นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 120 ทุกอย่างสายไปแล้ว
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 120 ทุกอย่างสายไปแล้ว
เมื่อคิดอย่างนี้ ต่างฝ่ายต่างกลับไปเอาถังกะละมังที่บ้านของตนเอง แล้วหิ้วน้ำขึ้นภูเขา
หมอสูงวัยยืนอยู่หน้าประตูบ้านเอง เห็นความชุลมุนวุ่นวายก็ตะลึงค้างเล็กน้อย
ครู่หนึ่งแล้วเขาถึงรู้สึกตัวขึ้นมา ตะเบ็งเสียงหมุนตัวตะโกนในหมู่บ้านว่า “ไฟไหม้!”
เหล่าไท่ไท่วิ่งปรี่ไปที่บ้านของโจวต้าซาน เวลานี้พวกเขาสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว พอนางเข้าไปในเรือนก็ตะโกนร้องอย่างกระวนกระวายว่า “ลุงใหญ่ รีบไปช่วยกันดับไฟเร็ว! รีบช่วยกุ้ยหลานของข้า!”
นางตะโกน ในน้ำเสียงนั้นมีเสียงสะอื้นไห้
“จะไปเดี๋ยวนี้แหละ!” โจวต้าซานสีหน้าเคร่งเครียด หยิบกะละมังแล้วไปตักน้ำบ้านตน
เมื่อเหล่าไท่ไท่เห็นดังนั้นก็รีบห้าม “บ้านกุ้ยหลานมีบ่อน้ำ! ไปเร็ว!”
ครั้นตะโกนจบ นางก็คว้าถังเหล็กใบหนึ่ง ก้าวเท้าเล็กๆ วิ่งขึ้นภูเขา
โดยมีคนตามอยู่ข้างหลังเป็นทาง
สวีฉางหลินในยามนี้พุ่งเข้าป่าอย่างรวดเร็ว สองเท้าปั่นวิ่งเร็วมากเกิดเรื่องไม่ได้ ภรรยาและบุตรชายเขาจะเกิดเรื่องไม่ได้!
ระหว่างคิด ฝีเท้าก็เร็วขึ้นอีกหลายส่วน หลังจากเข้าป่าไปแล้ว เขาก็ทะยานตัวกระโดดบนกิ่งไม้แต่ละกิ่งเสียเลย พุ่งไปที่บ้านด้วยความเร็วขีดสุด
ยิ่งใกล้ กลิ่นไหม้ก็ยิ่งฉุน หัวใจเขาตกสู่ห้วงลึกอีกส่วนหนึ่ง
กระทั่งเขาพุ่งตัวถึงบนเขา เพลิงโหมทะลุหลังคา แผดเผาไม้โครงหลังคาจนหมด รอบด้านล้วนเป็นไม้ตากแห้งที่เขาตัดเมื่อสองวันนี้ ยามนี้กำลังล้อมเผาบ้าน ประตูบ้านเผาจนหมดแล้ว บ้านทั้งหลังกลายเป็นทะเลเพลิง
เมื่อคิดถึงคนในบ้าน เขาจึงกัดฟันพุ่งเข้าทะเลเพลิง
“กุ้ยหลาน?”
สวีฉางหลินตะโกนเรียก พุ่งตัวไปทางห้องทิศใต้
ผ้ากับฝ้ายในห้องโถงถูกเผาหมดแล้ว ถ่านที่วางอยู่ตรงมุมก็เผาจนเป็นสีแดง มีควันไฟอบอวลอยู่ทั่ว ไม่สามารถมองชัดเจน
“กุ้ยหลาน!”
สวีฉางหลินตะโกนเรียกอีกครั้ง พุ่งตัวเข้าห้องทางใต้ แต่ไม่พบคน ผ้านวมบนเตียงเตาถูกเผาจนเป็นตอตะโกแล้ว
ความตื่นตระหนกหวาดกลัวม้วนอยู่รอบกาย ทำให้มือเท้าเขาเย็นเยียบ เขาในยามนี้ รู้สึกเพียงสิ้นกำลัง กรอบตาแดงดุจเดรัจฉานที่บาดเจ็บ แผดเสียงคำรามด้วยหัวใจร้าวราน
“อ้า!”
