นักเลงชาย A ในโลกแฟนตาซียุคสมัยใหม่ - ตอนที่ 1 นักเลงชาย A
“ ย- แย่แล้ว!! ทุกคนไอ้เอกมันกำลังมาทางนี้!! ”
นักเรียนคนหนึ่ง พอมันเห็นผมปุ๊บมันก็ตะโกนบอกคนอื่นต่อเลย
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนพวกนี้มักจะต้องหลบหน้าผมอยู่ตลอดทันทีที่พวกมันเห็นผม
แม้ผมจะมีชื่อเสียงที่ไม่ค่อยดีมากนัก.. มันก็ไม่ควรจะเป็นงั้นไปสิ
“ อะไรว้า ”
ก่อนอื่นก่อนใดเลยก็ สวัสดีทุกคนด้วยนะ ผมชื่อเอก เป็นนักเรียนชายจากสถาบันเวทมนตร์นาครินทร์
ก็นะ พวกคุณคงจะสงสัยว่าทำไมไอ้พวกนั้นมันถึงหนีผมกันหมด
“ เห้ย ทำไมพวกแกถึงต้องวิ่งให้เหนื่อยแต่หัววันด้วยวะ ”
นั่นเป็นเพราะภาพลักษณ์ที่พวกเขาเห็นจากผมคือ.. นักเลง ไม่ใช่นักเรียนจากโรงเรียนเวทมนตร์แต่อย่างใด
แต่คือนักเลงต่างหาก.. กรรม ทั้งๆที่ผมพยายามสู้เพื่อความชอบธรรมอยู่แท้ๆ แต่ไหงดันกลายมาเป็นความชิงชังได้เนี่ย
“ ก็แล้วทำไมนายต้องเดินมาทางนี้ด้วยเล่า!! ”
“ ก็นี่มันห้องฉันไม่ใช่รึไง ”
และนี่คือห้อง 2-F ห้องที่รวมพวกผลการเรียนต่ำ สามัญชนไร้ความสามารถ และพวกไร้สมองใช้แต่ความรุนแรงเอาไว้ด้วยกัน
ซึ่ง.. ดูเหมือนผมจะเป็นอย่างหลังล่ะ พวกใช้แต่กำลังและไร้สมอง
อ่อ จริงด้วยสิ พวกคุณน่าจะยังรู้จักโลกนี้ไม่มากพอ โลกนี้คือโลกหลังจากการตื่นของเวทมนตร์ในปี 2567 ปัจจุบันปีนี้เป็นปี พ.ศ 2666 ที่เทคโนโลยีหลายๆอย่างล้ำสมัยไปหมด เนื่องจากการค้นพบเวทมนตร์ที่นับว่าเป็นพลังงานตามธรรมชาติ ที่หมุนเวียนได้เรื่อยๆ
แต่สิ่งหนึ่งที่กลับมาพร้อมกับยุคสมัยแห่งเวทมนตร์สุดเจ๋ง คือลำดับชนชั้น ลำดับแรกสุดไม่ใช่ราชาอีกต่อไป แต่เป็นผู้ที่มีพลังเวทสูงในระดับ S ไล่ระดับลงมาเรื่อยๆ จนถึงระดับ F โดยจะสามารถวัดค่าพลังเวทของตัวเองได้จากการไปที่หน่วยงานรัฐบาลที่เชี่ยวชาญในด้านนี้โดยเฉพาะ
พวกที่มีระดับพลังเวทต่ำๆน่ะ มักจะถูกดูถูกเหยียดหยามจากพวกที่มีพลังเวทสูงและคิดว่าตัวเองเก่งล่ะ โดยพลังพวกที่มีพลังเวทระดับ B แม่ง สถุนจัด
ไม่เพียงแต่ระดับพลังเวทจะช่วยยกระดับให้ครอบครัวของพวกคุณด้วยเท่านั้น มันยังทำให้คุณมีอิทธิพลอย่างมากบนโลกออนไลน์ และโลกจริงเลยล่ะ
และทั้งหมดที่กล่าวมานั้น.. ไม่เกี่ยวกับผมเลยสักนิด
