นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 117 ความคิดของไป๋เย่จื่อ
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 117 ความคิดของไป๋เย่จื่อ
โจวกุ้ยหลานตอบไปคำ หยิบที่คีบเขี่ยสองสามที ให้ไฟแรงขึ้นอีกหน่อย
“ยังเป็นกุ้ยหลานดี!” ซานเฉียงยิ้มเบิกบาน
สองวันนี้มีคนมากมายเอาของมาให้บ้านเขา แต่อย่างไรทุกคนก็อัตคัด ครอบครัวไหนต่างก็ไม่มีเนื้อสัตว์ ดังนั้นแกงไก่ของโจวกุ้ยหลานจึงเป็นของดีชิ้นแรก
“บ้านเจ้าไม่พอกินแล้วกระมัง? เจ้าเอากลับไปบ้างเถอะ เหลือไว้ถ้วยหนึ่งให้ป้าใหญ่เจ้ากับชิวเซียงกินก็พอแล้ว” โจวต้าซานกล่าวพลางไปหาถ้วยจากตู้เก็บถ้วยชาม
โจวกุ้ยหลานเบะปาก
ใครอยากให้โจวชิวเซียงกินกัน? นั่นศัตรูความรักนางเลยนะ!
แล้วยังหลี่ซิ่วยิงอีก ถึงจะน่าสงสาร แต่ก็ทำให้นางหงุดหงิดยิ่ง นี่นางเอามาให้ท่านลุงใหญ่กับซานเฉียงกินต่างหาก!
แต่นางก็ตระหนักดี พวกเขาครอบครัวเดียวกัน ตอนนี้ยังเป็นคนป่วยอีก ในบ้านมีของดีของอร่อยก็ต้องให้พวกนางสองคน
“ข้าเอามาแล้วจะเอากลับไปได้อย่างไร? อีกอย่าง ในบ้านยังมีอีก ข้าเอามาครึ่งหนึ่ง” โจวกุ้ยหลานกล่าวห้ามโจวต้าซาน พักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยต่อ “ท่านลุงใหญ่ ชามใหญ่นี่พอให้พวกท่านทั้งครอบครัวกินแล้ว ท่านกับพี่ซานเฉียงก็ต้องกินด้วยนะ ต่อไปในบ้านยังต้องพึ่งพวกท่านทั้งสองอีก จะเสียสุขภาพไม่ได้”
โจวต้าซานอึ้ง การเคลื่อนไหวมือสั่นเทานิดๆ
กุ้ยหลานคิดได้กระจ่างปานนี้?
หรือเพราะออกเรือนแล้วจึงเปลี่ยนไป? ก็ใช่ ต้องจัดการงานทั้งบ้าน ดูท่าจะเก่งใหญ่แล้ว
“ยังเป็นกุ้ยหลานฉลาด ถ้าเจ้าไม่พูดอย่างนี้ เดี๋ยวพ่อข้าต้องเก็บไว้ให้แม่ข้าชิวเซียงค่อยๆ กินแน่”
ซานเฉียงหัวเราะซุกซนเอ่ย
“พูดมาก!” โจวต้าซานตวาดซานเฉียงด้วยความโกรธอีกครั้ง
ทำไมลูกชายคนนี้ถึงปากมากอย่างนี้นะ ไม่เหมือนผู้ชายเลย
ซานเฉียงก้มหน้า แอบพยักพเยิดกับโจวกุ้ยหลาน
เทแกงไก่ในชามใส่ชามใบใหญ่บ้านตัวเอง หนึ่งชามก็ยังเทไม่หมด เขาจึงหยิบชามใบใหญ่อีกชามมาถึงจะหมด จากนั้นจึงวางชามใบใหญ่ของโจวกุ้ยหลานตะกร้าก่อนจะเอ่ย “กุ้ยหลาน เจ้าไม่ต้องช่วยอยู่ที่นี่แล้ว พวกฉางหลินยังรอเจ้ากลับไปทำกับข้าวละสิ? ข้าไม่รั้งเจ้าไว้แล้ว”
โจวกุ้ยหลานลุกขึ้นเอ่ยกับเขา ออกจากห้องครัว ซานเฉียงรีบส่งออกมา
“แล้วห้องครัวนี้พวกท่านแบ่งกันอย่างไร?”
