นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 110 เย็นนี้กินข้าวที่นี่!
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 110 เย็นนี้กินข้าวที่นี่!
ถ้อยคำประโยคนี้ทำให้สวีฉางหลินขมวดคิ้ว
เขาบุรุษคนหนึ่ง จะงามได้อย่างไร?
“ต่อไปเจ้าต้องยิ้มมากๆ ให้พวกเราชื่นชมหน่อย!” โจวกุ้ยหลานเห็นสวีฉางหลินขมวดคิ้วอีกแล้ว จึงรีบเอ่ย
ไอ้หยา เจ้าคนนี้นี่ ทำไมชอบขมวดคิ้วนักนะ?
“เจ้าชอบ?” สวีฉางหลินปรายตา ในดวงตามีแสงวูบไหวหนึ่ง
โจวกุ้ยหลานสาวเท้าเดินไป “ก็ต้องชอบอยู่แล้วสิ ก็เจ้ายิ้มแล้วน่ามองขนาดนั้น อีกอย่าง นี่ก็บ้านเราเอง อยู่ในบ้านยังจะทำหน้าขมึงตึงอีก พวกเราที่เป็นสมาชิกในบ้านเห็นแล้วไม่สบายใจเพียงไร?”
กล่าวจบ โจวกุ้ยหลานถึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ตนเองเอาแต่กล่าวถึงบ้านมาตลอด
นางอึ้งครู่หนึ่ง หรือว่านางเห็นว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเองแล้ว?
ภรรยาชอบมอง เช่นนั้นต่อไปเขาก็จะยิ้มให้มากหน่อย
สวีฉางหลินคิด จากนั้นก็เหยียดมุมปาก เผยรอยยิ้มอันอัปลักษณ์ยิ่งกว่าการร้องไห้
โจวกุ้ยหลานเห็นแล้วยังรู้สึกแปลก ไอ้หยา รอยยิ้มนี้จะปลอมเกินไปแล้ว! แต่นี่เป็นการพยายามทดลองของสวีฉางหลิน จะทำร้ายความมั่นใจของเขาไม่ได้ มิเช่นนี้ต่อไปเขาจะไม่ยิ้มอีก
ก็ขณะที่กำลังชมเชยอยู่ เสียงของเจ้าก้อนน้อยก็ดังมาจากข้างหลัง “ท่านพ่อเจ็บใบหน้าหรือ?”
โจวกุ้ยหลานหันขวับ เห็นเจ้าก้อนน้อยกำลังทำตาโตมองสวีฉางหลินด้วยความประหลาดใจอยู่
นี่ท่านพ่อเป็นอะไรไปแล้ว? แปลกจริง ป่วยไปแล้วหรือ?
เจ้าก้อนน้อยคิดๆ จากนั้นใบหน้าก็ปรากฏสีหน้าเป็นกังวล
“ข้ากำลังยิ้ม” สวีฉางหลินทำการอธิบายต่อบุตรชายอย่างจริงจัง
“ยิ้มไม่ใช่แบบนี้” เจ้าก้อนน้อยเอ่ย จากนั้นก็ฉีกริมฝีปาก เผยรอยยิ้มไร้เดียงสาหนึ่ง แล้วเอ่ยกับบุรุษที่อยู่ตรงหน้า “ยิ้มคือแบบนี้ต่างหาก”
“ภรรยาข้าชอบก็พอ” สวีฉางหลินรู้สึกหดหู่ แต่เมื่อนึกถึงโจวกุ้ยหลาน เขาก็ยังมีความมั่นใจในการโต้กลับ
เจ้าก้อนน้อยทำปากยื่น “ท่านแม่ชอบรอยยิ้มของข้า ท่านพ่อยิ้มได้ไม่ถูกต้อง”
ว่าแล้วทั้งสองก็ฉีกมุมปากกับโจวกุ้ยหลาน แววตานั้นก็คือกำลังรอนางเลือกอยู่
เหงื่อกาฬตรงหน้าผากของโจวกุ้ยหลานตกลงมาแล้ว ทำไมสองพ่อลูกนี่เป็นอย่างกับพี่น้องกันแน่ะ?
“ล้วนน่ามอง ข้าชอบทั้งนั้น” โจวกุ้ยหลานเกรงว่าจะทำร้ายคนทั้งสอง จึงรีบเอ่ย
แต่ก่อนที่สวีฉางหลินจะรู้สึกตัวขึ้นมา โจวกุ้ยหลานก็ถามเขา “ขนมหัวไชเท้านี่เป็นอย่างไรบ้าง? เอาไปขายที่โรงเตี๊ยมเทียนเซียงได้ไหม?”
