นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 112 บุตรสาวชวนให้เอ็นดู
ก่อนหน้านี้นางเคยพูดว่าอยากให้ครอบครัวมารดาของตัวเองร่วมด้วย แต่เรื่องนี้นางยังไม่ได้คุยกับเขา เขากลับเอ่ยปากขึ้นเองก่อน
นี่เห็นนางเป็นครอบครัวแล้วจริงๆ และยังเห็นเหล่าไท่ไท่กับโจวต้าไห่เป็นครอบครัวตัวเองอีกด้วย!
“นั่นจะได้อย่างไร? นั่นเป็นฝีมือทำมาหากินของเจ้านะ ถ้าพาข้าไปด้วย เช่นนั้นรายได้เจ้าก็ลดลงมากสิ? นี่ไม่ได้!” โจวต้าไห่นิ่งงันพักหนึ่ง หลังจากตระหนักแล้วก็รีบส่ายหน้า
ตอนนี้จะเข้าหน้าหนาวแล้ว เป็นช่วงเผาถ่านพอดิบพอดี ผ่านหน้าหนาวไปก็ขายถ่านไม่ได้แล้ว
แต่เมื่อเหล่าไท่ไท่ที่อยู่ข้างๆ ได้ยิน ก็แอบหยิกบุตรชายโง่งมทีหนึ่ง
ฉางหลินก็พูดเองแล้วว่าจะพาเขาไปเผาถ่าน อย่างไรก็ยังเสริมค่าใช้จ่ายในบ้านได้ แต่เจ้าบุตรชายโง่งมคนนี้กลับไม่รับปาก!
สวีฉางหลินลุกขึ้นเดินออกมา เขามองโจวกุ้ยหลานแวบหนึ่ง เห็นนางกำลังมองตนอยู่พอดี คาดว่านางก็อยากให้พี่ชายทำเช่นนี้เหมือนกัน ดังนั้นจึงเอ่ยปากอีกครั้ง “เราทำมากหน่อย อย่างไรก็ได้เงิน ข้าทำคนเดียวก็ไม่ได้ ต้องการคนช่วย”
“ไอ้หยา ต้าไห่ ฉางหลินต้องการคนช่วย เจ้ายังไม่รีบรับปากอีก?” เหล่าไท่ไท่ร้อนรน พูดไปก็พยักพเยิดกับบุตรชายตัวเองไป
ฉางหลินต้องการช่วยต้าไห่ หากต้าไห่ไม่ยอม เช่นนั้นต่อไปฉางหลินคงดูแลต้าไห่อย่างพี่เมียไม่ได้แล้ว
“พี่ เจ้าก็รับปากเถอะ ตำบลนั้นใหญ่ออกปานนี้ คนตั้งเท่าไรต้องการถ่าน อีกอย่าง ถ้าพวกท่านเผาถ่านได้ดี คนเขายังต้องแย่งกันซื้อ ถึงตอนนั้นพวกเจ้าสองคนก็เผาไม่ทันแล้ว ทำไมยังไม่รับปากล่ะ?”
ตอนนี้โจวกุ้ยหลานก็เริ่มเกลี้ยกล่อมโจวต้าไห่ด้วย
นางเข้าใจดีว่าพี่ชายคนนี้ของตนกลัวว่าจะเอาเปรียบผู้อื่น แต่นางไม่อยากเห็นเขายากจนข้นแค้นอย่างนี้ต่อไป กิจการนี้ต้องร่วมด้วยช่วยกันในครอบครัวจึงจะทำให้ใหญ่ได้
“เจ้าเป็นคนที่จะแต่งเมียแล้ว ต่อไปยังต้องมีลูก ถึงตอนนั้นคนในครอบครัวต้องให้เจ้าเลี้ยง เจ้าจะอาศัยแค่ที่ดินไม่กี่ไร่เลี้ยงครอบครัวหรือ? เจ้าจะให้ลูกเมียเจ้าต้องรับกรรมไปกับเจ้าหรืออย่างไร?”
เหล่าไท่ไท่กล่าวพลางหยิกแขนโจวต้าไห่แรงๆ ออกแรงมือเต็มเหนี่ยว
หากมิใช่เพราะอยู่ต่อหน้าฉางหลิน นางต้องเอาไม้มาตีบุตรชายคนนี้ให้หนักยกหนึ่งแน่!
เรื่องดีที่คนอื่นคิดยังไม่กล้าคิด แต่เขากลับไม่รับปาก!
