นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 124 ระวังข้าจะหย่ากับเจ้า
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 124 ระวังข้าจะหย่ากับเจ้า
“หลายวันนี้มีคนมากมายเดินวนเวียนตรงนั้น ข้ายังไม่ทันได้ไป” สวีฉางหลินบอก
มาเดินวนเวียนรอบบ้านนาง? มาทำไม?
โจวกุ้ยหลานขมวดคิ้วถาม “ใครบ้างล่ะ? เวลานี้ยังคิดจะหาผลประโยชน์อีก?”
“คนในหมู่บ้าน” สวีฉางหลินบอก
สำหรับคนพวกนั้น เขาเองก็ไม่ชอบ บ้านตนไหม้ขนาดนั้นแล้ว คนพวกนี้ยังคิดหาผลประโยชน์อีก
“ข้าไม่สน คืนนี้เจ้าไปเอาเงินมาตอนค่ำมืด ถ้าโดนคนเอาไป ข้าจะหย่ากับเจ้า!
โจวกุ้ยหลานข่มขู่สวีฉางหลินอย่างหนักแน่น
ตอนนี้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของพวกเขาคือเงินสี่ร้อยตำลึงนั่น ยังไงก็ห้ามหายอีกเด็ดขาด
ต่อไปนางยังต้องอาศัยเงินนั่นมาฟื้นคืนชีพอีกนะ!
“ตกลง” สวีฉางหลินรับคำอย่างว่าง่าย ครุ่นคิดว่าคืนนี้จะหลบเหล่าไท่ไท่กับโจวต้าไห่ออกไปยังไง
พอได้ยินเขารับคำ โจวกุ้ยหลานก็สบายใจมากขึ้น
“จริงสิ เจ้ากับพี่ใหญ่เผาถ่านกันเป็นอย่างไรบ้างล่ะ?” โจวกุ้ยหลานถามเขา
“พอได้ เพียงแต่ช่วงนี้คนขึ้นเขามากนัก บางคนก็แอบดู” สวีฉางหลินรับคำออกมา
ตอนนี้ภรรยาตนพักฟื้นอยู่ จะโกรธไม่ได้ จะไม่สบายใจไม่ได้
ภรรยาพูดอะไรเขาก็ฟัง ภรรยาอยากให้เขาทำอะไรเขาก็ทำ ภรรยาต้องการพระจันทร์บนท้องฟ้า เขาก็ต้องหาทางเด็ดลงมาจากฟ้าเอามาให้นาง
“หากไม่ได้จริงๆ พวกเจ้าก็ไปไกลหน่อย หลบไปเผา รอจนขายชุดแรกได้เงินมาแล้ว พวกเราก็ไม่กลัวละ” โจวกุ้ยหลานคิดๆ และพูดมันออกมา
วิธีหาเงินมีมากมายนัก เพียงแต่ตอนนี้นางขยับตัวไม่ได้ บางอย่างก็ทำไม่ได้
เผาถ่านเป็นงานที่ดี ต่อให้มีคนอื่นมาแอบดูก็ลักขโมยความรู้อะไรไม่ได้อยู่ดี เวลา อุณหภูมิ ชนิดของไม้ ความแรงของไฟก็มีสูตรตายตัวทั้งนั้น ตัวนางเองเคยลองทำแล้วหลายครั้ง ก็ยังทำไม่เป็นเลย
ทั้งสองคนพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง ตอนบ่ายสวีฉางหลินก็เข้าป่ากับโจวต้าไห่ เจ้าก้อนน้อยนั่งเล่นเองอยู่บนเตียงเตาเงียบๆ เหล่าไท่ไท่พูดคุยเล่นกับโจวกุ้ยหลานไปเรื่อยเปื่อย
