นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 122 ขมมาก
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 122 ขมมาก
ดวงตาของเหล่าไท่ไท่กลายเป็นสีแดง และรู้ว่าลูกสาวผู้นี้ของนางไม่รู้จะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ จึงทำได้แค่ตอบรับกลับไป
“งั้นหากร่างกายของเจ้าทนไม่ไหวก็ให้ไปเรียกต้าไห่” เหล่าไท่ไท่บอกกับสวีฉางหลิน
สวีฉางหลินพยักหน้า เหล่าไท่ไท่ถึงหันไปหาโจวต้าไห่พร้อมพูดว่า “ไปกันเถอะ ไปทานข้าวเช้ากันก่อน”
โจวต้าไห่ตอบรับ เข้าไปในห้องครัวเพื่อนำอาหารออกมา รีบทานอย่างรวดเร็ว เช็ดแก้มที่เปื้อน พาเจ้าก้อนน้อยกลับไปนอนบนเตียงเตาที่ห้องของตนเอง
เหล่าไท่ไท่ทานอิ่มแล้ว เก็บเตาและอุปกรณ์ทานอาหารเป็นอันเรียบร้อย นางเดินไปยังห้องของโจวกุ้ยหลานก่อนที่นางจะแต่งงาน วางผ้าห่มลงบนเตียงเตา นอนและหลับตาลง
ในห้อง สวีฉางหลินนั่งอยู่บนเก้าอี้ มองไปที่โจวกุ้ยหลานที่นอนอยู่บนเตียงอย่างเงียบ ๆ
เมื่อฟ้าสว่าง โจวต้าซานเดินเข้ามา เหลือบตามองโจวกุ้ยหลานที่อยู่บนเตียง
สวีฉางหลินเทน้ำให้เขาถ้วยหนึ่ง และบอกให้เขานั่งตรงม้านั่งข้างเตียง จากนั้นเขาก็นั่งลงด้วยตัวเอง
“เมื่อวานเป็นอย่างไรบ้าง” โจวต้าซานจ้องมองโจวกุ้ยหลานที่กำลังหลับอยู่และถามออกมา
“ไม่รู้ว่าจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่”
สวีฉางหลินตอบกลับไป เสียงของเขาดูแหบแห้งเล็กน้อย
โจวต้าซานดื่มน้ำเข้าไป วางถ้วยลงบนโต๊ะด้านข้าง หันหลังกลับ เงียบอยู่ครู่หนึ่งและพูดออกมาว่า “เมื่อคืนวานข้าตามลุงโหยวเกินเข้าไปในบ้านของพวกเจ้า จึงรู้สึกถึงความผิดปกติ ต้นไม้ที่พวกเจ้าตักก็ตากแดดไว้โดยรอบๆ บ้านเลยงั้นหรือ?”
“มีคนจงใจวางเพลิง” สวีฉางหลินเองก็ไม่อ้อมค้อม นางพูดกับโจวต้าซานอย่างตรงไปตรงมา
“เจ้าเองก็รู้งั้นหรือ?”
สีหน้าของโจวต้าซานเคร่งขรึมขึ้นทันที
สวีฉางหลินกำหมัดแน่น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความแค้น “มีไม้กองอยู่ด้านหน้าทั้งประตูและหน้าต่าง แถมยังมีต้นไม้และใบไม้ มันจะต้องมีคงจงใจวางไว้อย่างแน่นอน ตรงประตูและหน้าต่างก็มีกลิ่นน้ำมันอยู่ด้วย มีคนมาราดน้ำมันเอาไว้”
แม้ว่าเมื่อคืนจะค่อนข้างรีบร้อน แต่เขาก็ยังไม่ลืมรายละเอียดเหล่านี้
เห็นกันอยู่ว่าก่อนที่เขาจะส่งเหล่าไท่ไท่และโจวต้าไห่กลับมา พรรยาได้พาเสี่ยวเทียนไปอาบน้ำแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่นางลืมดับเพลิง
และต่อให้นางไม่ระวังตัวทำให้เกิดเพลิงไหม้ เพลิงก็ต้องไหม้ออกมาจากด้านในของห้อง ไม่ใช่ไหม้ออกมาจากด้านนอก
“ที่ข้ามาที่นี่วันนี้ อย่างแรกมาเพื่อดูอาการของกุ้ยหลาน อย่างที่สองเพื่อนำเรื่องนี้มาบอกเจ้า เจ้าต้องการอะไรก็แค่หยิบกฎระเบียบออกมา ลุงใหญ่และพวกลูกผู้พี่ชายจะช่วยเจ้าเอง”
โจวต้าซานจ้องมองโจวกุ้ยหลานที่อยู่บนเตียงพร้อมกับถอนหายใจ
นี่คือการลอบวางเพลิงเพื่อหวังเอาชีวิตคน พวกเขาอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้มาหลายปีก็ไม่เคยเจอกับเรื่องพวกนี้ ช่างน่าตกใจเหลือเกิน
อีกอย่าง ในตอนนี้หลานสาวของเขาต้องทนทุกข์ทรมาน หัวใจของเขาก็ยิ่งเจ็บปวด
“ลุงใหญ่คิดว่าควรจะทำอย่างไรดี?”
