ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 89 การจากลาที่ไม่รู้อะไรเลย
หนานเค่อแทบจะไม่คาดหวังให้หญิงรับใช้ทั้งสองนำความลำบากอะไรไปให้เจ๋อซิ่ว
นางต้องการเพียงให้หญิงรับใช้ทั้งสองเปิดฉากการต่อสู้
ในกิ่งไม้ที่ลุกไหม้เป็นผุยผงโดยไร้อัคคีนั้นมีพิษ ในขณะเดียวกันก็จะเป็นตัวเริ่มค่ายกลสังหารบนระเบียงเช่นกัน
หลังจากนั้น นางเองก็เตรียมแผนสำหรับเจ๋อซิ่วไว้ถึงยี่สิบเก้าแผน
นี่คือการโจมตีที่เตรียมตัวมานานแล้ว
หากว่ากันตามความสามารถของหนานเค่อ การโจมตีนี้ไม่มีช่องโหว่ใดๆ รายละเอียดทุกอย่างสมบูรณ์แบบยิ่งนัก
ขอเพียงเจ๋อซิ่วไม่ได้เตรียมการล่วงหน้า ก็จะต้องถูกนางโจมตีแน่ หลังจากนั้นก็จะถูกนางสังหาร
ต่อให้ตอนนี้เขาเป็นผู้แข็งแกร่งระดับยอดสุดของขั้นรวบรวมดวงดาวแล้วก็ตาม ต่อให้เมื่อยามเล็กเขาได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญการรบที่สุดก็ตาม
แต่ที่สุดแล้วเจ๋อซิ่วไม่คิดเลยหรือว่าหนานเค่อจะลอบโจมตีกะทันหัน
ปลายด้านหน้าของรองเท้าหนังข้อสูงของเขาแยกออก เผยให้เห็นกรงเล็บอันแหลมคมวาววับ
ทันใดนั้นร่างของเขาก็ใหญ่ขึ้น ผมบนใบหน้าที่เผยออกมานอกเสื้อผ้าของเขาก็ยืดออกเหมือนเข็มทองแดง
ลมหายใจของเขาหอบแรงขึ้นหลายครั้งในเวลาอันสั้น
เขาไม่ได้ออกจากบ้านต้นไม้ เขาบ้าคลั่งขึ้นโดยไม่ลังเล จากนั้นก็รวบรวมกำลังทั้งหมด พุ่งโจมตีเข้าใส่หนานเค่อ!
เขารับรู้กับดักเหล่านี้อย่างไรนะหรือ
เมื่อเห็นแสงและเงาของกรงเล็บหมาป่าอันแหลมคมที่แหวกผ่านมาในอากาศ หนานเค่อก็ดูสับสนเล็กน้อย
ในช่วงเวลาต่อมา นางได้ปัดอารมณ์เหล่านั้นออกไป ดวงตาของนางวาบประกาย ราวกับแสงจันทร์ในคืนที่หิมะตก
จันทร์กระจ่างสะท้อนใบไม้นอกบ้าน และถูกย้อมเป็นสีเขียวทันที
แสงสว่างส่องผ่านกำแพงเข้ามายังเบื้องหลังนาง ก่อปีกแสงสองสาย และเริ่มโบกสยาย
ในบ้านต้นไม้แคบๆ หนานเค่อกลายเป็นเงาสายหนึ่ง เคลื่อนที่ต่อเนื่องกันหลายสิบครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีของเจ๋อซิ่ว
บ้านต้นไม้ไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไป และท่ามกลางเสียงแตกหักอย่างรุนแรง มันแหลกละเอียดเป็นหมื่นชิ้น และตกลงมาราวกับสายฝน
ใบไม้สีเขียวบนยอดไม้ก็ร่วงหล่น เหมือนกับสายฝนอย่างยิ่ง
ท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำลงมาของใบไม้และเศษซากแตกละเอียดร่างสองร่างกำลังร่วงลงมา
เสียงปะทะกันที่สองครั้งดังขึ้นต่อเนื่อง ก่อนตกกระแทกบนพื้นอย่างแรง โคลนกระเด็นแล้วก็ตกลงมา
บนอาภรณ์ของเจ๋อซิ่วเต็มไปด้วยบาดแผล เรียบเนียนอย่างมาก และย้อมไปด้วยสีเขียวน่าสยดสยอง
บางบาดแผลค่อนข้างลึก มีโลหิตไหลออกมา สีแดงและสีเขียวผสมปะปน ดูแล้วประหลาดนัก ทั้งยังดูน่าสะอิดสะเอียน
หางนกยูง คืออาวุธที่น่าหวาดกลัวที่สุดของหนานเค่อ ต่อให้เป็นเฉินฉางเซิงที่ชำระกระดูกมาแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ ผิวที่เคยอาบโลหิตมังกรมาแล้วก็ไม่อาจต้านทานได้ เจ๋อซิ่วเองก็ทำไม่ได้
