นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 102 เจ้าจะเอาถ่าน ข้าก็จะเผาถ่าน
อาหารมื้อกลางวันก็ทำเสร็จหมดแล้ว คนผู้นั้นยังไม่กลับมาสักที ประเดี๋ยวจะเย็นแล้ว
เจ้าก้อนน้อยเคี้ยวตุ้ยตุ่ยอยู่ในปาก ไม่ตอบ
โจวกุ้ยหลานอดบ่นขึ้นมาอีกไม่ได้ “คงไม่ใช่ว่าไปล่าสัตว์อีกนะ? แต่ไม่ถูก คันธนูกับลูกธนูเขาก็อยู่ในบ้านนี่…”
“ท่านแม่ กิน” เจ้าก้อนน้อยเคี้ยวที่อยู่ในปากหมดก็เอ่ยปากกับโจวกุ้ยหลาน
“เราต้องรอพ่อเจ้ากลับมาถึงจะเริ่มกินได้ รู้หรือไม่?”
โจวกุ้ยหลานจ้องโจวกุ้ยหลานอบรมอย่างจริงจัง
เจ้าก้อนน้อยพยักหน้า “ได้”
โจวกุ้ยหลานนั่งเป็นเพื่อนเจ้าก้อนน้อยครู่หนึ่ง มองไฟที่อยู่ในเตา รู้ว่าข้าวที่หุงอยู่ก็จวนจะสุกแล้ว นางจึงไม่สนใจอีก พาเจ้าก้อนน้อยเข้าบ้านแล้วเริ่มจัดการกับอาหารที่กองอยู่เต็มโต๊ะ
ธันยพืช?
นางหยิบไปที่ห้องครัว อาหารเอากลับห้องครัวด้วย สำหรับผ้าชิ้นและฝ้ายก็วางอยู่ในห้องโถงนั่นแหละ ไม่มีสถานที่กว้างพอที่จะวาง
ขนมที่ซื้อล่ะ? เขาวางอยู่ในเรือนไม้ไผ่
ส่วนของกระจุกกระจิกก็จัดแบ่งตามหมวดหมู่
เก็บอยู่อย่างนี้พักหนึ่ง แต่ก็ยังเก็บไม่หมด!
ขณะที่สองแม่ลูกกำลังขมีขมันหอบแฮก ในที่สุดสวีฉางหลินก็กลับมาจากข้างนอก ในมือยังหิ้วตะกร้าอยู่ใบหนึ่ง
“ท่านพ่อ กินข้าวแล้ว!” เจ้าก้อนน้อยรีบเรียก ก้าวขาสั้นๆ วิ่งไปทางสวีฉางหลิน
สวีฉางหลินวางตะกร้าอยู่กับพื้น แล้วยกมืออุ้มเจ้าก้อนน้อยขึ้นมา
“ท่านแม่ทำของอร่อยเยอะแยะเลยล่ะ!” เจ้าก้อนน้อยกล่าวด้วยเสียงเด็กน้อย เมื่อนึกถึงของอร่อยเหล่านั้นในห้องครัว เขาก็อดกลืนน้ำลายเป็นไม่ได้
สวีฉางหลิน “อื่ม” ทีหนึ่ง แล้วหันไปทางโจวกุ้ยหลาน เอ่ยเสียงใสเย็น “วันนี้กินอะไรหรือ?”
“ของดีที่เจ้าไม่เคยกิน!” โจวกุ้ยหลานก็ถูกอารมณ์ของเจ้าก้อนน้อยแผ่มาถึงด้วย ยิ้มตาหยีเอ่ย
ดังนั้นหนึ่งครอบครัวสามคนจึงไปที่ห้องครัว โจวกุ้ยหลานยื่นอาหารให้สวีฉางหลิน สวีฉางหลินจึงวางเจ้าก้อนน้อยลงกับพื้นแล้วรับอาหารจากนางก่อนจะเดินออกไปข้างนอก
โจวกุ้ยหลานสั่งกับเจ้าก้อนน้อยที่ยืนอยู่ “หยิบตะเกียบสามคู่แล้วไปที่โต๊ะข้างนอก”
“ได้” เจ้าก้อนน้อยขานรับเสียงหนึ่ง เขย่งเท้าหยิบตะเกียบสามคู่ แล้วก้าวขาสั้นๆ ออกไป
ทั้งสามเดินเข้าเดินออกพัลวัน เมื่อจัดอาหารไว้บนโต๊ะเสร็จแล้ว โจวกุ้ยหลานจึงยกข้าวสองถ้วยออกมานั่งตรงตำแหน่งของตัวเอง
เมื่อเห็นอาหารบนโต๊ะ สวีฉางหลินก็ตะลึงงันเล็กน้อย “อาหารเยอะแยะปานนี้ ฉลองปีใหม่หรือ?”