ผมเป็นคนที่มีระดับพลังเวทเพียง F กับอีกหนึ่ง + เรียกได้ว่ามากกว่าคนธรรมดานิดหน่อย ฐานะทางบ้านก็ค่อนข้างธรรมดา ผลการเรียนก็พอใช้ได้ แต่แล้วมันยังไงล่ะ ยังไงซะผมก็จะไล่ซัดคนที่ผมไม่ชอบหน้าอยู่ดี
“ เอก เข้าที่ได้แล้ว ”
“ ครับจารย์ ”
และนี่คืออาจารย์สุดมาดแมนและเท่ห์ของผม จารย์ศรยุทธ์ อาจารย์ที่มีพลังเวทระดับ A+++ เรียกได้ว่าแข็งแกร่งเป็นลำดับต้นๆเลยล่ะ
โดยจารย์แกจะสอนภูมิศาสตร์ และประวัติศาสตร์โลกล่ะนะ
ก็นะ เนื่องจากโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว การเรียนการสอนมันก็ต้องปรับเปลี่ยนกันมั่ง แต่มันก็ยังมีช่องว่างที่ยังสามารถด้อยค่านักเรียนที่ไม่ค่อยเก่งอยู่ ซึ่งผมไม่ชอบเรื่องนั้นเอาซะเลย
“ นี่ๆ นายดูเธอคนนั้นสิ สวยเซะซี่ไปเลย! ”
“ บ้าน่า! นั่นมันวรุณจากห้อง A เลยนะ! แกไม่สมหวังหรอก! ”
“ เอาน่า~! แค่ได้มองก็ดีแค่ไหนแล้ว~ ”
ผมหันมองตามเสียงที่เจ้าพวกบ้านั่นพูดถึง
“ อ่อ ยัยผู้หญิงน่ารำคาญนั่นเอง ”
คนที่เดินผ่านห้องเราไปคือผู้หญิงที่แข็งแกร่งเป็นลำดับต้นๆของชั้นปี เท่าที่ผมรู้เธอมีพลังเวทคร่าวๆอยู่ที่ระดับ S+ อีกทั้งครอบครัวของเธอยังมีอิทธิพลมากต่อประเทศนี้ ทำให้มีคนเข้าหาเธอมากเพื่อประจบ และพยายามตีซี้
ผมเมินผู้หญิงคนนั้น ก่อนจะกลับมาฟังที่อาจารย์พูดต่อ
“ พวกแก!! หยุดมองผู้หญิงแล้วหันกลับมาตั้งใจเรียนได้แล้วไอ้พวกเด็กเปรต!!! ”
นี่สิจารย์ประจำชั้นของผม ดุถูกใจโจ๋จริงๆ
“ค้าบจารย์ ”
“เรียนแล้วค้าบๆ ”
“ เออ! บทต่อไป เปิดไปหน้าที่ 269 ”
นี่สิบรรยากาศการเรียนที่มีความสุข ทั้งนักเรียนและอาจารย์ต่างก็เป็นกันเอง นี่คงเป็นห้องเรียนในฝันเลยล่ะ
ระหว่างที่กำลังเรียนอยู่นี้ ผมจะเล่าให้ฟังละกันว่าโลกเรามีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง
คร่าวๆก็อย่างที่ผมเล่าไปด้านบน
ส่วนที่เหลือนั้นจะเป็นการปรากฏตัวของดันเจี้ยน และมอนสเตอร์ที่บ้างก็เกิดมาจากการกลายพันธ์ และมาจากต่างมิติ ตามแบบฉบับโลกแฟนตาซีดาษๆทั่วไปเลยล่ะ
ฮึ่ม ไม่รู้จะเล่าอะไรแล้วแฮะ เอาเป็นว่าผมจะตัดข้ามไปยังฉากสำคัญเลยละกัน
ก็นะ การเรียนมันก็ไม่ใช่แนวสักเท่าไหร่ เลยฟังผ่านๆพอให้ได้รู้บ้างน่ะ
นี่ก็เที่ยงแล้วสิ คงต้องหาอะไรกินสักหน่อย..