เพราะดวงตาของเจ๋อซิ่วที่ควรเป็นสีแดงเลือดอันเนื่องมาจากอาการคลั่ง ในเวลานี้พวกมันเป็นสีเหลืองเหมือนดิน น่าจะถูกพิษเข้า
อาการบาดเจ็บของหนานเค่อสาหัสยิ่งขึ้น ปีกแสงด้านซ้ายฉีกขาดเป็นรูใหญ่ มีบาดแผลลึกที่คอ แต่เลือดที่ไหลออกมากลับเป็นสีดำ
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะลงมือในคืนนี้”
หนานเค่อคิดจะไปนานแล้ว ต่อให้รอจนพรุ่งนี้คำตอบก็เหมือนเดิม
พรุ่งนี้เจ๋อซิ่วอาจจะนำเรื่องนี้ไปแจ้งแก่พรรคกระบี่หลีซาน นางไม่มีความมั่นใจว่าตนเองจะฝ่ามหาค่ายกลหมื่นกระบี่ของหลีซานได้
ให้รอจนพรุ่งนี้ มิสู้ลงมือวันนี้เสียดีกว่า
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะลงมือวันนี้”
เจ๋อซิ่วเอ่ยว่า “ข้าเตรียมการสังหารเจ้าแล้ว”
ยังคงเป็นหลักการเดียวกัน
เขารู้ดีว่าหนานเค่อจะไม่มีทางเปลี่ยนความคิด อย่างนั้นก็มิสู้จบเรื่องนี้วันนี้ไม่ดีกว่าหรือ
หนานเค่อคือคนที่เฉินฉางเซิงพามาที่หลีซาน นี่ถือเป็นเรื่องภายในของสำนักฝึกหลวง เขาไม่อยากให้คนของพรรคกระบี่หลีซานมายุ่งเรื่องนี้นัก
“พิษของเจ้าสังหารข้าให้ตายไม่ได้”
หนานเค่อลูบไปยังเลือดที่ลำคอ ก่อนลิ้มเลียไปยังปลายนิ้วตน
พิษที่ร้ายแรงที่สุดในโลกเป็นของนกมยุรา
มยุราคือนกยูง
นางก็คือนกยูง
เจ๋อซิ่วเอ่ยว่า “ถึงแม้ว่าพิษของเจ้าจะร้ายกาจ แต่ยังคงสังหารข้าไม่ได้”
ในสวนโจวนปีนั้น เขาได้รับพิษของหนานเค่อเข้า ดวงตาสองข้างมืดบอด แบกชีเจียนและเร่ร่อนไปในที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล
เมื่อออกจากสวนโจว เขายังเข้าไปในคุกโจวอีก พิษร้ายยังคงไม่ได้รับการแก้ไข จนกระทั่งเฉินฉางเซิงและถังซานสือลิ่วแย่งชิงสำนักฝึกหลวงกลับมาได้ ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะรักษาหาย
พิษของหนานเค่ออยู่ในกายเขาเป็นเวลานาน จนทำให้ในกายเขาเกิดภูมิคุ้มกัน
นี่แน่นอนว่าเกี่ยวข้องกับการที่เขามีร่างพิเศษ
หนานเค่อเอ่ยว่า “ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะลอบกัดข้า”
เจ๋อซิ่วเอ่ยว่า “ข้าเป็นนักล่า”
เมื่อเขายังเด็กมากเขาถูกขับออกจากเผ่าหมาป่า ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดในทุ่งหิมะ โดยอาศัยการล่าอสูรปีศาจและเผ่ามารเพื่อดำรงชีวิต
จุดประสงค์ในการต่อสู้ของเขาคือการเอาชีวิตรอด และเขาไม่เลือกวิธีการเพื่อทำเช่นนั้น
เมื่อถึงยามที่จำเป็นต้องสังหารศัตรู เขาจะไม่มีวันใจดี
หนานเค่อคิดอยู่พักหนึ่ง พูดว่า “มันนานเกินไปแล้ว ข้าลืมไปบ้างแล้ว”
เจ๋อซิ่วเอ่ยว่า “ใช่ พวกเราอยู่ที่นี่มานานเกินไปแล้ว”
นี่ไม่ใช่ทุ่งหิมะอันแสนโหดร้ายและกระหายเลือดของเผ่ามาร เมื่อลืมตาขึ้นก็เอาให้ตายกันไปข้างหนึ่ง เจ้าตายข้ารอด
ที่นี่คือทุ่งหญ้าทางใต้อันอบอุ่นและสุขสบาย แสงกระบี่ของหลีซานคือการสำรวจ ไม่ใช่การสังหาร
ใช้ชีวิตในที่แห่งนี้มานาน หลายเรื่องพวกเขาก็ลืมไปแล้ว
เจ๋อซิ่ว เอ่ยต่อว่า “ข้าเสียใจมาก”
เจ้าไม่ต้องการให้ทุกคนใช้ชีวิตร่วมกันที่นี่ต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียใจจริงๆ
ข้าต้องฆ่าเจ้า ซึ่งก็น่าเสียใจมากเช่นกัน