เสียงพร่ำร้องนี้ราวกับจะสะเทือนทะลุแผ่นฟ้า พุ่งพรวดขึ้นชั้นเมฆา
โจวกุ้ยหลานที่อยู่ในห้องครัวสะลึมสะลือ ถูกเสียงนี้ทำให้ตกใจตื่น
นางเงี่ยใบหูฟัง มีคนกำลังตะโกนอยู่จริงๆ แต่นางได้ยินไม่ชัดว่าคนผู้นั้นกำลังตะโกนว่าอะไร?
“สวีฉางหลิน?”
นางพยายามตะโกนออกไป เสียงนั้นแผ่วเบาราวกับแมลงวัน
นางอ่อนล้าไปทั้งตัว หมดกำลังไร้เรี่ยวแรง เพลิงไหม้เข้ามาแล้ว ฟืนที่อยู่ข้างเตาก็ไหม้แล้ว
ส่วนเจ้าก้อนน้อย เวลานี้หมดสติไปแล้ว
โจวกุ้ยหลานหัวใจบีบรัด ใช้มือถือผ้าปิดปากและจมูกของเจ้าก้อนน้อยแน่นๆ และไม่ทราบว่าเอากำลังมาไหน แผดเสียงตะโกน “ช่วยด้วย!”
“ช่วยด้วย!”
ไม่ว่าใครอยู่ข้างนอกก็ต้องได้ยินแน่!
นางตะเบ็งเสียง ตะโกนดังขึ้นเรื่อยๆ
“ช่วยด้วย! สวีฉางหลิน! เราอยู่ในห้องครัว!”
“สวีฉางหลิน!”
ดวงตาของนางถูกควันไฟรมจนลืมตาไม่ขึ้นแล้ว นางจึงได้แต่หลับตาตะโกนเสียงดัง
สวีฉางหลินที่อยู่ในห้องทางใต้รู้สึกตัว คลับคล้ายคลับคลาเหมือนได้ยินเสียงของภรรยา!
เขาพุ่งเข้าห้องโถงอีกครั้ง เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ ความปีติพลุ่งพล่านทั่วร่าง รีบมุ่งเข้าห้องครัวโดยไม่สนเพลิง ตะลีตะลานมองรอบทิศ สายตาลอดดวงไฟ เขาเห็นสองแม่ลูกกำลังนั่งอยู่ในโอ่งน้ำ
เขาไม่อาจคำนึงถึงสิ่งใด พุ่งเข้าไปทันที อุ้มโจวกุ้ยหลานออกมา สองมือโจวกุ้ยหลานกำลังกอดเจ้าก้อนน้อยแน่น ตอนนี้แข็งไปแล้ว ดังนั้นจึงพลอยอุ้มเจ้าก้อนน้อยออกมาด้วย
“สวีฉางหลิน?”
นางรู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในอ้อมกอดที่ทำให้อุ่นใจ นางพยายามลืมตาที่มีน้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย มองผู้ที่มา
ที่เข้าสู่จักษุ คือสวีฉางหลิน
วินาทีนั้น อารมณ์โศกสลดในหัวใจพลันพลุ่งพล่าน พาลให้น้ำตาจากดวงตาทะลักออกมามากกว่าเดิม
“ข้ามาแล้ว จะพาพวกเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้”
สวีฉางหลินทันปลอบโจวกุ้ยหลานเพียงประโยคเดียว ดวงตาสอดส่องสภาพรอบด้าน ตรงหลังคามีไม้ท่อนหนึ่งหักแล้ว ร่วงตกลงมาเป็นแนวดิ่ง สวีฉางหลินหลบหลีกด้วยสัมผัสอันว่องไวต่อภยันตราย
จากนั้นก็กะเวลาอย่างรวดเร็ว ทะยานตัวออกจากประตูห้องครัว
วิ่งพรวดออกไปจุดไม่ไกล แล้ววางโจวกุ้ยหลานลงตรงที่โล่ง
“เสี่ยวเทียน! รีบดูเขาเร็ว!”
ครั้นโจวกุ้ยหลานผ่อนคลายก็ตะโกนขึ้น
ก่อนหน้านี้เสี่ยวเทียนหมดสติไปแล้ว คงจะสูดควันมากเกินไปกระมัง?
สวีฉางหลินเอามือทั้งแข็งทื่อทั้งสองของโจวกุ้ยหลานออก แล้วอุ้มเจ้าก้อนน้อยเนื้อตัวเปียกปอนออกมา อังลมหายใจที่จมูก พบว่ายังหายใจอยู่ เมื่อนั้นจึงโล่งอก “ยังไม่ตาย”
“รีบเรียกเขาเร็ว!”