“พี่สะใภ้รองจะสร้างในบ้านเอง นางไม่ชอบห้องครัวเก่าๆ นี่” ซานเฉียงตอบด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง
แบบนี้ยังดี อย่างน้อยก็ไม่ต้องกลัวว่าแกงไก่ชามนั้นจะถูกหวังหยู่ชุนขโมยกิน
เมื่อเดินออกมา เอ้อร์เฉียงก็ยิ้มกับนาง แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อ
โจวกุ้ยหลานรู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้าง ในความทรงจำของเจ้าของร่าง ลูกผู้พี่ชายสองคนนี้ดีต่อนางมาก แต่ตอนนี้เอ้อร์เฉียงกับหวังหยู่ชุนแยกครอบครัวไปแล้ว นางจึงไม่อยากมีปัญหานัก
หลังจากทักทายกับเขาแล้ว นางก็ก้มหน้าสาวเท้าออกจากบ้านโจวต้าซาน
ตามหลักนางควรมอบของให้บ้านเอ้อร์เฉียงจำนวนหนึ่ง แต่สิ่งของเหล่านั้นจะไม่ถึงปากเอ้อร์เฉียง
เอาไว้ค่อยส่งข้าวจำนวนหนึ่งให้ทั้งสองบ้านแล้วกัน แน่นอนว่าเป็นตามมารยาทเท่านั้น…
ยิ่งคิดถึงครอบครัวโจวต้าซาน นางก็ยิ่งไม่สบายใจ
ทันใดนั้นก็มีคนเรียกชื่อนางจากข้างหลัง ครั้นหันกลับไปก็เห็นไป๋เย่จื่อกำลังวิ่งมาหานาง
โจวกุ้ยหลานชะงักงัน นับจากคราวก่อนที่ไป๋เย่จื่อส่งอาหารมาให้นางที่บ้านก็ครึ่งเดือนกว่าแล้ว จากนั้นก็ไม่พบเห็นอีกเลย แล้วตอนนี้อีกฝ่ายมาหานางทำไม?
นางคิดแล้วจึงยืนอยู่กับที่รออีกฝ่ายมา
ไป๋เย่จื่อคล้องตะกร้าใบหนึ่งไว้ในมือ วิ่งตลอดทาง กระหืดกระหอบอยู่ตรงหน้าโจวกุ้ยหลาน
“กุ้ยหลาน…”
“เจ้าหายใจหายคอให้ดีก่อนแล้วค่อยพูดเถอะ” โจวกุ้ยหลานช่วยนางตบหลัง บ่งบอกว่าไม่ต้องรีบร้อน
ไป๋เย่จื่อหอบหนักสองสามทีแล้วจึงดีขึ้น แต่พอนึกถึงธุระของตัวเองก็พูดไม่ออกอยู่บ้าง
“ทำไมหรือ?” โจวกุ้ยหลานเห็นนางยืนดีแล้วครู่หนึ่งแต่ก็ไม่เอ่ยปาก จึงถาม
“เออ…พี่ชายเจ้า…เมื่อวานพี่ชายเจ้าไปดูตัวแล้วหรือ?” ไป๋เย่จื่อก้มหน้างุด ช้อนตาขึ้นมา หน้าแดงราวกับชมพู่มะเหมี่ยว
โจวกุ้ยหลานอึ้ง คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะถามเรื่องนี้
แต่ไม่นานนางก็พลันกระจ่าง สายตาที่มองไป๋เย่จื่อจึงพกพาความต้องการสืบเสาะเล็กน้อย “เมื่อวานไปมาแล้ว”
ไป๋เย่จื่อพลันร้อนรน รีบเงยหน้ามองโจวกุ้ยหลาน กระวนกระวายถาม “เป็นอย่างไรบ้าง? พวกเขาชอบพอกันไหม?”
นี่…
แม่นางผู้นี้ชอบพี่ชายนางหรือ?
โจวกุ้ยหลานตะลึง จะให้ตอบอย่างไรดี? ดูท่าทางพี่ชายตนก็สมัครใจ แต่ทางนั้นยังไม่ได้ตอบกลับ นี่เป็นพี่ชายนางชอบแม่นางทางนั้น หรือเพราะคิดว่าแม่นางทางนั้นเหมาะสมที่จะแต่งงานกันแน่?
ไอ้หยา ปวดหัวจังเลย!
ไม่ได้การ ต้องกลับไปถามก่อนถึงจะรู้!