หางนกยูงที่เรืองแสงสีเขียวและกรงเล็บหมาป่าอันแหลมคมกำลังจะได้พบกันอีกครั้ง
แสงกระบี่สายหนึ่งมาจากทางทิศตะวันตก กั้นไว้ตรงกลาง เจตจำนงกระบี่ไม่ดุร้าย มันสงบเหมือนน้ำ นุ่มนวลแต่ยากจะทำลาย และไม่หยุดชะงัก
เสียงที่ติดตามมาคือเสียงยานคาง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดต้องเสียใจเล่า”
ตอนนี้เจ๋อซิ่วและหนานเค่อต่างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่คนที่สามารถรับและต้านทานพวกเขาเอาไว้ได้ในกระบี่เดียวมีไม่มากนัก
เหล่าผู้แข็งแกร่งแห่งพรรคกระบี่หลีซานมีมากนัก คงสามารถนับได้สักแปดเก้าคนกระมัง และคนที่เสียงดูเกียจคร้านเช่นนั้น ก็มีแค่เพียงชิวซานจวิน
โก่วหานสือมาแล้ว เหลียงปั้นหู กวนเฟยไป๋ ไป๋ไช่มาแล้ว ชีเจียนเองก็มาแล้ว
นางมองไปยังหนานเค่อ ก่อนเอ่ยอย่างเสียใจว่า “ท่านน้า ท่านอยู่ต่อไม่ได้หรือ”
“ข้าเกิดที่นั่น เติบโตที่นั่น ข้าเคยเดินผ่านที่นั่น เคยบินผ่านที่นั่น ห่างจากดวงจันทร์แค่เพียงสองตรอกถนนเท่านั้น”
หนานเค่อเอ่ยว่า “ตอนนี้ ที่นั่นถูกเผ่ามนุษย์ของพวกเจ้าทำลายเสียจนสิ้นซาก ข้าเพียงอยากจะทำอะไรเพื่อมันสักหน่อย”
สายลมยามค่ำคืนทำให้ใบไม้ร่วงหล่นบนพื้น ทำให้เกิดเสียงกรอบแกรบ แต่ก็ยังคงเงียบสงบยิ่งนัก
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด เสียงของชิวซานจวินดังขึ้น
“ไปดีล่ะ ไม่ส่งนะ”
หนานเค่อไม่ได้ตกตะลึง และก็ไม่ได้ขอบคุณ นางเอ่ยต่อชิวซานจวิน โก่วหานสือ และคนอื่นๆ ว่า “พวกเจ้าต้องไปนั่นแน่ ถึงตอนนั้นค่อยพบกัน”
แน่นอนว่าต้องหมายถึงเมืองเสวี่ยเหล่า
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทุกคนเป็นสหายที่ร้องเพลงเต้นระบำประลองกระบี่ย่างเนื้อรอบกองไฟบนทุ่งหญ้า ยามเอ่ยลากลับต้องเป็นศัตรูคู่แค้นผู้ไม่ตายไม่หยุดพักเสียนี่
นี่มันน่าถอนใจเหลือเกิน เหตุใดยังทำให้คนรู้สึกหน่ายอีกเล่า
มองดูแสงที่ค่อยๆ ลับไปในรัตติกาลสายนั้น ชิวซานจวินก็ถอนใจ แสงที่เหลือเพียงพอให้มองเห็นสีหน้าของเจ๋อซิ่ว อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วอีกครา
สำหรับเขา น้องเขยผู้นี้อะไรก็ดี แต่นิสัยช่างเย็นชาเหลือเกิน
“เฉินฉางเซิงจดหมายมาว่าหากหนานเค่อดึงดันจะจากไป ก็ไม่ต้องรั้งไว้”
โก่วหานสืออธิบายว่า “เขาไม่พูดว่าทราบได้อย่างไรว่าหนานเค่อได้สติแล้ว”
เขามองว่า หนานเค่อคือความยุ่งยากที่เฉินฉางเซิงนำมาสู่หลีซาน ในเมื่อเฉินฉางเซิงจัดแจงไว้แล้ว เจ๋อซิ่วก็ไม่มีเหตุผลจะคัดค้าน
“มาคาดเดากันดีหรือไม่ หนานเค่อจะวางยาพลหมาป่าตายไปเท่าใดกัน”
เจ๋อซิ่วไม่ได้คิดอย่างนั้น เขากระทั่งไม่พอใจในเฉินฉางเซิงด้วยซ้ำ
“พวกเจ้าและเฉินฉางเซิงอยากจะแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ ความมุ่งมั่น มิตรภาพ แต่สำหรับข้ามันช่างโง่เขลาเหลือเกิน”
กวนเฟยไป๋ยิ้มเย็นก่อนเอ่ย “เจ้าจะรู้อะไรเล่า”
“เจ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสงครามเลยจริงๆ”
เจ๋อซิ่วเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ หลังจากนั้นก็หันหลังจากไป
ชีเจียนรีบตามไป