ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 90-2 ชงโจว
เฉินฉางเซิงพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งมาได้ ตะโกนเรียนวานรดินกลับมา ออกคำสั่งไปสองสามคำ
ตอนนี้เผ่าหมาป่าใช้ชีวิตอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทุ่งหญ้า ถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างกันมากนัก แต่เขากังวลว่าในอนาคตทั้งสองฝ่ายจะมาพบกันอีก ดังนั้นจึงเตือนไปหลายประโยค
ทุ่งหญ้านั้นเจ๋อซิ่วใช้เงินซื้อไปจากเขา
สามปีก่อน ผู้คนต่างเฉลิมฉลองข้ามปีที่เขาหลีซาน เจ๋อซิ่วพลันเอ่ยข้อเสนอนี้มา ช่างทำให้คนรู้สึกตกใจเสียจริง
แน่นอนว่าเฉินฉางเซิงไม่คิดเงิน แต่เจ๋อซิ่วกลับยืนกรานนัก
เขานำเงินเก็บทั้งหมดหลายปีออกมา ถึงแม้ว่าจะอาจจะซื้อทุ่งหญ้าผืนนี้ไม่ได้ทั้งหมด แต่ตัวเลขก็น่าพอใจ แม้แต่ถังซานสือลิ่วยังส่งเสียงจิ๊ๆ ชื่นชม
จนถึงตอนนี้ ทุกคนจึงได้รู้ว่า ยามที่เจ๋อซิ่วยังเล็กเคยถูกผู้อาวุโสขับไล่ออกจากเผ่า แต่ในเผ่ายังคงมีหญิงสาวและเด็กหนุ่มคอยแอบให้ความช่วยเหลือเขาอยู่
เขาอยากตอบแทน อยากจะย้ายจากทุ่งหิมะอันหนาวเหน็บมายังสถานที่ที่ ดีกว่า
หลายปีมานี้ เขาใช้ชีวิตอย่างมัธยัสถ์ พยายามสังหารศัตรูเพื่อให้ได้รับความดีความชอบทางทหาร เพื่อเก็บเงินนั่นเอง
ตอนนี้เขาทำได้แล้ว และเหล่าผู้อาวุโสเหล่านั้นในสมาพันธุ์ผู้อาวุโส ยังจะกล้าไม่เคารพเขาอีกหรือ
เมื่อครั้งการสอบใหญ่ในปีนั้น ถังซานสือลิ่วใช้ไก่ย่างครึ่งตัวติดสินบนเจ๋อซิ่ว ในการประลองต่อมา เจ๋อซิ่วรบกับโก่วหานสือที่ระดับสูงกว่าตนไปหนึ่งขั้นเสียจนมืดฟ้ามัวดิน เป็นกำลังสำคัญให้เฉินฉางเซิงในชัยชนะครั้งสุดท้าย แต่เขาเองก็ต้องเสียอะไรไปมากเช่นกัน ตอนถูกหามออกมาร่างกายก็ชุ่มไปด้วยโลหิต
แต่ในตอนที่ผู้คนซาบซึ้งอย่างหาใดเทียบได้นั้น เขากลับคิดอยู่เรื่องเดียว…เพิ่มเงิน
นึกภึงภาพฉากเหล่านั้นในวันเก่า เฉินฉางเซิงเองก็ทอดถอนใจ ในใจคิดว่าไม่รู้ว่าเขายามอยู่ที่เขาหลีซานเป็นอย่างไร สงครามระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่ามารกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว แน่นอนว่าเขาต้องเดินทางขึ้นเหนือ เพียงแต่หนานเค่อเล่า…รอยยิ้มบนสีหน้าของเขาค่อยๆ เลือนไป
เขาแจ้งแก่ใจในบาดแผลของหนานเค่อ
เนื่องด้วยสาเหตุหลายประการ หลายปีมานี้เขาไม่ชื่นชอบการอยู่ในเมืองหลวง มักจะเดินทางเร่ร่อนไปทั่ว จำนวนครั้งที่เดินทางไปยังเขาหลีซานก็มากด้วย
นอกจากผู้คนที่อยู่ในสำนักฝึกหลวงแล้ว ก็ยังมีเด็กหนุ่มที่อยู่ในพรรคกระบี่หลีซานเหล่านั้นที่กล้าไม่ปฏิบัติต่อเขาดั่งใต้เท้าสังฆราช นี่มันทำให้เขารู้สึกอิสระมาก
ทุกปีศิษย์พี่จะพาเขาไปเฉลิมฉลองวันข้ามปีที่ลั่วหยาง นอกจากมีปีหนึ่งที่เขาอยู่ที่เมืองเวิ่นสุ่ย เวลาที่เหลือล้วนเดินทางไปเขาหลีซานพร้อมสวีโหย่วหรง
