ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 88-2 คืนที่ยี่สิบเก้า
ลานกว้างอยู่ด้านข้างของภูเขาด้านหลังเทือกเขาสีเขียว มีทุ่งหญ้าผืนหนึ่งอยู่ด้านหน้า ดูเหมือนผ้าห่มผืนงามภายใต้แสงดาว
มีถนนสายเล็กๆ ที่ทอดไปสู่ความลึกของทุ่งหญ้า มันน่าจะถูกใครบางคนเหยียบจนเป็นทางเดิน และดูเหมือนด้ายสีขาวที่ตกลงบนผ้าสักหลาด
เจ๋อซิ่วอยู่ที่นี่มาหลายปี แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้แต่งงานกับชีเจียน แต่ทั้งเทือกเขาหลีซานก็ล้วนยอมรับแล้ว
เพียงแต่ผู้ใดก็ไม่สามารถติดต่อซูหลีได้ ดังนั้นเรื่องนี้จึงต้องหยุดไว้ตรงนี้ชั่วคราว
เจ๋อซิ่วยังคงเงียบขรึมอย่างนั้น เส้นสายบนใบหน้าอ่อนโยนไปมาก แขนเสื้อและขากางเกงไม่ได้สั้นอีกต่อไป[1]
ทุกสองสามวันเขาจะไปยังพรรคกระบี่หลีซานเพื่อฟังเสียงกระบี่ โรคของเขาดีขึ้นมากแล้ว แม้ว่าจะไม่หายขาด แต่ก็ไม่กำเริบมาหลายปีแล้ว
ระดับขั้นก็พัฒนาอย่างรวดเร็ว ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิต้นท้อที่อยู่นอกรั้วสนามจะบานในชั่วข้ามคืน เขาเองก็บรรลุถึงจุดสูงสุดของขั้นรวบรวมดวงดาวแล้ว
เมื่อรวมกับความสามารถพิเศษที่มาจากเผ่าลูกครึ่งหมาป่าและมนุษย์แล้ว ความสามารถในการรบนับว่าน่ากลัว กวนเฟยไป๋และเหลียงปั้นหูไม่ถือเป็นคู่ต่อสู้ของเขาอีกต่อไป ไป๋ไช่เองรับกระบวนท่าเขาได้เพียงสามกระบวนท่าก็แย่แล้ว หรือกระทั่งเหล่าผู้อาวุโสแห่งสำนักกระบี่เหล่านั้น เมื่อต่อกรแล้ว เขาล้วนไม่เสียเปรียบเลย
จากเขาหลีซานมาที่ราบทุ่งหญ้าผืนนี้ ต้องผ่านถนนกระบี่บนเทือกเขาสีเขียวสายนั้น ยามสว่างมักมีผู้อาวุโสและเหล่าศิษย์ต่างๆ มาฝึกกระบี่ที่นี่ เมื่อตกดึก ทุ่งหญ้าแห่งนี้กลับเงียบสงัดไร้ผู้คน มีเขาและชีเจียนและยังมีแม่นางคนหนึ่งที่อยู่บนต้นไม้ในป่าลึก
เมื่อมองไปยังต้นไม้ใหญ่ในระยะไกล ดวงตาของเจ๋อซิ่วหรี่ลงเล็กน้อย ดวงตาของเขาคมขึ้นเล็กน้อย
ในทุ่งหญ้าที่ไร้รากนี้ มีต้นไม้ใหญ่เช่นนี้หรือ นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก
ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้เดิมทีต้องใช้คนถึงสิบคนจึงจะโอบล้อมเอาไว้ได้ ผิวของมันเรียบลื่นเหมือนกับไม่มีเปลือกไม้เลย มีกิ่งก้านน้อยมาก ปริมาณใบไม้ก็ไม่สมดุลกับน้ำหนักของต้นไม้เลย จุดสูงสุดจึงได้ดูโล่งๆ หากมองจากระยะไกลดูเหมือนดาบเล่มหนึ่ง
เดินไปถึงใต้ต้นไม้นั้น เจ๋อซิ่วเงยหน้ามองไป
“ท่านมาแล้วหรือ”
“ท่านมาแล้ว!”
