ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 94 จากไปขณะมีชีวิต
เฉินฉางเซิงนึกถึงความเป็นไปได้อีกอย่าง เมื่อครู่อาจารย์พูดถึงเรื่องภรรยาตน แล้วถูกตนปฏิเสธ…ดังนั้น ศาสตราวิเศษสื่อสารสองชิ้นที่ใช้เศษกระจกเฮ่าเทียนทำ เป็นการยกย่องชื่นชมหรือ
…ใช่แล้ว อาจารย์เหมือนชื่นชมโหย่วหรงมาโดยตลอด เมื่อสิบปีก่อน ตอนอยู่เมืองไป๋ตี้ ก็คล้ายกับเคยแสดงออกให้เห็น
มีบางคนบอกว่า ช่วงปีใหม่ ซางสิงโจวพูดถึงเฉินฉางเซิงน้อยมาก แต่กลับพูดถึงเขาหลีซานอยู่หลายครั้งว่าอย่างไรก็เป็นสำนักอื่น สวีโหย่วหรงเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ควรเกรงใจทุกครั้งไป
ไม่ควรไปเขาหลีซาน แล้วควรไปยังที่ไหนล่ะ พระราชวังหลี หรือลั่วหยาง
นึกถึงสวีโหย่วหรงที่มักได้รับความรักความเอ็นดูจากผู้หลักผู้ใหญ่อย่างง่ายดาย เฉินฉางเซิงก็อดชื่นชมไม่ได้
ซางสิงโจวคิดว่าพวกเขาสองคนมักแยกจากกัน ไม่สะดวกที่จะติดต่อกัน ถึงได้ทำของเล่นเล็กๆ เช่นนี้ให้ กลับไม่รู้ว่าพวกเขาแก้ปัญหานี้ได้แต่แรกแล้ว
เขากับสวีโหย่วหรงมีวิธีพิเศษอย่างหนึ่งที่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ตลอด ดังนั้นหลังจากกระเรียนขาวบินถึงเมืองไป๋ตี้ เขาจึงบอกเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์อย่างนางได้ในทันที
ลูกปัดหินที่ส่องสว่างน้อยๆ บนข้อมือของเขาก็คือแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์
แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์เดิมทีเป็นช่องทางในมิติชนิดหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นกฎเกณฑ์ในสุสานเทียนซู หรือวิธีเข้าออกสวนโจวในตอนนี้ ก็ล้วนพิสูจน์ได้ถึงจุดนี้
ช่วงเวลาสิบปี สวีโหย่วหรงกับเขาร่วมกันวิจัยแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ไม่หยุด ในที่สุดก็ควบคุมส่วนที่ลึกลับของมันได้ เสียงของพวกเขาสามารถลอดผ่านแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ไปกลับในฝั่งของกันและกัน แต่จิตสัมผัสที่ควบแน่นได้เล็กน้อยกับสิ่งของที่มีอยู่จริง ยังคงทำไม่ได้ถึงขั้นนี้
ตอนนี้ ลูกปัดหินสีเทาบนข้อมือของเฉินฉางเซิงอีกเม็ดสว่างขึ้น
“ลั่วลั่วสวัสดีอาจารย์!”
เสียงใสๆ เสียงหนึ่งดังมาจากลูกปัดหิน
ใช่แล้ว นางก็มีแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์เหมือนกัน และนางก็เรียนรู้ได้แล้วว่าจะติดต่อกับเฉินฉางเซิงอย่างไร
เสียง กึก ไม่รู้ดังมาจากไหน แต่ลูกปัดหินเม็ดที่สื่อสารกับสวีโหย่วหรง ดับไปเสียอย่างนั้น
เฉินฉางเซิงอ้าปากค้าง ไม่รู้ควรจะพูดอะไรดี
ด้านลั่วลั่ว พอไม่ได้ยินเขาตอบ ก็อดไม่ได้ที่จะกังวลใจอยู่บ้าง จึงตะโกนติดต่อกัน “อาจารย์! อาจารย์! อาจารย์ ท่านยังอยู่ดีหรือเปล่า”
เฉินฉางเซิงตอบ “ไม่มีอะไร แค่ใจลอยไปหน่อย”
“เช่นนั้นก็ดีมาก!”
