นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 118 ไฟไหม้
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 118 ไฟไหม้
โจวกุ้ยหลานยิ้มตอบรับด้วย
“ยังเป็นผู้ชายเจ้ามีฝีมือ ผู้ชายบ้านข้ามีแต่อยู่ในนารับใช้เรือกแปลง ช่างเถอะ ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว ข้ากลับไปล่ะ”
เมื่อกล่าวจบ อาสะใภ้ชุ่ยฮวาก็เดินออกไปข้างนอกโดยมีโจวกุ้ยหลานกับเหล่าไท่ไท่ส่งนางออกไป พอเห็นนางเดินลงตามแนวเขาแล้วก็รีบดึงเหล่าไท่ไท่เข้าเรือน กระซิบถาม “เรื่องแต่งงานของพี่ตกลงเอาอย่างนี้แล้วหรือ? พี่ข้ารู้หรือไม่?”
“เมื่อวานพี่เจ้าก็ไปดูตัวมาแล้วไม่ใช่หรือ บอกว่าแม่นางหน้าตาดี ทำงานเก่ง แถมยังไม่รังเกียจว่าบ้านเราจน ยินดีแต่งมา แล้วเรายังมีอะไรให้พูดอีก?”
เหล่าไท่ไท่ดีใจ รู้สึกกำลังจะได้ปลดภาระหนักอึ้งตรงบ่า สบายอกสบายใจ
แต่พอนึกถึงท่าทีไป๋เย่จื่อเมื่อครู่แล้ว โจวกุ้ยหลานก็จำต้องคุยเรื่องนี้กับเหล่าไท่ไท่
“ท่านแม่ไม่เห็นว่าทางนั้นเป็นอย่างไรก็รับปากแล้วหรือ? พี่ชายข้ากับแม่นางคนนั้นยังไม่คุ้นเคยกับอีกฝ่ายเลย จะชอบนางหรือไม่? แล้วนางจะชอบพี่ข้าหรือไม่?”
เหล่าไท่ไท่ถลึงตา “เจ้าคิดจะทำอะไรอีก? ข้าบอกนางนะ กว่าพี่เจ้าจะตบแต่งเมียได้ เจ้าอย่าก่อนเรื่องเชียว! ถ้าก่อเรื่องจนล้มเลิกไป ข้าจะตีขาเจ้าให้หักเลย!”
พูดอย่างนี้อีกแล้ว นางฟังจนเบื่อ
โจวกุ้ยหลานอดกลอกตาไม่ได้ แต่ไม่รู้สึกน้อยใจ “ไม่แน่ว่าลับหลังอาจมีแม่นางชอบพี่ข้าก็ได้ ทำไมท่านไม่ให้พี่ข้าเลือก แต่กลับไปตอบตกลงกับอาสะใภ้ชุ่ยฮวาเสียเล่า? ท่านแม่ จะเปลี่ยนใจตอนนี้ก็ยังทันนะ!”
หากพี่ชายนางสามารถตบแต่งกับคนที่ชอบได้ ต่อไปก็จะดำรงชีวิตอย่างมีความสุข คนเขายังรู้จักรักสงสารเขา ถึงตอนนั้นก็อยู่กันอย่างหวานชื่น
“เจ้าอยากพูดอะไร? แม่นางที่ไหนชอบพี่ชายเจ้า?” เหล่าไท่ไท่ถามด้วยความสงสัย
โจวกุ้ยหลานเบะปาก เหล่าไท่ไท่จับประเด็นเก่งเสียจริง
“เมื่อกี้ไป๋เย่จื่อรั้งข้าไว้ ถามเรื่องแต่งงานพี่ข้า ข้าเห็นนางร้อนรนมาก”
“อะไรนะ? นังหนูบ้านตระกูลไป๋? นั่นไม่ได้ๆ! บ้านนางขายเต้าหู้เชียวนะ มีเงิน บ้านเขาไม่ยกลูกสาวให้พี่เจ้าหรอก” เหล่าไท่ไท่ได้ยินแล้วก็ส่ายหน้า
“แล้วถ้าต่อไปพี่ข้ามีเงินก็ได้ไม่ใช่หรือ? ถึงตอนนั้นถ้าพี่ข้าแต่งกับสะใภ้ที่ไม่ชอบก็ต้องโทษท่านแม่แล้ว!” โจวกุ้ยหลานรีบเอ่ย
ในความคิดของนาง ต้องหาคนที่ตนชอบและเขาก็ชอบคนแต่งงานด้วยถึงจะดี
เหล่าไท่ไท่ไม่อยากพูดกับนางมาก หันไปจะนั่งม้านั่งที่นั่งอยู่ตลอดช่วงเช้า
พอเห็นเหล่าไท่ไท่จะไป โจวกุ้ยหลานก็คว้าแขนนางเอาไว้อีก “ท่านแม่ หมู่บ้านเดียวกัน ท่านก็เห็นไป๋เย่จื่อมาแต่อ้อนแต่ออก ทำไมไม่ลองคิดดูอีกสักหน่อยล่ะ?”