“ อะไรวะน่ะ .. ”
ผมที่เดินมาจนถึงโรงอาหาร ก็ได้พบเข้ากับไทยมุง ที่ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นกำลังมุงอะไรกันอยู่ ผมที่เป็นหนึ่งในคนไทยอยากรู้อยากเห็นจึงถือตัว เข้าไปแอบดูสักหน่อย
แต่พอนักเรียนคนอื่นเห็นผม คนพวกนั้นก็เริ่มหลีกทางให้ผมทีละคนราวกับว่าผมเป็นคนดัง แต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้นนี่สิ พวกเขาคงจะกลัวผมล่ะมั้ง
“ ว้าว ”
ภาพที่เห็นคือผู้หญิงผมสีดำยาวประบ่า กำลังชี้ปืนที่เป็นอุปกรณ์เวทอย่างนึงใส่ผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่กับพื้นด้วยความกลัว
ดูท่ายัยนี่จะเอาจริงแฮะ
“ แกสินะ คนที่ขโมยชั้นในของฉันไป ”
อะไรนะ มีการขโมยชั้นในกันเกิดขึ้นงั้นหรอ!? น่ากลัวแฮะแบบนี้
“ อ๊ะ-! จริงด้วย! ไม่นานมานี้ชั้นในของฉันก็หายไปเหมือนกัน! ”
แล้วก็มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งประกาศตัวเป็นเหยื่อเริ่มกับสาวคนนี้ ไม่นานนักพวกผู้หญิงหลายๆคนก็ลุกฮือขึ้นมาทำท่าราวกับว่ากำลังจะกระทืบเจ้าผู้ชายน่าไม่อายคนนี้
“ ผ- ผมไม่ได้ขโมยไปน้า.. ”
ดูมันสิ โกหกหน้าด้านๆเลยแฮะ ต่อหน้าสาวที่ขึ้นชื่อว่าแกร่งสุดในชั้นปีแล้วยังโกหกได้อีกน้อ ชะตาขาดแล้วเอ็ง
“ โทษคือตายสถานเดียว- ”
บางทีโทษมันก็หนักไปนะนั่น เอาเหอะ เวลาแบบนี้สงสัยผมคงต้องทวงความยุติธรรมให้พวกผู้หญิงสักหน่อยแล้ว แต่ไม่ใช่การทารุณกับแบบยัยนั่นหรอกนะ ยัยนี่น่ะมันโรคจิต
“ คร้าบๆ~ ตายก็ตายเนาะ- พ่องเหอะ เห็นชีวิตคนเป็นอะไรกันวะอีดอกนี่ ”
ก็นะ ผมทนเห็นยัยนี่ฆ่าคนไม่ได้หรอก แม้มันจะเป็นคนที่มีความผิดก็ตาม ชีวิตคนไม่ได้ง่ายแบบนั้นนะแม่หนู S แรงก์
ยืนเข้ามายืนขวางระหว่างพวกมันทั้งสองคน เป็นการออกตัวเพื่อเข้ามาช่วย.. ช่วยใครวะ
ตอนแรกก็ไม่ได้กะจะมาช่วยเจ้าหนุ่มส้นตีนนี่ แล้วตอนนี้ยังต้องมาเป็นศัตรูกับพวกผู้หญิงอีกหรือนี่ ชีวิตนี่มันไม่ง่ายเอาซะเลยนะเนี่ย
“ ทำอะไรน่ะเอก! จะบอกว่าตัวเองเป็นผู้สมคบคิดกับไอ้จิตมันหรอ!! ”
ผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาจากทางด้านหลัง
“ ถอยไปเลยนะไอ้อันธพาล!! ”
“ นักเลงว้อย ”
“ อันธพาลอย่างแกอย่ามาขวางความยุติธรรมเหอะ!! ”
“ ยุติธรรมพ่อง ศาลเตี้ยเหอะไอ้สัส ”
“ นี่แกอยากได้กางเกงในพวกเราขนาดนั้นเลยรึไง! ”
“ กูอยากได้ของเหม็นๆพวกนั้นไปทำไม กูไม่ใช่โรคจิตนะเว้ย!! ”
อ่าาา ประสาทจะแดก ทำไมกูต้องมาทะเลาะกับไอ้พวกนี้ด้วยวะเนี่ย
ผมประโคมเถียงเสียงพวกคนที่ต้องการให้ไอ้โรคจิตนี่ตายหลังชนฝา โดยที่ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าผมไม่ได้พูดอะไรแม้แต่น้อย และกำลังชาร์จพลังเวทปรากฏเป็นเส้นพลังงานบนปลายกระบอก เพื่อที่จะเหนี่ยวไกกำจัดผมไปพร้อมๆกับไอ้โรคจิตนั่น
แต่ใครกลัวกันวะ
“ มึงจะฆ่าคนโดยที่ไม่ลังเลเลยรึไง วรุณ ”
ผมใช้มือของตัวเองที่ได้สวมถุงมือที่เป็นอุปกรณ์เวทของตัวเองแล้วอุดปากประบอกเอาไว้ ผมไม่กลัวว่ายัยนี่จะลั่นไปปืนเลยสักนิด
“ หลบไป ถ้าไม่อยากตาย เอก ”