แม้อยู่ไกลกันแสนลี้ แต่เฉินฉางเซิงกลับคล้ายมองเห็นอาการโล่งใจของลั่วลั่วกับตาตัวเอง ท่าทางน่ารักแบบยกมือเล็กๆ ขึ้นตบทรวงอกไม่หยุด
ทันใดนั้น ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่า เหตุใดเมื่อหลายวันก่อนสวีโหย่วหรงถึงได้มีท่าทางไม่สบายใจตลอด ไม่ว่าอยู่ที่ทุ่งหญ้าของเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ หรือแรกเริ่มตอนอยู่ในเมืองสวินหยาง
สาเหตุสืบเนื่องจากเรื่องราวในวันนั้น
วันนั้นกับวันนี้เหมือนกันมากจริงๆ
กระเรียนขาวบินมาจากจวนทหารซงซาน ตอนเขาติดต่อกับสวีโหย่วหรงนั้น กำลังล่องเรืออยู่ในแม่น้ำแดง ตอนนั้น อวี๋จิงกำลังร้องเพลงอยู่ในน้ำ ลั่วลั่วอยู่ข้างกาย ใช้มือเล็กๆ ป้อนผลไม้ให้เขากิน
ลั่วลั่วไม่รู้ว่าสวีโหย่วหรงได้ยินที่นางพูด
เขาในตอนนั้นก็ไม่ได้คิดถึงจุดนี้
……
……
“ฝ่าบาทลั่วลั่วตอนนั้นพูดว่าอะไรกันแน่”
ใบหน้าของถังซานสือลิ่วเต็มไปด้วยความแปลกใจ แม้เครายาวถูกลมพัด ตีสะเปะสะปะบนใบหน้า ก็ปกปิดไม่อยู่
แววตาของเฉินฉางเซิงมั่นใจว่า ไม่มีใครกำลังมองตน และไม่มีใครกำลังฟังคำพูดของถังซานสือลิ่วที่อยู่ด้านหลัง จึงกดเสียงลงต่ำ “นางว่า…อาจารย์คนดี อ้าปาก”
ถังซานสือลิ่วอึ้ง อยากหัวเราะก็ไม่กล้าหัวเราะ กลั้นจนหน้าแดงไปหมด
ผู้คนบนกำแพงในที่สุดก็สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวตรงนี้
จงซานอ๋องเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่พอใจอยู่บ้าง ประธานองคมนตรีหัวเราะเสียงต่ำอยู่ข้างๆ พลางปลอบใจไปหลายคำ
ราชันแห่งหลิงไห่กับนักพรตซือหยวนสบตากัน แล้วแสร้งทำเป็นไม่เห็น
มุขนายกใหญ่อันหลินผู้คืนสู่ตำแหน่งเดิม และเพิ่งกลับจากเผ่าหมี กลับหัวเราะขมขื่น โดยไม่พูดจา
ที่นี่คือเมืองสวินหยาง
คนใหญ่คนโตล้วนอยู่บนกำแพงเมือง
ฤดูใบไม้ผลิในที่ราบภาคกลางเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ต้นไม้ใบหญ้าก็เขียวขึ้นเรื่อยๆ ทุ่งหิมะทางเหนือก็กำลังเปลี่ยนเป็นอบอุ่น และเรื่องใหญ่เรื่องนั้นก็เกิดขึ้นจนได้
เวลาผ่านไปนับร้อยปี เผ่ามนุษย์ยกทัพไปทางเหนืออีกครั้ง
องค์จักรพรรดิบวงสรวงสุราด้วยองค์เอง แล้วส่งออกจากวังหลวงไปนอกจิงตู
สังฆราชเฉินฉางเซิงจึงนำมาส่งที่เมืองสวินหยาง
ที่รกร้างนอกเมืองสวินหยางทั่วทุกแห่งหนมีแต่ผู้คน ดำมะเมื่อมเหมือนกระแสน้ำ