ตกกลางคืน สวีฉางหลินหาเหตุออกไป แต่ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เขาก็นำเงินสี่ร้อยห้าสิบตำลึงกลับมา
โจวกุ้ยหลานรับถุงนั่นมาด้วยใบหน้าดีใจเบิกบาน
โชคดี เงินยังไม่หาย แบบนี้พวกเขาจะฟื้นตัวก็ง่ายละ
โจวกุ้ยหลานถอนหายใจแผ่วเบา กลางดึกนี่ ให้สวีฉางหลินถือจอบขุดดินในห้องนี้เอง ตามหลักวิธีเก่าที่เอาเงินฝังดินแล้ว ถึงได้สบายใจ
หลายวันต่อมา สวีฉางหลินกับโจวต้าไห่เข้าป่าแต่เช้าและกลับค่ำมืด วันๆยุ่งอยู่กับการเผาถ่าน โจวกุ้ยหลานพักรักษาตัวในห้อง อยากกินอะไร เหล่าไท่ไท่ก็ทำให้หมด
ถึงจะบอกว่าไม่อร่อย แต่เหล่าไท่ไท่ก็พยายามทำอย่างสุดความสามารถ
ตกกลางคืน สวีฉางหลินกับโจวต้าไห่ใช้ตะกร้าและคานหามแบกถ่านพวกนั้นกลับมา วางไว้ในห้องเก็บฟืน
แค่หลังห้าวันนี้ จากนั้นฟ้าก็เริ่มมีฝนตก ฝนตกลงมาห่าใหญ่ สวีฉางหลินและโจวต้าไห่ก็ไม่อาจไปเผาถ่านได้แล้ว เลยได้แต่หมกตัวอยู่ในบ้าน
สวีฉางหลินอาศัยโอกาสทำม้านั่งยาวตัวใหม่สี่ตัวให้เหล่าไท่ไท่ โจวต้าไห่เป็นลูกมือให้เขา
เหล่าไท่ไท่เรียกพวกเขาอย่างเร่งร้อน มองดูม้านั่งใหม่ที่ทำเสร็จอย่างยิ้มไม่หุบ
“ไอ้โหย ม้านั่งพวกนี้เป็นม้านั่งที่ปู่ของพวกเขาหาช่างไม้มาทำน่ะ นั่งมาห้าสิบกว่าปีแล้ว วันนี้ได้เปลี่ยนของใหม่สักที!” เหล่าไท่ไท่ยิ้มปริ่ม ยิ่งมอง ก็ยิ่งรู้สึกว่าสวีฉางหลินดียิ่ง
ลูกเขยคนนี้ล่าสัตว์ได้ ทำงานไม้ได้ และยังเผาถ่านได้อีก เก่งจริงๆ!
สวีฉางหลินปาดเหงื่อ “ท่านแม่มีสิ่งใดอยากทำอีกหรือไม่?”
พอเหล่าไท่ไท่ได้ยินเขาพูดอย่างนี้ สองตาเป็นประกายทันที
ฝนตกคราวนี้เต็มๆสามวัน ในเวลาสามวันนี้ สวีฉางหลินช่วยเหล่าไท่ไท่ทำโต๊ะใหญ่ใหม่ และโต๊ะเล็กใหม่
จนถึงวันที่ห้า ฝนหยุดลงเสียที เพียงแต่อุณหภูมิลดลงไปไม่น้อย ผู้คนมากมายล้วนหยิบเสื้อคลุมผ้าฝ้ายออกมาสวมใส่แล้ว
ผ่านการพักฟื้นห้าวัน ร่างกายโจวกุ้ยหลานดีขึ้นมากแล้ว
พอกลางคืน พระจันทร์ก็ออกมา โจวกุ้ยหลานพลิกตัว สะลึมสะลือเห็นสวีฉางหลินกำลังใส่เสื้อผ้า
“เจ้าไปไหนน่ะ?”
สวีฉางหลินหันกลับมา และเห็นโจวกุ้ยหลานหน้าตางัวเงีย
“ล้างแค้น”
สวีฉางหลินพูด พลางลุกขึ้นมาใส่กางเกง
อ้อ ล้างแค้นหรอ…
โจวกุ้ยหลานพลิกตัว นอนต่อไป
หือ? ล้างแค้น?
