นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 107 ของดีทั้งนั้น
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 107 ของดีทั้งนั้น
โจวกุ้ยหลานมักรู้สึกว่าบรรยากาศตอนนี้อึดอัดอยู่บ้าง อยากตบตัวเองสักฉาด ทำไมอะไรก็ถามไปหมด สะกิดเรื่องเศร้าของสวีฉางหลินแล้วไหมเล่า
ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ แต่เมื่อเงยหน้าก็เห็นอีกฝ่ายเดินออกนอกประตูไปแล้ว
โจวกุ้ยหลานรีบถามเขา “เจ้าไปทำอะไร?”
“ผ่าฟืน” กล่าวจบ สวีฉางหลินก็ไปหลังเรือน
ผู้ชายคนนี้…จะขยันเกินไปแล้ว
หากเปรียบเทียบ นางเหมือนว่าจะขี้เกียจมากขึ้นไม่น้อย…
ขณะที่นางกำลังคิดอยู่ จู่ๆ ก็มีการโจมตีมาที่บ่า นางสะดุ้งหันหลังขวับ เห็นเหล่าไท่ไท่กำลังยืนจ้องตัวเองจากด้านหลังอยู่พอดี
“ท่านแม่ ท่านแม่ทำอะไรน่ะ ทำเอาตกอกตกใจหมดเลย!”
โจวกุ้ยหลานตบหน้าอกตัวเอง บ่นเหล่าไท่ไท่ประโยคหนึ่ง
“เจ้าตกใจก็เพราะขี้ขลาด!” เหล่าไท่ไท่ไม่สนใจการฟ้องร้องของนาง พลันเอ่ย “ไม่ใช่ว่าจะให้ไปทำผ้านวมให้เจ้าหรือ? ไปกันเถอะ”
“เช่นนั้นข้าจะไปเรียกสวีฉางหลิน!”
ว่าแล้วโจวกุ้ยหลานก็วิ่งไปหลังเรือน
“เอ๋า เจ้าวิ่งให้มันช้าๆ หน่อย!” เหล่าไท่ไท่ตะโกนตามอยู่ข้างหลัง
ออกเรือนสองเดือนแล้ว ในท้องไม่แน่ว่าจะมี ทำไมยังกระโดกกระเดกอย่างนี้นะ!
โจวกุ้ยหลานคิดแต่อยากไปดูสวีฉางหลินสักหน่อย เมื่อครู่เกรงว่าเขาคงเศร้าใจแล้ว ตอนนี้จะกลับไปก็พอดีเลย ทุกคนจะได้อยู่เป็นเพื่อนเขา
เมื่อถึงหลังเรือนก็เห็นสวีฉางหลินถือขวานผ่าฟืนอยู่
โจวกุ้ยหลานหยุดฝีเท้าแล้วเดินเข้าไป เมื่อถึงข้างตัวเขาก็นั่งยองลง มองเขายกขวานขึ้นแล้วผ่า เมื่อนั้นฟืนแห้งก็ถูกผ่าออก
จากนั้นก็เป็นอีกท่อนหนึ่ง การเคลื่อนไหวรวดเร็วฉับไว
“สวีฉางหลิน ข้าหารือกับเจ้าเรื่องหนึ่ง”
“อื่ม” สวีฉางหลินขานรับแล้วผ่าฟืนต่อ
ก็ไม่ทราบว่าอย่างไร โจวกุ้ยหลานรู้สึกว่าสวีฉางหลินในเวลานี้แปลกอยู่หน่อยๆ
แต่นางไม่สนใจเรื่องพวกนี้ นางยื่นมือกดมือของเขาที่ถือขวานอยู่ข้างนั้น มองเขาแล้วเอ่ย “ข้าคิดว่าต่อไปจะให้ท่านแม่กับพี่ชายไปทำการค้ากับเราด้วย ได้ไหม?”
