ เสียดายนัก น่าเสียดายจริงๆ เขาตายช้าไปมากนัก
หากเขาตายเร็วเยี่ยงจักรพรรดิไท่จง ชนชั้นสูงของเผ่ามารอาจเปลี่ยนโฉมหน้าได้ ต่อให้อ่อนแอเพียงใด แต่เวลาที่จะรุ่งเรืองกลับมากลับจะมีมากกว่า
พูดไปพูดมาก็ล้วนเป็นโชคชะตา
นี่คือโชคชะตาของราชามาร และก็คือโชคชะตาของเผ่ามารเช่นกัน
คืนนี้คือโอกาสสุดท้ายของเผ่ามารแล้ว คนบรรพตทั้งแปดประสงค์จะท้าลิขิตพลิกโชคชะตา กลับไม่สำเร็จ
จนตอนนี้ สถานการณ์ในใต้หล้าสงบนิ่งแล้ว กำลังส่วนมากของเผ่ามารสูญสิ้นไปแล้ว
“ผู้หญิงหนอผู้หญิง…”
“ผู้อาวุโสหนอผู้อาวุโส…”
แสงดาวสาดส่องใบหน้าบรรพตเยียนจือ ซีดขาวยิ่งนัก
ริมฝีปากของเขาก็ซีดขาวเช่นกัน มันสั่นเทา เหมือนกับกองหิมะที่ทลายไปก่อนหน้านี้
“สังหารข้าบรรพตเยียนจือ นี่ทำให้ข้าไม่สบายใจนัก”
เมื่อเอ่ยคำนี้จบ เขาหลับตาลง เสียชีวิตไปเช่นนี้