เมื่อคิดเรื่องนี้จบ โจวกุ้ยหลานก็ได้แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นความคิดของไป๋เย่จื่อ ได้แต่ตอบว่า “เมื่อวานเพิ่งเจอกัน ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
แววตาไป๋เย่จื่อลนลาน “เช่นนั้นเจ้าช่วยข้าถามให้หน่อยได้ไหม?”
“ได้ กลับไปแล้วข้าจะถามเรื่องนี้ให้นะ”
โจวกุ้ยหลานรับปากไป๋เย่จื่อ พูดคุยกับนางนิดหน่อยแล้วจึงกลับขึ้นเขา
เมื่อเข้าบ้านก็เห็นอาสะใภ้ชุ่ยฮวากำลังนั่งอยู่ในห้องโถงกับเหล่าไท่ไท่
“พี่สะใภ้ ข้าก็บอกแล้วว่าพวกเขาสองคนเหมาะสมกันใช่ไหมล่ะ? ครอบครัวฝ่ายหญิงพอใจต้าไห่มาก พี่สะใภ้ทางนี้ก็ไม่ว่าอะไร เช่นนั้นข้าก็จะไปพูดเรื่องแต่งงานแล้วนะ?”
“ขอแค่พวกเขาเป็นคนดีก็พอ ข้าทางนี้ไม่มีอะไรจะพูด” เหล่าไท่ไท่ก็ดีใจ
ว่าแล้วก็ตบมือชุ่ยฮวา “ชุ่ยฮวา อย่างนั้นเรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้ รบกวนเจ้าเทียวไปเทียวมาแล้ว”
“พูดอะไรน่ะ? พวกเขาร่วมเรียงเคียงหมอนกันได้ ข้าดีใจจะแย่! อย่างนั้นข้ากลับไปแล้วนะ คนในบ้านกำลังรอข้าทำอาหารอยู่” ชุ่ยฮวาเอ่ยพลางลุกขึ้นยืน
โจวกุ้ยหลานเบิกตากว้างมองเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ในใจมีเพียงความคิดหนึ่ง จบกัน…
“ไอ้หยา ชุ่ยฮวากินข้าวแล้วค่อยไปเถอะ เราจะไปทำกับข้าวเดี๋ยวนี้นี่แหละ” เหล่าไท่ไท่ดึงมือชุ่ยฮวา ไม่ให้นางไป
“ถ้ามีข้าแค่คนเดียวก็กินที่นี่แล้ว แต่คนในบ้านอีกหลายคนกำลังรอข้ากลับไปทำกับข้าวอยู่แน่ะ” ชุ่ยฮวามุ่งมั่นที่จะกลับ
เหล่าไท่ไท่จึงไม่รั้ง ปล่อยนางไป
เมื่อทั้งสองหันมาก็เห็นโจวกุ้ยหลานกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตู มองพวกนางอย่างกับตัวโง่งม
“อาสะใภ้ชุ่ยฮวาเจ้ามาแล้วยังไม่ทักทายอีก ยืนทื่ออย่างกับเสาทำอะไร? คิดจะเป็นเทพรักษาประตูหรือ?” เหล่าไท่ไท่เตือนโจวกุ้ยหลาน
คนเขามาเป็นแขก เห็นหน้าแล้วยังทำเป็นไม่เห็นได้อย่างไร?
โจวกุ้ยหลานปิดปากตัวเองช้าๆ แล้วฝืนฉีกยิ้ม ทักทายกับอาสะใภ้ชุ่ยฮวา “อาสะใภ้ชุ่ยฮวามาแล้วหรือ?”
“มาแล้ว แล้วข้าก็จะกลับแล้ว กุ้ยหลาน ยังเป็นเจ้ามีชีวิตที่ดี ดูบ้านใหม่นี่สิ ในบ้านยังซื้อผ้ากับฝ้ายตั้งเยอะแน่ะ!” ชุ่ยฮวายิ้มตาหยี กล่าวพลางกวาดสายตามองผ้าชิ้นกับฝ้ายเหล่านั้น
“จะเข้าหน้าหนาวแล้ว กลัวเด็กจะหนาว ทำอย่างไรได้ ก็เลยต้องให้สวีฉางหลินเข้าป่าล่าสัตว์ เฝ้าอยู่ทั้งเดือนถึงได้จะเงินมาซื้อของพวกนี้”