เขาถูกถ้อยคำนี้ของเหล่าไท่ไท่พูดแทงใจดำ ตอนนี้มีเขากับท่านแม่ของเขาสองคน อาศัยที่ดินในบ้านก็ยังกินไม่อิ่ม แล้วถ้ายังมีภรรยากับลูกอีก นั่นมิต้องหิวตายหรือ?
คิดอย่างนี้แล้วเขาก็หวั่นไหว
“ข้าแค่ไม่อยากให้รายได้พวกเจ้าลดลง” เขากล่าว จากนั้นก็เกาศีรษะอีก
โจวกุ้ยหลานกระจ่างในความคิดของเขา พลันเอ่ย “เช่นนั้นก็อย่างนี้แล้วกัน สองสามวันนี้ท่านไปช่วยฉางหลินก่อน พวกเราให้ค่าจ้างท่าน ถ้าขายแล้วได้เงินมาก เราก็ไม่ต้องห่วงเรื่องการกินการอยู่อีก ถึงตอนนั้นท่านค่อยแบ่งเงินกับฉางหลิน เป็นอย่างไร?”
นี่ถือเป็นการเชิญคนช่วยทำงาน ไม่นับว่าแย่งการค้า
โจวต้าไห่ได้ยินก็ส่ายหน้า “ไม่ได้ๆ ช่วยพวกเจ้าทำงานจะรับเงินได้อย่างไร? ข้าจะช่วยพวกเจ้าทำ ถ้าพวกเจ้าทำไม่ไหวแล้วข้าค่อยไปเสริม”
“ถ้าเจ้าไม่รับเงิน เราก็จะไม่ให้เจ้าช่วย พวกเราจะไปเชิญพวกคนที่สร้างบ้านให้พวกเราในตอนนั้นมาช่วยเผาถ่านแทน! ถ้าคนพวกนั้นเรียนฝีมือไป ถึงตอนนั้นพวกเราก็ไม่ต้องทำมาค้าขายแล้ว คงต้องให้ฉางหลินไปล่าสัตว์ต่อ”
โจวกุ้ยหลานหึเย็นทีหนึ่ง เบือนหน้าไม่มองโจวต้าไห่อีก
“นั่นจะได้อย่างไร! ถ้าพวกเขาเรียนไปแล้วต่อไปพวกเจ้าจะทำอย่างไร? ไม่ได้ๆ! กุ้ยหลาน นี่ไม่ได้!” โจวต้าไห่เรียกโจวกุ้ยหลานด้วยความร้อนรน
โจวกุ้ยหลานไม่สนใจเขา หันไปเอ่ยกับสวีฉางหลิน “บะหมี่กินได้แล้ว เจ้ายกโต๊ะออกมาเถอะ?”
สวีฉางหลินเข้าใจภรรยาตัวน้อยว่าจะออกอุบายกับโจวต้าไห่อีก จึงรับคำแล้วเดินออกไปข้างนอก
โจวต้าไห่ที่ร้อนรนให้เหล่าไท่ไท่ช่วยเกลี้ยกล่อมน้องสาวตัวเอง เหล่าไท่ไท่ตวาดกลับเขาอย่างหนัก “ทำไมข้าถึงได้มีลูกชายโง่อย่างนี้นะ?”
บุตรสาวคนเล็กของตนคนนี้ฉลาดหลักแหลม แทบอยากใช้สมองของนางให้มาก แต่ทำไมบุตรชายกลับเป็นอย่างกับตอไม้เล่า?