ผมมองตาเธออย่างไม่ลดละ สายตาที่เย็นเฉียบนั่นบอกได้เลยว่าเธอคิดจะทำมันจริงๆ
ตอนนี้ผมเริ่มเหงื่อตกละ ใจนึงก็กลัว ใจนึงก็โมโหที่ยัยนี่ทำราวกับชีวิตคนเป็นเรื่องตลก
ยังไงซะ ผมก็ไม่ถูกกับยัยนี่จริงๆ
“ ถือซะว่าล้างหนี้แค้นกัน แกทำให้ลูกน้องฉันเข้าโรงบาลมาเยอะแล้ว ”
“ เหอะ ล้างหนี้แค้นด้วยการฆ่า กูล่ะอยากขำ ”
“ ตายซะ– ”
“ พวกเธอ เก็บสติกม่าลงไปเดี๋ยวนี้!!! ”
ทันใดนั้นเอง อาจารย์ศรยุทธ์ก็เข้ามาจัดการสถานการณ์ได้ทันก่อนที่มันจะเลยเถิดไปไกลกว่านี้
สุดท้ายแล้วออดหมดพักกลางวันก็ดังขึ้น นั่นหมายความว่าเวลาทานข้าวของผมได้หมดลงแล้ว เพราะต้องมางุ่มง่ามอยูากับเรื่องไร้สาระนี่
อีกอย่างเลย คือพอเลิกเรียนปุ๊บ ผมก็ต้องเข้ามาปรับทัศนวิสัยในห้องพักครูอีก แต่ไหงดันมียัยนี่อยู่ด้วยล่ะเนี่ย
เอ่อ.. ส่วนไอ้โรคจิตนั่นดูเหมือนจะโดนพักการเรียนไป 2 สัปดาห์ล่ะ คิดว่า..หลังจากนี้คงไม่มีเรื่องอะไรแล้วล่ะมั้ง
“ เอก ทำไมแกถึงต้องไปยุ่งเรื่องของวรุณทุกทีเลยห้ะ ”
“ ก็ยัยนี่มันทำให้ผมหงุดหงิดอ่ะดิจารย์ อีนี่แบบ ทำเหมือนชีวิตคนเป็นของเล่นอ่ะ ”
“ ก็อย่าไปถือสาเค้าเลย เค้าถูกปลูกฝังมาแบบนี้นี่ ”
“ เรื่องผิดๆแบบนี้เนี่ยนะ!!? ให้ตายเถอะ เห้อออออออออ ต้องเป็นเด็กที่ไร้เดียงสาขนาดไหนกันถึงได้โดนสอนว่าการฆ่าคนมันง่ายขนาดนั้น ถถถ”
ผมถอนหายใจเหือกใหญ่เลยล่ะ แม้จะมีเจ้าตัวยืนอยู่ข้างๆ ผมก็ไม่กลัวที่จะแสดงการดูถูกออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“ ก็ไม่รู้ ว่าชีวิตคนมันเป็นยังไง ”
แต่แล้วเธอก็ได้เปิดปากพูดขึ้นมา
“ หา? แกก็ใช้ชีวิตอยู่ไม่ใช่รึไง? ”
ผมทำหน้างงๆใส่เธอ ก็.. หมายความว่าไงวะ?
“ เออๆๆ เอางี้ ถ้าพวกแกลงรอยกันไม่ได้ ก็มาอยู่ด้วยกันซะสิ ”
“ อะไรนะจารย์!? จะให้ผมอยู่กับยัยนี่อ่อ?? ไม่เอาอ่ะ!! ”
“ หุบปากและฟังกูก่อนไอ้เด็กเหี้ย ”
“ .. คับ ”
ผมเงียบปากทันทีที่จารย์พ่อ’เหี้ย’ใส่ผม เพราะผมรู้ดีว่าหากจารย์พูดคำนี้เป็นครั้งที่สอง ชีวิตผมอาจจะไม่ได้ใช้มันอีกแน่
“ ที่ฉันหมายถึง คือการที่แกต้องอยู่ร่วมกับวรุณในบ้านพักใกล้ๆโรงเรียน ”
“ โหจารย์ ผมจะเอาเงินจากไหนมาซื้อ ”
“ หุบปากเน่าๆของมึงทีดิ้ และหยุดแทรกตอนกูพูดสักทีไอ้เด็กเวร ”
“ คับ… ”
“ หึ- ”
“ หึอะไรยัยเปรต ”
ผมหันไปด่าวรุณทันทีที่มัน หึ ใส่ผม แม้ผมจะรู้ว่ามันหลุดขำเนื่องจากผมโดนจารย์ด่าไปแล้วสองรอบก็เหอะ
“ ไม่มีอะไรหนิ ”
แล้วเปลี่ยนสีหน้ากลับในทันใด อะไรวะยัยนี่ เปลี่ยนอารมณ์ไวชะมัด
“ ต่อนะ ”
“ คับ ”
“ คือไอ้บ้านพักนั่นน่ะ โรงเรียนซื้อให้เพราะเห็นว่าพวกแกทะเลาะกันมานานแล้วน่ะ เลยคิดว่าถ้าได้อยู่ด้วยกันก็อาจจะได้เข้าใจกันขึ้นมาบ้าง ”
“ อะไรวะน่ะวิธีเด็กน้อยแบบนั้น? ”
“ อย่างน้อยก็ดีกว่าตีกันจนตายไปข้างนั่นแหละ ซึ่งถ้าให้พูดแกคงจะเหลือแต่ฝุ่นทันทีเลยล่ะเอก ”
“ ผมไม่แพ้มันง่ายๆหรอกจารย์!! ”
“ หึหึ- ”
“ หึอะไรอีกว้าาา อยากโดนดีงัยย???? ”
“ อย่ากร่างให้มากไอ้เด็กเหี้ย ที่นี่กูคุม ”
“ ครับจารย์ ..”