ถึงสวีฉางหลินจะว่าง่ายมาโดยตลอด และมักให้นางเป็นใหญ่ในบ้าน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ให้นางตัดสินใจหมด แต่จากที่นางรู้สึก อีกฝ่ายใช่ว่าจะไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง แต่ที่ให้นางเป็นใหญ่ เพียงเพราะให้เกียรตินางเท่านั้น
แต่เรื่องอย่างนี้ อย่างไรก็ยังต้องหารือกับเขา
สวีฉางหลินรู้สึกถึงความอบอุ่นจากมือของภรรยาตัวน้อยตัวเอง อารมณ์ดีขึ้นหน่อยหนึ่ง จึงเอ่ย “ได้”
แม้เป็นคำตอบตามที่คิด แต่โจวกุ้ยหลานก็ยังรู้สึกดีใจมาก
“อย่างนั้นก็ได้ เรากลับกันเถอะ” โจวกุ้ยหลานดึงสวีฉางหลินลุกขึ้น สวีฉางหลินพลิกมือกุมมือของภรรยาตัวน้อยตัวเอง ตาปลาบนมือนั้นคล้ายว่าจะหายไปไม่น้อยแล้ว เรียบเนียนแล้ว
“ยังผ่าฟืนไม่เสร็จ”
สวีฉางหลินกล่าวจบ ก็ปล่อยมือภรรยาตัวน้อยตัวเองอย่างอาลัยอาวรณ์ ค้อมเอวหยิบฟืนขึ้นมาผ่าต่อ
โจวกุ้ยหลานมองสวีฉางหลินผ่าฟืนอยู่ ขบคิดใหม่ครู่หนึ่งก่อนจะถามเขา “เช่นนั้นเจ้าก็ผ่าฟืนต่ออยู่ที่นี่ ข้ากับท่านแม่จะกลับไปก่อน แล้วเดี๋ยวเจ้าค่อยพาเสี่ยวเทียนกลับ?”
สวีฉางหลินขานรับอีกครั้ง “ได้”
โจวกุ้ยหลานเดินไปข้างหน้าสองก้าว หันกลับมามองสวีฉางหลินอีกที เขาในเวลานี้กำลังผ่าฟืนอย่างซึมกะทือ ใบหน้าปราศจากอารมณ์เหมือนเดิม ไอเย็นแผ่ซ่านจากรอบตัว
เมื่อกี้นางอาจจะสะกิดเรื่องเศร้าของเขาแล้วจริงๆ
เพียงแต่สวีฉางหลินที่เป็นอย่างนี้ ห่างเหินกับนางเหลือเกิน
นางไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
บางทีเขาในตอนนี้อาจไม่อยากให้นางรบกวนอยู่ข้างๆ นางควรให้เขาได้อยู่ตามลำพัง
ระหว่างที่โจวกุ้ยหลานกำลังคิดอยู่ก็ย่างเท้าเข้าห้องโถงแล้ว ครั้นหันไปมองก็เห็นเหล่าไท่ไท่กำลังอุ้มเจ้าก้อนน้อยที่กำลังหลับอยู่เดินออกมาจากห้อง
“ท่านแม่ ท่านแม่อุ้มเสี่ยวเทียนทำไมน่ะ?” โจวกุ้ยหลานสาวเท้าไปสองสามก้าว รับเจ้าก้อนน้อยมา
เหล่าไท่ไท่ยื่นให้ จากนั้นก็หมุนตัวไปไขประตู “ข้าก็คิดว่าซ่อนของอยู่ในห้อง ไขปิดประตูไว้จะดีกว่า เจ้าเด็กนี่ก็ให้เขาไปนอนที่เตียงเตาของต้าไห่เถอะ”
ว่าแล้วก็ไขปิดประตูแล้วดึงกุญแจออก
โจวกุ้ยหลานเลื่อมใสในความระแวดระวังของเหล่าไท่ไท่จริงๆ “บ้านยากจนอย่างนี้ ขโมยไม่เข้ามาหรอก ท่านแม่ไม่เอ็ดไปว่าบ้านมีเงิน แล้วโจรพวกนั้นจะรู้ได้อย่างไร?”
“มันก็ไม่แน่ ไม่แน่ว่าจะมีโจรตาบอกหลงเข้ามาบ้านเรา อย่างนั้นแล้วข้าจะไปร้องไห้กับใคร”
เหล่าไท่ไท่กล่าวพลางแขวนกุญแจไว้ที่คอของตัวเอง เข้าห้องโจวต้าไห่กับโจวกุ้ยหลาน
เลิกผ้าห่มบนเตียงเตาออก ช่วยโจวกุ้ยหลานวางเจ้าก้อนน้อยไว้บนเตียงเตา
โจวกุ้ยหลานดึงผ้าห่มมาห่มไว้ตรงอกของเจ้าก้อนน้อย แล้วจึงออกจากห้องพร้อมกับเหล่าไท่ไท่ รอเหล่าไท่ไท่หยิบตะกร้าเข็มด้ายของตัวเองแล้วก็กลับบ้านของตัวเอง
ขณะผ่านบ้านของโจวต้าซาน ยังได้ยินเสียงของหวังหยู่ชุน ในห้องเสียงดักอึกทึกครึกโครม
“ข้าไม่เห็นด้วย บ้านเรามีเงินแค่นี้เองหรือ? ข้าไม่เชื่อ!”