โจวกุ้ยหลานก็จนใจ พี่ชายของตัวเองซื่อเสียเหลือเกิน ต่อไปมีครอบครัวแล้ว น่ากลัวว่าต้องถูกภรรยาของเขาควบคุมหมดแน่
ปกติเห็นเขาก็เหมือนสวีฉางหลินไม่ค่อยพูดอะไร ทำงานก็เก่ง แต่สมองทึ่ม! ดูสวีฉางหลินสิ ความคิดแล่นเร็วปรื๋อ รู้จักดูสถานการณ์ขนาดไหน แล้วยังจะได้ผลประโยชน์จากเขาอีก
“พี่ ฉางหลินออกไปแล้วข้าก็จะพูดจากใจล่ะนะ ก่อนหน้านี้ข้าเก็บเงินได้จำนวนหนึ่ง วันนี้ยังให้ท่านแม่ยืมสิบตำลึงเอาไว้ให้พี่ใช้ตอนแต่งงาน ในมือข้ายังมีอีก อย่างไรก็สบายกว่าที่บ้านใช่ไหม? พี่ห่วงพวกเรา มิสู้ห่วงตัวท่านเองเถอะ”
โจวกุ้ยหลานกล่าววาจาไม่เกรงใจสักนิด “ตอนนี้ข้ากินข้าวได้ทุกวัน เจ้ากินได้ไหม? เจ้าทำใจให้ท่านแม่พวกเรากินโจ๊กธันยพืชได้ แต่ข้าทำใจไม่ได้! พูดตามจริง นี่ข้าก็เพื่อกตัญญูต่อท่านแม่เรานะ ถ้าเจ้ายินยอม เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้ ถ้าเจ้าไม่ยินยอม เช่นนั้นต่อไปข้าก็ได้แต่ให้สวีฉางหลินขนข้าวสารอาหารแห้งไปที่บ้านแล้ว ข้าเลี้ยงเจ้ากับท่านแม่เราเสียเลย”
“จะได้อย่างไร…” โจวต้าไห่พลันโต้กลับ แต่เพิ่งโพล่งออกมาก็ถูกโจวกุ้ยหลานขัด
“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะคิดอย่างไร ถึงอย่างไรข้าก็ให้ท่านแม่เราลำบากไม่ได้ อีกอย่างเรื่องนี้สวีฉางหลินก็เสนอเอง นั่นเป็นน้ำใจจากเขา เจ้าไม่ยินยอมขนาดนี้ กลับเหมือนพวกเราบีบบังคับ ทำให้สวีฉางหลินอึดอัดใจด้วย ต่อไปเจ้าจะให้เขามองข้าอย่างไร?”
คำพูดของโจวกุ้ยหลานทำจนโจวต้าไห่เป็นใบ้พูดไม่ออก
น้องสาวกล่าวได้ถูกต้อง นี่เป็นน้ำใจของฉางหลิน เขาคิดมากก็ไม่ค่อยถูก
เหล่าไท่ไท่มองโจวกุ้ยหลาน เก็บซ่อนรอยยิ้มบนใบหน้าไม่อยู่
ไอ้หยา บุตรสาวสุดที่รักของนาง ทำไมถึงชวนให้เอ็นดูขนาดนี้นะ?
ดูนางพูดเข้าสิ มีเหตุผลขนาดไหน? ดูสิ ตั้งแต่วันนั้นที่ออกเรือนไปก็เจริญรุ่งเรืองมากขึ้นทุกที ทั้งยังกตัญญูต่อนาง ดีเสียยิ่งกว่าบุตรชายคนอื่นๆ อีก!
“กุ้ยหลาน พวกเราไม่พูดเรื่องพวกนี้กับพี่ชายเจ้าแล้ว ถ้าเขาไม่ยอม ข้าจะไปช่วยฉางหลินเอง ข้าจะถือขวานไปสับต้นไม้!” เหล่าไท่ไท่ตื้นตัน น้ำเสียงเอื้อนเอ่ยจึงอ่อนโยนกว่าเมื่อก่อนมาก
ทว่าน้ำเสียงอ่อนฝ้ายเช่นนี้กลับทำให้โจวกุ้ยหลานสะท้านไปทั้งตัว
นางไม่ชินกับเหล่าไท่ไท่ที่เป็นอย่างนี้…
“ท่านแม่ เออ ท่านแม่หิวแล้วกระมัง? บะหมี่เสร็จแล้ว รีบไปกินเถอะ” โจวกุ้ยหลานรีบเปิดฝาหม้อ หยิบชามออกมาตักบะหมี่ แล้วยังตักหมูใส่ในชามเยอะด้วย
ไม่ได้การ ต้องให้เหล่าไท่ไท่รีบกินข้าวเถอะ ไม่อย่างนั้นนางจะอดไม่ไหว
“ข้าไม่ค่อยหิว ตอนบ่ายกินขนมหัวไชเท้าอะไรนั่นเยอะเกินไป เจ้าตักให้ฉางหลินเยอะหน่อย”
เหล่าไท่ไท่ก้าวเท้าเดินมาพูดกับโจวกุ้ยหลาน
“ข้าต้มหม้อเบ้อเร่อ คืนนี้พวกเราคงกินกันไม่หมดหรอก” โจวกุ้ยหลานเอ่ย แล้วยื่นชามให้เหล่าไท่ไท่
จากนั้นนางก็หมุนตัว หยิบชามอีกใบ ตักไข่กับหมูจำนวนมากกับบะหมี่ใส่ชามใหญ่ ยื่นให้เหล่าไท่ไท่พร้อมส่งสายตากับนาง