ราวกับรับรู้ได้ถึงสายตาของเขา สองเสียงดังขึ้น
สองเสียงนั้นไม่มีก่อนหลัง ดังขึ้นพร้อมกัน ระหว่างนั้นกลับแยกจากกันอย่างชัดเจน ไม่มีทางฟังเป็นเสียงคนคนเดียวแน่นอน
มีเสียงหนึ่งกังวาน เต็มไปด้วยพลังวิญญาณ น้ำเสียงประหลาดใจมาก
อีกเสียงหนึ่งนุ่มนิ่มอย่างมาก ทั้งยังแหบพร่า ฟังดูแล้วเกียจคร้านมาก
สายลมรัตติกาลพัดมา และแสงสีครามกำลังไหลผ่าน สตรีสองนางก็ถลาลงข้างๆ เจ๋อซิ่ว
ทั้งสองสวยมาก แต่การแต่งตัวและลักษณะการแต่งกายของพวกนางแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
คนหนึ่งสวมอาภรณ์ธรรมดา ทั้งตัวนางปกปิดมิดชิด ไม่มีอะไรโผล่ออกมาเลย ไม่ทาชาดที่แก้ม หน้าสดไม่ผัดแป้ง งดงามอย่างถึงที่สุด นางมองไปยังเจ๋อซิ่วด้วยดวงตาเบิกกว้าง แววตาไร้เดียงสาน่ารัก มือทั้งสองข้างจับแขนเสื้อของเจ๋อซิ่วเอาไว้อย่างระมัดระวัง
สตรีอีกนางแต่งกายด้วยชุดสีแดง มีผมสีดำกระจัดกระจายทั้งแผ่นหลัง และดูเปียกเล็กน้อย คิ้วของนางงดงามดั่งภาพวาด ขนตาของนางกะพริบเบาๆ นางมีลักษณะเด่นของตัวเอง นางโถมกายสู่อ้อมกอดของเจ๋อซิ่ว ยอดอกแสนนุ่มนิ่มบดเบียดเข้าหาเจ๋อซิ่วเหมือนไม่ตั้งใจ
คนหนึ่งก็กินใจ อีกคนก็ยวนใจ คนหนึ่งบริสุทธิ์ผุดผ่อง อีกคนก็เอาอกเอาใจ หากเป็นชายอื่นบนโลก คงต้านทานความเย้ายวนนี้ไม่ไหวแน่
เจ๋อซิ่วไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง และไม่มีความลังเลหรือแม้แต่ความเกลียดชังเหมือนสุภาพบุรุษผู้มีศีลธรรม
เขาไม่ใช่สุภาพบุรุษผู้มีศีลธรรม และเขารู้จักสตรีสองนางนี้ ทั้งที่รู้ว่าพวกนางสวย ทว่าไม่ใช่คนจริง แต่เป็นวิญญาณ
พวกนางคือปีกสองข้างของหนานเค่อ ชื่อฮว่าชุ่ยและหนิงชิว
บนเทือกเขาหิมะในปีนั้น หนานเค่อได้รับบาดเจ็บสาหัส อาการกำเริบ ปีกทั้งสองข้างหายไป ต่อให้ปรากฏออกมาก็ไม่สามารถกลายเป็นมนุษย์ได้
พวกนางไม่ปรากฏขึ้นอีกเลยจนกระทั่งคืนหนึ่งไม่นานมานี้ และตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมาเจ๋อซิ่วมักจะมาที่ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้
ปีกแสงโบกสะบัดอย่างไม่มีวี่แวว ฮว่าชุ่ยและหนิงชิวก็โผบินไปกับเจ๋อซิ่ว
ในสายตาของเจ๋อซิ่ว พื้นผิวเรียบของต้นไม้ใหญ่ดูเหมือนทางเท้าที่เคลื่อนไปข้างหลังอย่างต่อเนื่อง
หลายสิบจั้งที่ผ่านไป ก็มีกิ่งก้านใบเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ใบไม้ก็มากขึ้นเช่นกัน ความเขียวขจีพรั่งพรูมากขึ้น เหมือนมันอุดมสมบูรณ์ขึ้นมาก
มีคนสร้างบ้านบนต้นไม้ มีระเบียงกว้างสามฉื่ออยู่ข้างหน้า หากยืนอยู่ที่นั่น น่าจะสามารถเห็นพระอาทิตย์ตกดินบนทุ่งหญ้าอันงดงาม
เจ๋อซิ่วเดินเข้าไปในบ้านต้นไม้
หนานเค่อนั่งยองๆ บนพื้น มือซ้ายจับเข่า วางศีรษะบนเข่า ถือกิ่งไม้ไว้ในมือขวาและวาดภาพบางอย่างลงบนพื้น
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า นางก็เงยหน้าขึ้น และมองไปยังเจ๋อซิ่วเอ่ยว่า “เจ้ามาแล้ว”