เป็นอย่างที่คิด สวีฉางหลินถูกโจวกุ้ยหลานเบนความสนใจ ถอนความสนใจจากการประลองรอยยิ้มกับเจ้าก้อนน้อยอย่างรวดเร็ว ตอบโจวกุ้ยหลาน “มิเช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะไปลองดู?”
“ดี ถ้าครั้งนี้กลับมาได้เงิน เราก็ให้ท่านแม่กับพี่ชายข้าทำการค้ากับพวกเราเถอะ”
โจวกุ้ยหลานเสนอ
ของอย่างขนมหัวไชเท้าประเภทนี้ใช้เวลาและกำลังในการทำมาก ถ้าอยากทำในปริมาณมาก เช่นนั้นก็ต้องมีผู้ช่วย และแน่นอนว่าท่านแม่และพี่ชายนางคือตัวเลือกที่ดีที่สุด แบบนี้ท่านแม่ของนางก็จะมีรายได้นิดหน่อย
แต่แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องหลังจากนี้แล้ว อันดับแรกต้องทำให้ขนมของพวกเขาเป็นที่ชื่นชอบของแขกโรงเตี๊ยมเทียนเซียงก่อน
“ได้” สวีฉางหลินพยักหน้าเห็นด้วยอีกครั้ง
“ต่อไปเสี่ยวเทียนก็ต้องช่วยด้วยนะ” โจวกุ้ยหลานหันไปเอ่ยกับเจ้าก้อนน้อย
ครั้นได้ยินว่าตัวเองสามารถช่วยท่านแม่ได้ เจ้าก้อนน้อยก็ออกแรงผงกศีรษะ
เมื่อทั้งสองปรึกษาหารือกันเสร็จ โจวกุ้ยหลานก็ตักขนมหัวไชเท้าอีกถ้วยออกไปให้เหล่าไท่ไท่
ทีแรกเหล่าไท่ไท่บอกปัดไม่กินแล้ว แต่โจวกุ้ยหลานบอกว่าหากนางไม่กินจะเอาไปให้ไก่กินเสียเลย เหล่าไท่ไท่ทำใจไม่ได้จึงบอกว่าจะเก็บไว้ให้โจวต้าไห่กิน
“ข้าเป็นยัยแก่แล้ว กินของดีเยอะแยะไปทำไม? อีกอย่างข้าก็กินไปหนึ่งถ้วยแล้ว” เข็มด้ายเหล่าไท่ไท่เป็นระเบียบไม่หยุด
โจวกุ้ยหลานจนใจ จึงได้แต่เกลี้ยกล่อมต่อ “ในหม้อยังมีอีก พี่ใหญ่กลับมาต้องได้กินแน่ ท่านแม่ ท่านแม่กินก่อนเถอะ ของนี่เย็นแล้วจะไม่อร่อย”
“ไอ้หยา ทำไมเจ้าทำเยอะแยะขนาดนั้น?” เหล่าไท่ไท่ได้ฟังใบหน้าก็กระตุก
“ก็ไม่ใช่จะให้ท่านแม่กินมากหน่อยหรือ” ว่าแล้วโจวกุ้ยหลานก็ยื่นถ้วนในมือออกไป
เหล่าไท่ไท่คิดว่าของดีอย่างนี้ ถ้าเย็นไปจะไม่อร่อย รู้สึกเสียดายจึงได้แต่รับมาแล้วเริ่มกินอีกครั้ง
รอจนนางกินเสร็จ โจวกุ้ยหลานก็หยิบถ้วยไปที่ห้องครัว สวีฉางหลินผลักนางออกไป โดยที่เขาจะเป็นคนล้างถ้วยกับตะเกียบเอง
เวลาหลังจากนี้ สวีฉางหลินหยิบขวานออกไปตัดต้นไม้ข้างนอกต่อ ส่วนโจวกุ้ยหลานก็ช่วยเหล่าไท่ไท่ทำชุดนวม
เจ้าก้อนน้อยเล่นเองอยู่ข้างๆ
กระทั่งตอนเย็น เหล่าไท่ไท่ก็ลุกขึ้นจะกลับบ้านตัวเอง
โจวกุ้ยหลานไม่ยอมให้นางกลับ “ท่านแม่ ท่านแม่ก็มานี่แล้ว เย็นนี้กินข้าวที่นี่เถอะ!”