ตอนนี้ไม่กลัวว่าเขาจะตายแล้ว แต่กลัวว่าเขาจะสูดดมควันไฟมากเกินไปจมสมองขาดอากาศ สมองจะเสียได้!
สวีฉางหลินทำตามที่บอก ออกแรงหยักร่องริมฝีปากของเจ้าก้อนน้อย
เจ้าก้อนน้อยที่ไม่ได้สติขมวดคิ้วนิดๆ เขาลืมตาขึ้น มองสวีฉางหลินที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นก็ร้องไห้จ้าขึ้นมา
ยังดี…ยังดี เจ้าก้อนนั้นไม่เป็นอะไร…
พอโจวกุ้ยหลานคลายความกังวลก็ได้ยินเสียงดังกัมปนาทหนึ่ง
พวกเขาหันไปดู เห็นบ้านเมื่อก่อนหน้านี้พังทลายลงมาทั้งหลัง
มือของสวีฉางหลินที่โอบกำลังทั้งสองอยู่กระชับแน่น ในใจนึกหวาดผวาภายหลัง
เมื่อครู่ หากช้าไปอีกนิด เขาก็จะสูญเสียพวกเขาไปแล้ว…
โจวกุ้ยหลานจับแขนของสวีฉางหลินแน่น ความพรั่นพรึงท่วมท้นในอก
ความตื่นตระหนกหวาดกลัวอบอวลอยู่รอบกาย น้ำตาร่วงพรูอย่างห้ามไม่อยู่ เนื้อตัวสั่นเทา
สวีฉางหลินรู้สึกถึงความผิดปกติของนาง จึงยื่นมือโน้มเข้าอ้อมอก กอดแน่น
ซากปรักหักพังนี้ หนึ่งครอบครัวสามคนกอดกันแน่น มองดูบ้านของตัวเองถูกไฟโหมกลืนกินต่อหน้าต่อตา
อีกทางด้านหนึ่ง โจวต้าไห่มาแล้ว เห็นหลังคาบ้านที่พังทลายลง และบ้านที่กลายเป็นทะเลเพลิง โลหิตในกายจึงกลายเป็นเย็นเยือก
“กุ้ยหลาน!”
เสียงของเขาถูกเพลิงไฟกลืนกลบ ที่ขานตอบมีเพียงเสียงระเบิดที่เผาไหม้ไม่หยุด ดวงเพลิงทั่วนภาและควันแน่นขนัดที่อบอวลอยู่ในบ้าน
ไม่ทันแล้ว…
ทุกอย่างสายไปเสียแล้ว…
เขาหย่อนบั้นท้ายลงกับพื้น ร้องไห้ฟูมฟายขึ้นมา
เหล่าไท่ไท่และคนอื่นที่ตามหลังมาติดๆ เห็นบ้านกลายเป็นโครงเปล่า หลังคาถูกเผาจนหมด ตระหนักว่ามอดไหม้ไม่มีเหลือ เมื่อนั้นสีหน้าพลันเปลี่ยน
“กุ้ยหลาน!”
เหล่าไท่ไท่ที่แข็งแกร่งในยามปกติตะโกนเรียกเสียงหนึ่ง จะพุ่งเข้าด้านใน
พอคนด้านข้างเห็นก็รีบดึงนางไว้
“อาสะใภ้เหมยฮวา นี่ก็พังลงมาหมดแล้ว ช่วยคนไม่ได้ อย่าเข้าไปเลย!”
สองสามคนที่อยู่ด้านข้างก็เข้ามาดึงนางด้วย
เหล่าไท่ไท่ดิ้นไม่หลุด น้ำตาพรั่งพรูออกมา
“พวกเจ้าปล่อยข้า ข้าจะไปช่วยลูกสาวของข้า!”
กล่าวจบ เหล่าไท่ไท่ก็ถีบแข้งของคนข้างๆ อีกฝ่ายรู้สึกเจ็บ จึงพลันคลายมือออก
เหล่าไท่ไท่สบโอกาสถีบขาของอีกคนหนึ่ง ครั้นได้รับอิสระก็พุ่งตัวออกไป ทว่าแขนกลับถูกคนสามคนฉุดไว้อีกครั้ง พอนางหันไปก็เห็นโจวต้าซานกับหลานชายทั้งสอง