หวังหยู่ชุนร้องไห้ฟูมฟาย
โจวกุ้ยหลานเบะปาก “ต่อไปเราไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพรรค์นี้จะดีกว่า”
อย่างไรก็เรื่องครอบครัวคนอื่น หากเข้าไปแทรก เกรงว่าจะเสียแรงเปล่า
เหล่าไท่ไท่ขมวดคิ้วมุ่น “รู้แล้วน่า แต่ครอบครัวลุงใหญ่เจ้าก็ลำบาก ตอนนี้ยังเกิดเรื่องขึ้นอีก…”
“พอๆๆ ท่านรีบไปตัดชุดให้ข้าเถอะ ไม่อย่างนั้นหน้าหนาวข้าต้องหนาวตายแน่ หลานชายหลานสาวยังจะเลือดข้นกว่าลูกสาวหรือ?” ว่าแล้วโจวกุ้ยหลานก็ลากเหล่าไท่ไท่สาวเท้าขึ้นเขา
เมื่อกลับถึงบ้าน โจวกุ้ยหลานเปิดประตูบ้านของตัวเอง พอเหล่าไท่ไท่เห็นผ้ากับฝ้ายที่กองอยู่ในบ้านเหล่านั้นแล้วก็ตะลึงงันอ้าปากค้าง
โจวกุ้ยหลานพานางเข้าบ้าน แล้วยกเก้าอี้ให้เหล่าไท่ไท่ เหล่าไท่ไท่ยืนลูบเนื้อผ้า แล้วก็ลูบฝ้ายเหล่านั้น ผงกหัวหงึกๆ
“ของพวกนี้เป็นของดี…เป็นของดีทั้งนั้น…”
“ผ้าพับนี้ข้าซื้อให้พี่ชาย ตอนแต่งงานต้องใช้ผ้าแดง”
โจวกุ้ยหลานเอ่ย จากนั้นก็ยื่นผ้าพับนั้นให้เหล่าไท่ไท่
เหล่าไท่ไท่รับมาแล้วลูบเบาๆ ดวงตาแดงระเรื่อ
“ทีแรกข้ายังคิดว่าถ้าพี่ชายเจ้าแต่งงาน ข้าจะไม่มีแม้แต่สินสอดเป็นชิ้นเป็นอันด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่ชุดแดงเลย กุ้ยหลาน ยังเป็นเจ้าที่เก่ง ช่วงนี้ชีวิตรุ่งเรือง”
“ต่อไปจะยิ่งดีกว่านี้อีก ท่านแม่รีบทำให้ข้าเร็วเถอะ ข้าจะไปลองทำของกินดู ดูสิว่าจะเอาไปขายข้างนอกได้ไหม” โจวกุ้ยหลานเอ่ยแล้วลุกขึ้นยืน
เหล่าไท่ไท่ “อื่อ” รับเสียงหนึ่ง วางผ้าแดงไว้ข้างๆ จากนั้นก็เริ่มร้อยด้ายเข้าเข็ม
เห็นนางอย่างนี้แล้ว โจวกุ้ยหลานก็ไม่เสียเวลาตรงนี้อีก
ถึงชาติที่แล้วนางจะมาจากบ้านนอก แต่กลับทำงานฝีมือไม่เป็นเลยสักนิด มิเช่นนั้นจะให้เหล่าไท่ไท่ทำเสื้อผ้าให้นางอยู่เรื่อยไปทำไม?
ในเมื่อตัวเองทำไม่เป็น เช่นนั้นนางก็ไม่เสียเวลาแล้ว
นางลุกขึ้น หยิบวัตถุดิบอาหารแล้วเดินเข้าห้องครัว
เมื่อวานซื้อของกลับมาแล้ว แต่เมื่อก่อนนางเคยทำแค่ขนมหัวไชเท้าไม่กี่ครั้ง ชาติที่แล้วย่าของนางดูแลนางจนเติบใหญ่ นางทำขนมภายใต้การชี้แนะของย่า แต่อย่างไรนั่นก็เป็นความทรงจำในวัยไม่ถึงสิบขวบ ตอนนี้ได้แต่ทดลองด้วยตัวเองแล้ว