คนเหล่านี้ล้วนเดินไปสู่ความตาย ดังนั้นกระแสน้ำเหล่านี้ก็คือคลื่นลูกใหญ่ที่แข็งแกร่งสุดบนโลกใบนี้
จิตสัมผัสแข็งแกร่งนับแสนกับจิตสังหารรวมเข้าด้วยกัน คือลมตะวันตกที่รุนแรงและไร้เทียมทานที่สุดในโลก ต่อให้มังกรยักษ์ทองคำกลับคืนสู่ภาคกลางของต้าลู่ ห่างออกไปพันลี้ มองเห็นรังสีฆ่าฟันสายนี้พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ก็ต้องหนีด้วยความตื่นตกใจ ไม่กล้าเข้าใกล้แต่อย่างใด
ทหารม้าของนิกายหลวงมากกว่าหมื่นคน ทหารม้าเกราะดำหกหมื่นคน ยังมีทหารธรรมดาที่มีจำนวนมากกว่านี้มาก ขุนนางใหญ่หกท่านของพระราชวังหลี ยี่สิบสามขุนพลเทพของต้าโจว อาจารย์สามพันท่าน หัวกะทิทั้งหมดของสถานศึกษาหนานซี บวกกับผู้บำเพ็ญเพียรผู้แข็งแกร่งของสำนัก นิกาย และพรรคต่างๆ ยอดฝีมือที่ได้รับการยกย่องของแต่ละตระกูล ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยังมีหวังผ้อ เซียวจาง ไหวเหริน เจ้าสำนักหลีซาน เหมาชิวอวี่ เซียงอ๋อง ผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์มากมายขนาดนี้ เตรียมลงมือได้ทุกเมื่อ จากชื่อชั้นและศักดิ์ศรี ไม่ได้ด้อยไปกว่าการยกทัพไปทางเหนือในปีนั้นเลย
กองทัพนับแสนเคลื่อนตัวอย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นออกเดินทาง ที่รกร้างนอกเมืองค่อยๆ สงบลง บรรยากาศเปลี่ยนเป็นเงียบเหงาลงเรื่อยๆ
ไม่มีใครหัวเราะอีก และไม่มีใครให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้
ถังซานสือลิ่วหันมองภูเขาทางทิศตะวันตกลูกนั้น พลางขมวดคิ้ว “นึกไม่ถึงว่าเซียงอ๋องจะยอมให้ทหารฝ่ายซ้ายล่วงหน้าไปก่อน”
เมืองสวินหยางเป็นเมืองที่ทุกคนจ้องตาเป็นมัน สำคัญมาก จำเป็นต้องมีผู้แข็งแกร่งขั้นแดนศักดิ์สิทธิ์มาเฝ้าเมือง
เฉาอวิ๋นผิงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกฝ่าย นิสัยตรงไปตรงมาและเป็นมิตร ได้รับความไว้วางใจจากทุกคน ดังนั้นสุดท้ายก็เลือกเขา
หลายปีมานี้ เซียงอ๋องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่ด่านยงหลาน โดยไม่ค่อยแสดงท่าทีอะไร
แน่นอน นี่ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียงของเฉินหลิวอ๋อง บุตรชายที่อยู่ในเมืองหลวง แต่เป็นเพราะสถานการณ์ปัจจุบันเป็นเช่นนี้