นี่มีแต่เนื้ออยู่เต็มโต๊ะ นับจากมื้อที่กินในโรงเตี๊ยมเทียนเซียง พวกเขาก็ไม่เคยกินอาหารที่พรั่งพร้อมอุดมสมบูรณ์ขนาดนี้อีก
“ไม่ใช่ฉลองปีใหม่ แต่ครอบครัวเราควรกินอาหารดีๆ สักมื้อนะ!” โจวกุ้ยหลานปลื้มปริ่มอย่างยิ่ง
ระยะก่อนพวกเขายุ่งแต่กับการจัดสวนผัก ทั้งวันหากไม่ใช่ไชเท้าก็คือผักกาดขาว นางรับประทานจนปากจืดไปหมดแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้าก้อนน้อยที่กำลังเจริญเติบโต
แล้วยังสวีฉางหลินที่ลงแรงทั้งวันอีก ร่างกายนางก็ย่ำแย่มาก สมควรบำรุงดีๆ
“น่าจะเชิญท่านแม่ยายกับพี่ใหญ่ด้วยนะ” นัยน์ตาสวีฉางหลินลุ่มลึก
สวีฉางหลินกล่าวเช่นนี้ได้ เป็นเพราะเห็นเหล่าไท่ไท่เป็นมารดาของตนจริงๆ โจวกุ้ยหลานย่อมยินดีอยู่แล้ว
น้ำเสียงที่เอ่ยก็ดีกว่าเดิมหลายส่วน “วันนี้พี่ใหญ่ข้าไปดูตัว ส่วนท่านแม่ ตอนนี้นางคงกินแล้วล่ะ เดี๋ยวเรากินเสร็จ ค่อยเอาข้าวกับผักไปให้นาง”
ตอนนี้บ้านรกรุงรัง นางไม่กล้าให้มา มิเช่นนั้นอีกฝ่ายต้องคิดบัญชีกับนางแน่
เอาไว้ค่อยส่งไปให้เหล่าไท่ไท่เถอะ
อีกอย่าง ตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าเหล่าไท่ไท่จะอยู่ที่บ้านลุงใหญ่ ถ้าตอนนี้นางไปเชิญเหล่าไท่ไท่มาร่วมรับประทานอาหาร นั่นก็ต้องเตรียมอาหารสำหรับครอบครัวของลุงใหญ่ด้วย
ถึงนางจะไม่กลัวกับการมีคนมาร่วมโต๊ะหลายคน แต่นางไม่ชอบโจวชิวเซียงกับหวังหยู่ชุน จะแบ่งของดีเหล่านี้ให้พวกนางรับประทาน? เช่นนั้นนางยอมให้ยาจกรับประทานเสียจะดีกว่า
ถูกต้อง นางก็ใจแคบอย่างนี้แหละ เจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างนี้นี่แหละ!