นี่เป็นประโยคบอกเล่า ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ เช่นเดียวกับเสียงของนาง ยังคงตรงไปตรงมาเหมือนเดิม ไร้ซึ่งอารมณ์แปรปรวนใด
ระยะห่างระหว่างดวงตาของนางยังคงกว้างอยู่เล็กน้อย และสีหน้าของนางก็ยังดูเฉื่อยชาเล็กน้อย แต่ก็ดีกว่าในปีนั้นมาก
เพลงกระบี่ดนตรีกระจ่างใสของสำนักกระบี่หลีซานนั้นทรงพลังจริงๆ นอกเหนือจากโรคของเจ๋อซิ่วแล้ว ยังมีประโยชน์กับนางอย่างมากอีกด้วย
เจ๋อซิ่วไม่ได้ทักทายใดกับนาง เขาเอ่ยถามตรงๆ ว่า “เจ้าคิดดีแล้วหรือยัง”
เนื่องจากมันตรงเกินไป ดูเหมือนจะทื่อไปบ้าง และเข้าใจได้ว่าเย็นชาก็ได้
หนานเค่อเอ่ยว่า “เจ้าถามข้าติดกันมายี่สิบเก้าคืนแล้ว”
เจ๋อซิ่วเอ่ยว่า “เจ้ายังมีเวลาอีกหนึ่งวัน”
หนานเค่อเอ่ยว่า “ข้ายังไม่ได้คิด”
เจ๋อซิ่วเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “หากพรุ่งนี้ยังเป็นคำตอบนี้ ข้าจะสังหารเจ้า”
หนานเค่อเอ่ยว่า “หากเจ้าระแวงข้า ก็ควรแจ้งไปยังคนของสำนักกระบี่หลีซาน ร่วมมือกับพวกเขาสังหารข้า เหตุใดจึงต้องมาถามข้าด้วยคำถามเดิมทุกคืน”
ใช่ นางได้สติแล้ว เมื่อยี่สิบเก้าวันก่อนหน้านี้
นั่นคือในคืนนั้นเอง ที่ปีกของหนานเค่อโผล่ขึ้นมาอีกครั้งในที่ราบทุ่งหญ้า นำพาแสงสีเขียวแปลกตาสายหนึ่งมาด้วย
เจ๋อซิ่วมองแสงสีเขียวนั้น และรับรู้ได้ถึงเรื่องนี้ จึงมาที่ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้และถามคำถามกับนางหนึ่งข้อ
จนถึงคืนนี้ หนานเค่อก็ยังไม่สามารถให้คำตอบที่เขาต้องการได้
“เฉินฉางเซิงงมอบเจ้าให้ข้า และข้ามีหน้าที่ดูแลเจ้า ข้าไม่หวังให้เจ้าตาย”
เจ๋อซิ่วเอ่ยว่า “และเจ้าเป็นคนสนิทของนาง หากเจ้าตายที่เขาหลีซาน นางจะต้องเศร้ามาก”
หนานเค่อนำกิ่งไม้วางบนพื้น ก่อนเอ่ยว่า “แต่สุดท้ายเจ้าก็ยังจะสังหารข้า”
เจ๋อซิ่วเอ่ยว่า “เจ้าอยู่ที่นี่ต่อได้”
นี่คือคำตอบที่เขาต้องการได้ยินจากหนานเค่อ
หนานเค่อมองไปในรัตติกาลเงียบๆ ก่อนเอ่ยว่า “เผ่ามนุษย์จะเปิดศึกแล้ว แน่นอนว่าข้าต้องกลับไป”
แม้ว่าความเป็นศัตรูระหว่างนางกับราชามารในปัจจุบันนั้นลึกล้ำราวกับทะเล แต่นางก็ยังเป็นองค์หญิงของเผ่ามาร
“กลับไปถึงเมืองเสวี่ยเหล่า เจ้าก็เป็นศัตรู”
เจ๋อซิ่วเอ่ยว่า “ดังนั้นข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไป แม้ว่าอยากสังหารเจ้าก็ตาม”
หนานเค่อเอ่ยว่า “ข้าจะคิดอีกที”
น้ำเสียงของนางนิ่งมาก ไม่มีอารมณ์แปรปรวน และไม่มีอารมณ์ใดๆ
เจ๋อซิ่วมองนางนิ่งๆ พลันเอ่ยว่า “ได้”
หลังจากพูดเช่นนี้เขาก็เดินออกไปนอกบ้านต้นไม้
ทันใดนั้นกิ่งไม้บนพื้นก็กลายเป็นสีดำไหม้เกรียม และจากนั้นก็กลายเป็นเถ้าถ่าน
ระหว่างชานนอกบ้าน ปีกแสงสีเขียวสองปีกกำลังขยับ พร้อมจะเปิดการโจมตีอันน่าประหลาดใจได้ทุกเมื่อ
มองไปยังเงาเบื้องหลังของเจ๋อซิ่ว สีหน้าของหนานเค่อไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด เหมือนมองไปยังคนตายคนหนึ่งอย่างนั้น
——
[1] 折袖 (เจ๋อซิ่ว) หมายถึง พับแขนเสื้อให้สั้นลง