“ไอ้หยา กลัวว่าพี่ชายเจ้าจะกลับมาแล้ว ข้าต้องกลับไปทำกับข้าวให้เขา ไม่อย่างนั้นเขาจะหิว” ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเหล่าไท่ไท่ก็จะกลับ
บุตรชายออกไปหนึ่งวันแล้ว นางเฝ้าห่วงหาทั้งวัน
“ให้สวีฉางหลินไปเรียกพี่มาก็ได้ เย็นนี้พวกเราจะกินบะหมี่นวดมือ ท่านแม่ก็ให้พี่ข้าได้บำรุงร่างกายดีๆ หน่อยเถอะ” โจวกุ้ยหลานใช้ข้ออ้างนี้ออกไปทันที
อย่างไรเสีย เหล่าไท่ไท่ก็ช่วยนางทำงานมาตลอดช่วงบ่าย ถ้าแม้แต่อาหารมื้อเย็นก็ไม่กิน นางจะรู้สึกไม่สบายใจ
อีกอย่าง เหล่าไท่ไท่กลับไปอย่างมากก็แค่ต้มแกงจืดกับข้าวต้มน้ำเยอะๆ กินเท่านั้น ส่วนครอบครัวนางกลับกินอร่อยอยู่ฝ่ายเดียว?
“ข้ายังมีไก่ที่ยังไม่ได้ให้อาหาร หมูก็ไม่มีคนดูแล” เหล่าไท่ไท่นึกถึงงานเป็นกองที่บ้าน รู้สึกร้อนรน
บุตรสาวคนเล็กคนนี้พอดื้อดึงขึ้นมาก็ไม่ยอมใคร นางถูกรั้งเอาไว้เสียแล้ว
“เดี๋ยวข้าจะให้สวีฉางหลินไปทำให้ท่านแม่ ตอนนี้ท่านแม่ช่วยข้าทำบะหมี่พวกนี้ก่อน เอาไว้พี่ชายข้ามาแล้วก็กินกัน” โจวกุ้ยหลานไม่ปล่อยมือ ดึงเหล่าไท่ไท่ไว้แน่น
จากนั้นก็หันไปเรียกเจ้าก้อนน้อยที่อยู่ข้างๆ “เสี่ยวเทียน เจ้าไปเรียกท่านพ่อเจ้าที่หน้าประตู ให้เขารีบกลับมา”
เจ้าก้อนน้อยรับคำ ก้าวขาสั้นๆ วิ่งออกไปข้างนอก
“อย่าวิ่งไปไกลนะ เรียกที่หน้าประตูล่ะ!” โจวกุ้ยหลานรีบหันไปตะโกนข้างหลัง
เสี่ยวเทียนขานรับอีกครั้ง ร่างน้อยๆ ออกไปแล้ว
เมื่อเห็นเจ้าก้อนน้อยออกไปแล้ว โจวกุ้ยหลานถึงจะปล่อยเหล่าไท่ไท่ “ท่านแม่ ท่านแม่ก็วางใจกินข้าวที่นี่เถอะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวข้าจะให้ฉางหลินมัดท่านแม่กับพี่ชายไว้ที่นี่เสียเลย”
“นังเด็กนี่นิ ยังจะมัดข้าอีก!” เหล่าไท่ไท่ถลึงตาใส่โจวกุ้ยหลาน แต่สุดท้ายก็ยังนั่งลงแล้วทำงานในมือต่อ
โจวกุ้ยหลานช่วยอยู่ด้านข้าง สนทนากับเหล่าไท่ไท่อีกสองประโยค สวีฉางหลินก็แบกขวานกลับมาแล้ว
“ฉางหลิน เจ้ากลับบ้านไปดูหน่อยว่าพี่ชายกลับมาแล้วหรือยัง ถ้ากลับมาแล้วก็เรียกเขามากินข้าว ต้องเรียกมาให้ได้นะ!” โจวกุ้ยหลานเจาะจงเน้นอีกรอบ
สวีฉางหลินกระจ่างในความหมายของภรรยาตัวน้อยของตัวเองแล้ว เก็บขวานไว้ตรงมุมหนึ่ง รับคำ “ได้”
“จริงสิ งานให้อาหารไก่กับหมูในบ้านท่านแม่ เจ้าก็ลวดทำเลยแล้วกัน รอไก่กินเสร็จ เจ้าก็ต้อนไก่พวกนั้นของท่านแม่เราเข้าเล้า”
โจวกุ้ยหลานกล่าว หันไปทางเหล่าไท่ไท่
คราวนี้เหล่าไท่ไท่นั่งทำงานของตัวเอง ไม่ได้พูดอะไร
ส่วนสวีฉางหลินทางนั้นรับเสียงหนึ่ง จากนั้นก็รีบเดินออกไปข้างนอก
โจวกุ้ยหลานสนทนากับเหล่าไท่ไท่อีกหน่อย ดูสีท้องฟ้าแล้วก็รีบไปทำงาน
รอนางทำงานเสร็จ โจวกุ้ยหลานก็ไปห้องครัวอีก หยิบแป้งแล้วเริ่มนวดแป้ง
เหล่าไท่ไท่วางงานในมือแล้วไปช่วยงานนางด้วย