สวีฉางหลินถามโจวต้าซาน
โจวต้าซานเช็ดหน้าของเขาพร้อมพูดว่า “หากตามความคิดของข้า พวกเราต้องรายงานเรื่องที่น่าอับอายนี้ มอบเรื่องนี้ให้ฝ่ายราชการจัดการ จับคนผู้นั้นมาตัดหัวให้ได้!”
ในท้ายสุดท้ายโจวต้าซานเองก็ไม่สามารถซ่อนความโกรธของเขาได้อีกต่อไป
คนแบบนี้สมควรโดนตัดหัว !
“ยังไม่ต้องรายงานฝ่ายราชการ” สวีฉางหลินปฏิเสธออกไปทันที
เขาในตอนนี้ยังไม่เหมาะที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับคนของฝ่ายราชการ
โจวต้าซานยังอยากจะพูดอะไรออกมา แต่เมื่อเหลือบมองดูสวีฉางหลิน เขาก็กลืนสิ่งที่เขาต้องการพูดลงไปทันที
หลานเขยคนนี้ดูเหมือนจะไว้ใจได้ ในใจคงมีความคิดอะไรอยู่ เขาจึงไม่อยากจับจ้องหรือเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้มากนัก
“เจ้ามีแผนอยู่ในใจ”
โจวต้าซานลุกขึ้นยืนพลางพูด “งั้นข้าขอตัวก่อน เจ้าดูแลกุ้ยหลานให้ดี มีอะไรก็บอกข้าได้ หากขาดแคลนเรื่องเงินก็สามารถไปเอาที่ข้าได้”
“ขอบคุณลุงใหญ่มาก” สวีฉางหลินพูดออกมาพร้อมกับลุกขึ้นยืน คิดจะเดินออกไปส่งโจวต้าซาน
เข้าใจในความหมายของการเคลื่อนไหว โจวต้าซานหยุดเขาไว้ บอกให้เขานั่งลงตรงที่เดิม “ไม่ต้องลุกขึ้นมาหรอก ข้าเองก็ไม่ใช่แขกด้วย เจ้าดูแลกุ้ยหลานให้ดี ข้าขอตัวก่อน”
เห็นความแน่วแน่ของเขา สวีฉางหลินก็ยอมปล่อยให้เป็นไปตามความต้องการของเขา เฝ้ามองเขาเดินหลังค้อมออกไป
ลุงใหญ่ผู้นี้จริงใจกับพวกเขาเป็นอย่างมาก ดูแล้วญาติพี่น้องของพรรยาก็ไม่เลว หากในอนาคตมีกำลังมากพอ เขาจะตอบแทนบุญคุณอย่างแน่นอน
โจวกุ้ยหลานอยู่ในความงุนงง เขาฝันว่าไฟไหม้บ้านมาโดยตลอด ตอนนี้นางกำลังจะถูกไฟเผาตายแล้ว
ก็รู้อยู่ว่าเป็นความฝัน แต่ก็ไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้
ในความฝัน นางพยายามกลิ้งไปกลิ้งมา เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วกลับพบว่ามันก็ยังคงเป็นความฝันอยู่
เป็นแบบนี้ต่อไปนางจะต้องบ้าตายแน่ !
โจวกุ้ยหลานตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ลุกขึ้นมาจากถังน้ำ กระโดดเข้าไปในทะเลเพลิง……
“อ๊าก……!”
นางร้องออกมาพร้อมกับตื่นขึ้นทันที
ลืมตาขึ้นมาก็เห็นสวีฉางหลินที่กำลังรอและจ้องมองนางอยู่ตรงหน้า ในมือถือถ้วยอยู่หนึ่งใบ ช้อนตักยามาถึงริมฝีปากของนางแล้ว
ทำไมฉากนี้ถึงได้ดูคุ้นตา ?
โจวกุ้ยหลานผงะไปครู่หนึ่ง ในหัวของนางคิดถึงฉากที่นางเพิ่งจะข้ามผ่านมาเมื่อสักครู่
ไม่นะ หรือว่านางจะข้ามผ่านมันอีกครั้ง?