เดิมทีผู้คนคิดว่า เขาต้องกระโดดออกมาแย่งชิงตำแหน่งสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่พูดอะไรสักคำ
ถ้าเป็นจงซานอ๋อง กลับเข้าใจได้ง่ายกว่า ท่านอ๋องผู้มีนิสัยมุทะลุท่านนี้ เพื่อศักดิ์ศรีของเชื้อพระวงศ์ตระกูลเฉิน ต้องนำทหารบุกอยู่หน้าสุดอย่างแน่นอน
“เรื่องที่นึกไม่ถึงยังมีอีกมากมาย เช่นเจ้า นึกไม่ถึงว่าจะไว้เคราแล้ว”
เฉินฉางเซิงมองหน้าถังซานสือลิ่ว พลางส่ายศีรษะ ด้วยรู้สึกไม่ชินเป็นอย่างยิ่ง
ถังซานสือลิ่วว่า “ตอนนี้ข้าสง่างามกว่าตอนนั้นมาก ที่ไว้เคราก็เพื่อปกปิดเล็กน้อย จะได้คิดเรื่องเจ้าชู้ให้น้อยลงหน่อย”
หลายปีมานี้ อารมณ์ของเขาสงบลงมากจริงๆ อยู่ต่อหน้าผู้คน ไม่ค่อยพูดคำหยาบคาย แต่ยังหลงตัวเองเหมือนเดิม
แต่ก็พูดไม่ได้ทั้งหมดว่าหลงตัวเอง ในวาจานี้ของเขา ยังมีความจริงใจกับอับจนปัญญาอยู่หลายส่วน
เมื่อปีก่อน ผู้อาวุโสหญิงบ้านสกุลมู่ท่าป่วยหนัก หลังจากหายดีแล้ว ก็มองโลกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่กลับปล่อยวางหลานสาวสุดที่รักไม่ลง จึงไปยังเวิ่นสุ่ยด้วยตนเอง แล้วพักอยู่ที่บ้านเก่าสกุลถัง ใจกล้าหน้าด้านอยู่ยาวราวสามเดือน คิดจะดองกับสกุลถัง บีบให้ถังซานสือลิ่วไม่กล้ากลับบ้าน และไม่กล้าพักอยู่ในสำนักฝึกหลวง สุดท้ายเลยกลับไปฉลองปีใหม่ที่ศาลาหวันโสวในสุสานตะวันตกพร้อมกับซูม่ออวี๋
เฉินฉางเซิงถาม “ได้ยินว่า แม่นางผู้นั้นรูปโฉมงดงามมาก”
ถังซานสือลิ่วตอบ “เดิมทีบ้านสกุลมู่ท่ามีสาวงามเยอะอยู่ แต่ข้าเป็นคนมองคนแค่รูปร่างหน้าตา ผิวเผินแบบนั้นเชียวหรือ”
เฉินฉางเซิงว่า “โหย่วหรงรู้จักนาง บอกว่านางนิสัยดีมาก อีกทั้งยังตรงไปตรงมา อย่างน้อยเจ้าน่าจะพบเจอนางสักหน่อย”
ถังซานสือลิ่วยิ้มเย็นชา “ข้ากล้าพนันได้ว่าเจ้าไม่ได้พูดเอง”
เฉินฉางเซิงอึ้ง “คำพูดเดิมของนางก็คือ เจ้าไม่คู่ควรกับแม่นางท่านนั้น”
ถังซานสือลิ่วโกรธมาก สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปทันที
เขาเดินลงจากกำแพงเมือง รับบังเหียน พลิกตัวขึ้นบนหลังม้า แล้วขี่ม้าไปทางทิศเหนือ
การกระทำทั้งหมดนี้ เขาไม่แม้แต่จะหันกลับมามองเฉินฉางเซิง
“มีชีวิตกลับมานะ”
เฉินฉางเซิงตะโกนเสียงดัง
สายตานับไม่ถ้วนพุ่งมาที่เขา แต่เหมือนกับเขาไม่รู้ตัว
ถังซานสือลิ่วโบกมือให้โดยมิได้หันกลับมา