หลายปีมานี้เขาเดินทางไปเขาหลีซานไม่น้อยกว่าสามสิบครั้ง
แต่ทุกครั้งที่หนานเค่อเห็นเขา สีหน้าบริสุทธิ์ล้วนต้องปรากฏรอยยิ้มจริงใจออกมา จับแขนเสื้อเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
แม้กระทั่งกลางคืนยามนอนหลับ นางยังยืนกรานที่จะนอนในห้องเดียวกับเขา ต่อให้นอนบนพื้น ต่อให้สีหน้าของสวีโหย่วหรงเรียบนิ่งมากก็ตาม
นี่คือความเคยชินที่เกิดขึ้นในสนามม้าผาชันในตอนนั้น ชิวซานจวินเองก็รู้ดีถึงอดีตนี้
หนานเค่อยังคงสับสนอยู่ เชื่อใจในเฉินฉางเซิงมาก และอาลัยอาวรณ์นัก
นางแจ้งแก่ใจดีว่าผู้ใดดีกับตน
เฉินฉางเซิงดีกับนางจริงๆ
ทั้งสองก็เหมือนพี่ชายน้องสาวจริงๆ
เฉินฉางเซิงแจ้งแก่ใจในอาการของนาง ให้นางอยู่ที่เขาหลีซานก็เพื่อหวังว่าประมุขพรรคกระบี่หลีซานจะสามารถรักษานางให้หายได้
เขายังคงติดตามอาการของนางมาตลอด เมื่อวันเฉลิมฉลองข้ามปีในปีนี้ เขาก็ทราบดีว่า อาการของนางใกล้จะหายดีแล้ว
นี่หมายความว่า นางใกล้จะได้สติขึ้นมาแล้ว
หากถึงตอนนั้น นางจะทำอย่างไร แล้วเขาควรทำอย่างไร
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เขาทิ้งจดหมายไว้ให้โก่วหานสือหนึ่งฉบับ บอกว่าหากหนานเค่อมีสัญญาณว่าจะตื่นมา ก็ให้เปิดจดหมายฉบับนี้ออก
ไม่รู้ว่าตอนนี้ จดหมายฉบับนั้นยังอยู่ดีหรือไม่
……
……
กิเลนเมฆาอัคคีรอนแรมหลายพันลี้ กระเรียนขาวคือวิหคเซียนที่เร็วที่สุด หากยินดี เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงสามารถตรงกลับเมืองหลวงได้เลย แต่ที่พวกเขาหยุดลงระหว่าง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะท้องฟ้าเบื้องหน้าเกิดเปลวเพลิงสีแดงขึ้นสายหนึ่งหรือไม่
เปลวเพลิงสีแดงนั้นเหมือนไม่มีอยู่จริง แต่กลับผนึกปราณโลหิตนับไม่ถ้วนและจิตสังหารเข้าด้วยกัน มีเพียงผู้ที่บรรลุระดับขั้นอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงห่างจากธรณีประตูนั้นเพียงช่วงหนึ่งเท่านั้น แต่ฐานะของพวกเขาพิเศษนัก เดิมทีก็เป็นนักปราชญ์ ทั้งยังมีแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์อยู่กับตัวอีก ดังนั้นจึงรับรู้ได้
บนที่รกร้างนั้นเต็มไปด้วยผู้คน มองจากด้านบน ก็คือจุดดำๆ ที่หนาแน่น มองดูแล้วเหมือนมด แต่ความจริงมิใช่อย่างนั้น
กระเรียนขาวมองไปยังเปลวเพลิงไร้รูปสายนั้น แววตาปรากฏความหวาดกลัวออกมา กิเลนเมฆาอัคคีกลับดูกระตือรือร้นขึ้นมา ปีกสองข้างกระพือไวกว่าเดิม
บนที่รกร้างเต็มไปด้วยกองทัพใหญ่ของชงโจว เวลานี้กำลังฝึกทัพอย่างตื่นตัว มีลมปราณแข็งแกร่งพุ่งขึ้นฟ้าจากกองทหารบ่อยๆ บ้างก็เห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือของค่ายกล บ้างก็กลับเป็นผู้บำเพ็ญพรตที่เชี่ยวชาญการใช้กระบี่ เฉินฉางเซิงสามารถกระทั่งมองเห็นเกราะเพลิงอัคคีของพรรคซานหยางที่มุมตะวันตกเฉียงใต้ของกองทัพได้ด้วยซ้ำ