ในเมื่อภรรยาตัวน้อยกล่าวเช่นนี้แล้ว สวีฉางหลินจึงไม่ดึงดันอีก คีบเนื้อวัวสันนอกชิ้นหนึ่งเข้าปาก กินคำหนึ่ง เนื้อวัวสันนอกนุ่มนิ่ม เคี้ยวหนึบๆแถมยังตุ๋นกับมัน ดึงรสอ่อนออกมาได้มากขึ้น
“อร่อย”
สวีฉางหลินให้คำวิจารณ์ของตัวเอง
โจวกุ้ยหลานยิ้มย่องในใจ “เช่นนั้นเจ้าก็กินมากหน่อย”
กล่าวจบก็คีบอาหารจำนวนหนึ่งใส่ถ้วยเจ้าก้อนน้อย
เจ้าก้อนน้อยอดทนมานานแล้ว ตอนนี้พอในถ้วยมาอาหาร จึงหยิบตะเกียบขึ้นมารับประทาน
โจวกุ้ยหลานไม่พูดมาก ยกถ้วยของตัวเองเริ่มรับประทานเหมือนกัน
ผักในยุคสมัยนี้สีเขียวไร้สารพิษเสียจริง รสชาติดีมาก
หนึ่งครอบครัวสามคนอิ่มเอมใจถึงที่สุด แม้แต่เจ้าก้อนน้อยยังรับประทานข้าวถ้วยใหญ่
เมื่อทั้งสามรับประทานเสร็จ ก็แน่นท้องไม่ไหวแล้ว อาหารก็ถูกรับประทานหมดเกลี้ยงแล้วด้วย
ปกติเมื่อรับประทานอาหารเสร็จ ทั้งสามจะหลับกลางวัน แต่วันนี้แน่นท้องเหลือเกิน จึงจำเป็นต้องเดินเหินสักหน่อย
“พวกเราเก็บของพวกนี้ให้เรียบร้อย ก็ย่อยอาหารได้พอดี” โจวกุ้ยหลานชี้ของที่อยู่ในห้องโถง ครั้นโบกมือใหญ่ ก็ทำการตัดสินใจ
ส่วนหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กที่เหลือ ย่อมยกนิ้วเห็นด้วยตามระเบียบ
ตั้งแต่มีสวีฉางหลินเข้าร่วม ความเร็วในการจัดเรียงก็มากขึ้นไม่น้อย สองมือเขาหิ้วของที หิ้วได้มากมาย
เพียงครึ่งชั่วยาม เรือนของพวกเขาก็จัดเก็บเรียบร้อยแล้ว
เมื่อนั้นทั้งสามจึงนั่งลงพักผ่อน
ยามนี้นอกจากผ้าชิ้นละฝ้ายพวกนั้นที่อยู่ห้องโถงแล้ว ก็มีแต่ตะกร้าที่สวีฉางหลินหิ้วกลับมาเมื่อก่อนหน้านี้
โจวกุ้ยหลานชี้ตะกร้าใบนั้นแล้วถามสวีฉางหลิน “นั่นอะไรน่ะ?”
“ถ่าน” สวีฉางหลินตอบกลับอย่างไม่ยี่หระ
“อะไรนะ?” โจวกุ้ยหลานกระโดดลงมาจากม้านั่ง แล้วสาวเท้าไปตรงหน้าตะกร้า เมื่อก้มหน้าก็เห็นว่ามีถ่านอยู่ในตะกร้ากว่าครึ่งค่อน
“เจ้าบอกว่าจะเอาถ่าน ข้าก็เลยไปเผามา” สวีฉางหลินเดินมาสมทบ อธิบายกับโจวกุ้ยหลาน
เช้ามาพอเขาตื่นก็เห็นภรรยาตัวน้อยของตัวเองยังคงหลับใหล ครั้นนึกถึงเรื่องที่นางเอ่ยเมื่อก่อนหน้าจึงขึ้นเขา ตัดไม้แล้วลองเผาดู ครั้งแรกกับครั้งที่สองเผาได้ไม่ดี เขาเลยทิ้ง ภายหลังเผาได้ไม่เลวจึงนำกลับมาด้วย
“ฉะนั้น เจ้าเผาผ่านทั้งเช้า?” โจวกุ้ยหลานถามด้วยความตกใจ
สวีฉางหลินรับคำเสียงหนึ่ง
โจวกุ้ยหลานนั่งยองลง หยิบถ่านขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วบีบ ดีกว่าถ่านที่นางทำจริงๆ
ถ่านหนึ่งตะกร้านี้พอให้ใช้หลายวันแล้ว
โจวกุ้ยหลานก็ไม่ทราบว่ามีความรู้สึกอย่างไร ได้แต่ลุกขึ้นแล้วยกนิ้วโป้งให้สวีฉางหลิน “เจ้ายอดมาก!”
ได้รับคำชมเชยจากภรรยาตัวน้อย สวีฉางหลินลอบปลื้มปริ่มอยู่เหมือนกัน
ใช้ถ่านนี้เผาเตียงเตาที่ห้องทางเหนือทันที หลังจากควบคุมอุณหภูมิแล้ว โจวกุ้ยหลานก็พาสวีฉางหลินเก็บไชเท้าหั่นเต๋าที่ตากไว้สองวันบรรจุใส่โถใบเล็กหน่อยของโจวเหล่าไท่ไท่ เติมน้ำตาล น้ำส้มสายชูและเกลือพอประมาณ เทจิ๊กโฉ่วลงไปแล้วปิดฝาโถเอาไว้
จูงมือเจ้าก้อนน้อย พาสวีฉางหลิน แบกข้าวสารถุงใหญ่ลงเขาไปบ้านเหล่าไท่ไท่ด้วยกัน