ก็นะ .. นั่นเลยเป็นเรื่องราวของผม นักเลงชาย A ที่เป็นตัวพ่อแห่งการทะเลาะวิวาท และเป็นคนที่มีพลังเวทเข้าขั้นวิกฤต ด้วยความที่เป็นนักปกป้องความชอบธรรม ผมจึงต้องมาอยู่ร่วมกับความอยุติธรรมทั้งมวลอย่างยัยวรุณ ที่แม่งเป็นลูกสาวตระกูลใหญ่ทรงอิทธิพล ที่มีเบื้องหลังเป็นมาเฟีย และพ่อของเจ้าตัวยังหวงลูกสาวของตัวเองมากๆอีก
และผมมั่นใจเลยว่าเขาจะต้องส่งคนมาที่หอของผมแน่ๆ
“ … อีกแล้วหรอวะ ”
นั่นไงล่ะ เป็นมาเฟียที่ทำตัวเหมือนกับพวกอันธพาลชะมัด
“ อ้ะ นั่นไงไอ้เอก ”
เหมือนพวกมันจะเห็นผมแล้วน่ะนะ
ผมตั้งท่าเตรียมสู้รอขณะที่พวกมันกำลังเดินเข้ามาใกล้
“ คือว่า– อั่ค!!- ”
แล้วผมก็ซัดหน้าหนึ่งในพวกมันหงายเก๋งไปเลย
อื้ม ดูๆแล้วพวกมันน่าจะมีกัน 12 คน.. ไม่คณามือเท่าไหร่หรอก
“ เดี๋ยว!! พวกเรามาพาตัวแกไปหา— อุ่ก!- ”
ไม่รอช้า ผมซัดพวกมันนอนหมอบไปอีกคน
“ไอ้เด็กนี่!! พวกแกเอาสติกม่าออกมาแล้วจับเป็นมันซะ!!!– อรั่ค- ”
“ พูดห่าอะไรฟะ ไม่อยากฟัง ”
หลังจากนั้นผมก็จัดการเก็บพวกมันจนหมดด้วยมวยล้วนๆโดยปราศจากเวทมนตร์่ช่วยเสริมเลยล่ะ ก็นะพลังเวทน้อยนิดอย่างผมใช้ไปก็เปลืองเปล่า
หลังจากนั้นผมก็มานั่งพักเหนื่อยอยู่ใกล้ๆแถวนั้น ไม่นานนักพวกมันคนหนึ่งก็ลุกขึ้นมา ทำทรงเหมือนอยากโดนอีกรอบ
“ ย- ยอมแพ้.. รอบนี้พวกเรามาดี ”
“ ไรว้า ก็ไม่บอกแต่แรก เสียแรงเปล่าเลย ”
“ ก็มึงเล่นไม่ฟังอะไรเลยนี่หว่า!! ”
“ แล้วมีเรื่องอะไร คงไม่ใช่ว่าเจ้าพ่อพวกแกอยากจะเจอกูหรอกนะ ”
“ … เข้าใจอะไรได้เร็วดีนี่ ”
“ เห้ะ ..”
“ มากับเรา บอสของเราอยากเจอแก ”
“ … ”
เหี้ยอะไรวะเนี่ย…
ตัดจบตอน
ไม่เหมือนเรื่องที่จะเป็นแนวแฟนตาซีได้เลยแฮะเรื่องนี้5555