อานุภาพค่ายกลเช่นนี้น่ากลัวอย่างยิ่ง แม้แต่เขาและสวีโหย่วหรงก็มิอาจเผชิญหน้าได้
ในที่สุดเฉินฉางเซิงก็เห็นขุนพลที่อยู่ข้างหน้าสุดท่านนั้น
ลมปราณของนายพลผู้นั้นทรงพลังมากจริงๆ แล้วเขาเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นรวบรวมดวงดาว และคิดว่าเขาควรจะเป็นขุนพลเทพของจวนทหารชงโจว
ลมพายุพัดผ่านพื้นที่รกร้างว่างเปล่า ปัดเป่าเสียจนธงรบของต้าโจวส่งเสียงดัง และก็ทำให้อาภรณ์ของเหล่านักรบขยับตามไปด้วย
แขนเสื้อของนายทหารท่านนั้นปลิวไปตามแรงลม เห็นได้ชัดว่าแขนขาดไปข้างหนึ่ง
เขาคือเซวียเหอ
ในคืนแห่งการเปลี่ยนแปลงของสุสานเทียนซูนั้น พี่ชายของเขา ขุนพลเทพเซวียสิ่งชวน ถูกโจงทงวางยาพิษจนตาย ต่อมาราชสำนักและกองทหารได้กวาดล้างอย่างเยือกเย็น เขาเองก็ไม่รอด ถูกยึดอำนาจทางการทหารไป ถูกขังอยู่ใต้ดินตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง จนกระทั่งเฉินฉางเซิง ม่ออวี่ และเจ๋อซิ่วสังหารโจงทงในวันนั้น จึงได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้ง
ต่อมาเพราะพระราชวังหลีออกหน้า เขาจึงได้รับการปลดปล่อยอีกครั้ง แต่กลับไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่เมืองหลวงได้ และไม่ได้รับอนุญาตให้กลับไปชงโจว ราชสำนักลดอำนาจเขาไปเป็นรองแม่ทัพที่หวงโจว ยังดีที่ได้พบขุนนางไม่เลวที่นั่น ทุกคืนวันว่ายน้ำปีนเขา ขับลำนำต่อบทกลอน ถึงแม้จะไม่สุขจนเกินไป แต่ก็ถือได้ว่าเป็นชีวิตที่สงบ
จนกระทั่งถึงปีนั้นลมฝนได้มาถึง การต่อสู้ของศิษย์และอาจารย์ในสำนักฝึกหลวงเริ่มขึ้น ได้ทำให้หอเฟิ่งหลินกลายเป็นซากปรักหักพัง ในที่สุดสถานการณ์ก็เปลี่ยนไป
หลังจากนั้นฝ่าบาทได้เปลี่ยนการปกครองใหม่ ฟื้นฟูกลุ่มขุนนางเก่าจากราชวงศ์ก่อน เซวียเหอก็เป็นหนึ่งในนั้น ยังถูกส่งไปสอนที่สำนักเด็ดดารา
ช่วงสามปีในสำนักเด็ดดารา เซวียเหอได้ศึกษาตำราสงครามอย่างหนัก และค้นพบความก้าวหน้าครั้งใหญ่ในการบำเพ็ญพรตของเขา เขาบรรลุถึงขั้นรวบรวมดวงดาวอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย
ฝ่าบาทจักรพรรดิย้ายเขาไปยังชงโจว รับช่วงต่อจากพี่ชายของเขา และกลายเป็นขุนพลเทพของกองทหารชงโจว
……
……
เกิดเสียงดังปัง
เซวียเหอคุกเข่าลงกับพื้น หัวเข่ากระแทกเสียจนหินสีเขียวแตกออก
ดวงตาของเขาแดงก่ำ ร่างกายสั่นเทา
ความผ่าเผยหนักแน่นเมื่อยามออกคำสั่งกองทัพใหญ่นับหมื่นก่อนหน้า ไม่รู้ไปหล่นไปอยู่ที่ใดแล้ว
เซวียฮูหยินเล็กนำบุตรชายอายุแปดเก้าขวบสองคนคุกเข่าอยู่เบื้องหลังเขา
ตระกูลเซวียสอนสั่งเข้มงวด คุณชายน้อยทั้งสองไม่เข้าใจเหตุใดบิดาต้องเสียอาการเช่นนี้ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยคำใด
เซวียฮูหยินเล็กกลับคาดเดาได้ถึงที่มาของชายหนุ่มหญิงสาวคู่นี้ ที่คุกเข่านั้นคือความยินยอมพร้อมใจ กังวลเพียงว่าตนจะแสดงออกอย่างเคารพไม่มากพอ