“เจ้ารู้อะไร ตระกูลไป๋พวกเขามีญาติร่ำรวย เปิดโรงเตี๊ยมอยู่ในตำบล เต้าหู้ที่พวกเขาทำกับเอาไปขายที่ตำบล แต่ละปีมีรายได้เท่าไร เจ้าดูการแต่งเนื้อแต่งตัวพวกเขาทั้งบ้านสิ ไม่เหมือนกับพวกเรา ต่อให้ข้าไปบ้านพวกเขา พวกเขาสองคนก็ไม่รับปากหรอก พวกเขาอยากให้ลูกสาวตัวเองได้แต่งกับคนมีเงิน”
เหล่าไท่ไท่ก็ไม่อยากพูดจนเกินไป จึงได้แต่อธิบายคร่าวๆ
เมื่อได้ยินเหล่าไท่ไท่ว่าอย่างนี้ โจวกุ้ยหลานก็กระจ่างว่ามีเรื่องที่นางไม่บริสุทธิ์อยู่
แต่พอคิดๆ ดู พ่อแม่ของไป๋เย่จื่อก็ไม่ไปมาหาสู่กับคนในหมู่บ้าน มักพาไป๋เย่จื่อไปที่ตำบล
แต่นางก็ไม่ไปรบกวนคนอื่น บางทีพวกเขาอาจแค่ไม่อยากยุ่งเรื่องวุ่นวายในหมู่บ้านพวกนั้นล่ะ?
นางยังอยากพูดอะไร แต่ถูกเหล่าไท่ไท่ถลึงตาใส่ เอ่ยเสียงเย็น “เรื่องนี้อย่าพูดออกไปนะ ไม่อย่างนั้นจะเสียชื่อคนเขาได้”
โจวกุ้ยหลานตระหนักใจเรื่องกดขี่ผู้หญิงในยุคสมัยนี้ ดังนั้นจึงได้แต่รับปาก
เฮ้อ น่าเสียดายหัวใจสาวน้อยจังเลยน้า…
“ยังยืนทำอะไรอีก? รีบไปทำกับข้าวสิ!” เหล่าไท่ไท่หยิบของขึ้นมาแล้วทำงานในมือของตัวเองต่อ
โจวกุ้ยหลานจนใจ “อย่างนั้นท่านแม่ก็ช่วยข้าจุดไฟสิ ไม่อย่างนั้นข้าจะทำกับข้าวอย่างไร?”
“เจ้าก็ชอบทำเรื่องยุ่งยากพรรค์นั้น เอาผักใส่หม้อ ต้มสุกก็กินได้แล้วไม่ใช่หรือ?” เหล่าไท่ไท่เอ่ย แต่ก็ยังลุกขึ้นเดินไปทางห้องครัว
โจวกุ้ยหลานเดิมตามเข้าไปด้วย จากนั้นทั้งสองก็สนทนาสัพเพเหระกันอีก
ครั้นเล่าเรื่องครอบครัวของโจวต้าซานให้เหล่าไท่ไท่ฟัง เหล่าไท่ไท่ก็รู้สึกปลงอนิจจัง จากนั้นก็เบนประเด็นเป็นเรื่องเจ้าสาวอีก
กระทั่งพวกเขาทำอาหารเสร็จ โจวกุ้ยหลานก็ออกไปเรียกสองคนที่กำลังตัดต้นไม้ให้มารับประทานอาหาร และถึงพบว่าเจ้าก้อนน้อยอยู่ข้างๆ พวกเขา
อาหารมื้อกลางวันดียิ่ง โจวกุ้ยหลานตักแกงไก่ให้เหล่าไท่ไท่กับโจวต้าไห่ดื่มหลายถ้วย
นี่เป็นของบำรุง เมื่อก่อนพวกเขาทั้งสองอยู่บ้านไม่ได้ดื่ม
“พอแล้ว กุ้ยหลาน ข้ายังกินไม่หมดเจ้าก็ตักมาให้อีก เจ้าเองก็กินสิ!” โจวต้าไห่ถือถ้วยของตัวเองหันไปด้านหลัง ไม่ให้โจวกุ้ยหลาน
โจวกุ้ยหลานจนใจ จึงได้แต่เอาแกงไก่หันไปใส่ในถ้วยของเหล่าไท่ไท่
“ก่อนหน้านี้พวกท่านกินเนื้อน้อย ท่านดูพวกเราทั้งบ้านสิ ตอนนี้ร่างกายดีแค่ไหน?”