“จบกัน นังหนูกลายเป็นคนเขลาไปเสียแล้ว โอ้พระเจ้า!”
ได้ยินเสียงของเหล่าไท่ไท่ดังขึ้นมาจากด้านข้าง โจวกุ้ยหลานหันไปมองก็เห็นเหล่าไท่ไท่กำลังตบขาตนเองอยู่ พร้อมชะโงกหน้ามองตนเอง
“แม่ แม่พูดอะไร!”
ทันทีที่โจวกุ้ยหลานเอ่ยปากก็พบว่าตนเองรู้สึกแสบคอจนแทบทนไม่ไหว
“อั๊ยย่ะ ยังจำข้าได้! ”
เหล่าไท่ไท่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก หากกลายเป็นคนโง่เขลาขึ้นมาจริงๆ แบบนี้ในอนาคตจะทำอย่างไร?
ต้าไห่ที่อยู่ข้างๆหัวเราะออกมา “ไม่มีอะไรแล้ว ฟื้นขึ้นมาก็ดีแล้ว”
โจวกุ้ยหลานหันไปมอง พบว่าในมือของโจวต้าไห่ยังมีถ้วยอยู่อีกใบหนึ่ง ตอนนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
พวกเขาอยู่ที่นี่มาโดยตลอดเพื่อเฝ้าดูนาง?
“กินยา”
เสียงของสวีฉางหลินดังขึ้นจากข้างหู นางหันกลับไป ยาในมือของโจวกุ้ยหลานมาถึงริมฝีปากของนางแล้ว นางอ้าปาก สวีฉางหลินจึงป้อนยาเข้าไปในปากนางทันที
ขมมาก!
นางรีบกลืนเข้าไป เปิดปากเพื่อหายใจ ในตอนนั้นสวีฉางหลินได้เตรียมป้อนยาช้อนต่อไปอยู่ตรงหน้านางแล้ว
“ขมมาก!”
นางไม่กล้ากินมันแล้ว
“ทั้งหมดนี้แลกมาด้วยเงิน รีบกินเข้าไป!” เหล่าไท่ไท่ทนดูความงอแงของโจวกุ้ยหลานไม่ได้ นางดุออกไป จากนั้นนำถ้วยยาในมือของสวีฉางหลินมา หยิบช้อนยาและเป็นคนป้อนยาให้โจวกุ้ยหลานเอง
โจวกุ้ยหลานเองก็รู้ว่านี่คือยา มันทำให้ร่างกายของนางดีขึ้น แต่จะให้นางกินมันเข้าไปแบบนี้ นางคงต้องเป็นบ้าแน่
“ข้าขอกินเอง!” นางพูดออกมา จากนั้นลุกขึ้นมานั่ง รู้สึกเวียนศีรษะ เกือบจะเป็นลมหมดสติอีก
สวีฉางหลินที่อยู่ข้างๆเห็นแบบนั้นก็รีบยื่นมือออกไปจับไหล่เพื่อประคองนางไว้
เมื่อโจวกุ้ยหลานนั่งเป็นที่เรียบร้อย รับยาจากมือของเหล่าไท่ไท่ นำถ้วยยามาใกล้ริมฝีปาก เงยหน้าขึ้นกลืนยาเขาไปอึกใหญ่ กินไม่กี่ครั้งยาก็หมดลง
รสขมซึมซาบอยู่ในปากอย่างช้าๆ ทำให้นางรู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก
อั๊ยย่ะ ขมมากเลย!
โจวกุ้ยหลานอ้าปาก หยิบพัดขึ้นมาพัดลมเข้าไป ทันใดนั้นมีบางอย่างเข้าไปในปากของนาง รสชาติหวาน ทำให้ขจัดรสชาติขมไปได้ไม่น้อย
ดูเหมือนว่ามันจะเป็น……ขนมหวาน?
โจวกุ้ยหลานมองไปตามมือเล็กๆ จากนั้นก็เห็นเจ้าก้อนน้อยที่กำลังจ้องมองนาง “แม่ กินขนมหวานก็ไม่ขมแล้ว”
อั๊ยย่ะ รู้สึกซาบซึ้งจนแทบร้องไห้……
รอบกายมีคนคอยเฝ้าดูและเอาใจใส่นางมากมายขนาดนี้มาโดยตลอด เมื่อนางลืมตาขึ้นก็สามารถมองได้ทุกอย่าง นี่มันเป็นความโชคดีขนาดไหน?
ชาติก่อน หลังจากที่ย่าของนางจากโลกนี้ไป นางก็ไม่เคยได้รับความอบอุ่นเช่นนี้อีกเลย
นี่คือครอบครัว?