โจวกุ้ยหลานกล่าวพลางลูบเจ้าก้อนน้อยที่นั่งอยู่ด้านข้าง
สัมผัสมือดีขึ้นทุกที เลี้ยงอีกหน่อยก็ดีแล้ว
“พอๆ เจ้าดูฉางหลินสิ ไม่ค่อยจะกิน รีบตักให้ฉางหลินเร็ว” เหล่าไท่ไท่รีบห้ามโจวกุ้ยหลาน
โจวกุ้ยหลานตักให้สวีฉางหลินตามคำบอกของเหล่าไท่ไท่ สวีฉางหลินเกี่ยวยิ้มกับนางทีหนึ่ง จากนั้นก็ต้องตาโจวกุ้ยหลานอีกหน
เวลาหลังจากนี้นางไม่กล้าพูดมากอีก จึงรับประทานอาหารเงียบๆ จนเสร็จ
ตอนบ่ายต่างทำงานของตัวเอง
สวีฉางหลินกับโจวต้าไห่นำต้นไม้ที่ตากแห้งก่อนหน้านี้มาเริ่มเผาถ่าน
เห็นพวกเขาไม่กลับมาดื่มน้ำเลย โจวกุ้ยหลานจึงส่งน้ำสองชามไปให้พวกเขา
เมื่อเดินไปถึงก็พบว่าพวกเขาขุดโพรงใหญ่ ยัดไม้เหล่านั้นไว้ข้างใน รอจนไฟติด ดูไฟแล้วก็ใช้ดินกลบ
ดูเหมือนจะง่าย แต่ควบคุมเวลากับไฟยากมาก โจวกุ้ยหลานไม่มีความสามารถด้านนี้
นำถ่านที่เผาเสร็จออกมา บรรจุในกระบุงแล้วนำกลับบ้าน ระหว่างทางปรึกษาว่าจะเอาไปขายที่ตำบลแต่เช้าในวันพรุ่งนี้
ตอนบ่ายโจวต้าไห่กับเหล่าไท่ไท่ก็ท้องเสีย เข้าห้องน้ำไม่หยุดหย่อน
โจวกุ้ยหลานอยากไปเชิญหมอ แต่เหล่าไท่ไท่ไม่ยินยอม ขวางไม่ให้นางไป สุดท้ายหลังทั้งสองกลับบ้าน เมื่อโจวกุ้ยหลานบอกกับสวีฉางหลิน สวีฉางหลินก็ไปเชิญหมอทันที
หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จ โจวกุ้ยหลานก็พาเจ้าก้อนน้อยไปนอนก่อน แต่นางเองก็ไม่กล้าหลับสนิท เกรงว่าสวีฉางหลินกลับมาจะไม่มีคนเปิดประตูให้
ระหว่างกำลังสะลึมสะลือ นางก็ได้กลิ่นควันไฟ
แรกเริ่มยังไม่ทันสังเกต แต่พอกลิ่นควันฉุนมากขึ้นเรื่อยๆ นางก็ตกใจตื่น
ตอนยังไม่เห็นก็ยังไม่เป็นไร แต่พอเห็นแล้วนอกบ้านกลับมีไฟลุกเต็มไปหมด!
โจวกุ้ยหลานรีบปลุกเจ้าก้อนน้อยตื่น พาเขาออกไปยืนที่ประตูห้อง ทดสอบหนหนึ่ง พบว่าไม่ร้อน จึงวางใจเปิดประตูออกไป นางคิดจะพาเจ้าก้อนน้อยออกไป แต่พอเดินถึงประตูห้องโถง ก็พบว่ามีลูกไฟกระเด็นเข้ามาแล้ว