นางลืมตาเหลือก พลิกตัวหันไปมองอีก และเห็นสวีฉางหลินเดินไปถึงหน้าประตูแล้ว
“เดี๋ยวก่อน!”
โจวกุ้ยหลานนั่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เรียกสวีฉางหลินไว้ “ล้างแค้นอะไร?”
สวีฉางหลินหันกลับมา มองโจวกุ้ยหลาน สีหน้าราบเรียบ แต่น้ำเสียงเย็นยะเยือกนัก
“แค้นที่จะฆ่าภรรยาฆ่าลูก วางเพลิงเผาบ้าน”
“ข้าไปกับเจ้าด้วย!”
โจวกุ้ยหลานเลิกผ้าห่มขึ้น ลงจากเตียงเตา หยิบเสื้อมาใส่
เรื่องสาแก่ใจอย่างนี้ นางต้องไปดูให้เห็นกับตา!
“เจ้าอยู่บ้าน….”
สวีฉางหลินอยากห้ามปราม โจวกุ้ยหลานเลิกคิ้วถาม “หรือว่าเจ้าจะห้ามข้าล้างแค้นให้ตัวเอง?”
คำพูดนี้ฟังดูแปลกๆ แต่ไม่สนล่ะ ตอนนี้นางอยากแก้แค้น แค้นนี้เก็บไว้ในใจไม่ปล่อยมันออกไป นางกินข้าวไม่ลง!
สวีฉางหลินเห็นภรรยาตนใส่เสื้อผ้าและรองเท้าเสร็จแล้ว และเดินมายืนหน้าเขา ข้ามผ่านเขาไป และรีบเดินออกไปด้านนอก
ภรรยาว่าไงก็ว่าอย่างนั้นแล้วกัน
สวีฉางหลินก้าวเท้า เดินตามโจวกุ้ยหลาน เปิดประตู และปิดประตูห้องโถงอย่างรวดเร็ว เดินออกไป
ทั้งคู่หายวับไปในความมืด และเลือกทิศทางหนึ่ง พลางจากไปอย่างรวดเร็ว
ฟ้ามืดจันทร์กระจ่าง เงียบเชียบไร้เสียงใดๆ แต่ละบ้านในหมู่บ้านต้าสือล้วนหลับสนิท
โจวกุ้ยหลานตามสวีฉางหลินมายังบ้านเรือนหนึ่ง มองดูประตูใหญ่ที่ปิดแน่น ในใจรู้สึกตื่นเต้นอย่างประหลาด และภายใต้ความตื่นเต้นนั้นมีความฮึกเหิมที่ไม่อาจควบคุมได้ซ่อนอยู่
“เจ้าแน่ใจว่านี่บ้านเขารึ?” โจวกุ้ยหลานถามสวีฉางหลินเสียงต่ำ
นี่ล้างแค้นนะ ถ้าผิดบ้านขึ้นมา ผิดมหันต์เลยนะ
“นอกจากเขาแล้ว เจ้ามีศัตรูอื่น?” สวีฉางหลินย้อนถาม
มีสิ ก็ศัตรูหัวใจโจวชิวเซียงนั่นไง!
โจวกุ้ยหลานเบ้ปาก ในใจแอบบ่น
แต่ตั้งแต่โจวชิวเซียงโดนงูกัดครั้งก่อน ก็นอนอยู่บนเตียงเตามาตลอด อีกอย่างผู้หญิงคนเดียวอย่สงนาง ยกท่อนไม้ใหญ่อย่างนั้นเงียบกริบไร้เสียงไม่ได้หรอก ไม่งั้นนางก็ตื่นแล้ว
“เขาน่าสงสัยที่สุด แต่พวกเราไม่มีหลักฐาน ถ้าทำผิดตัว จะโหดร้ายไปหรือไม่?” โจวกุ้ยหลานถามพลางลูบริมฝีปากตนเอง
สวีฉางหลินคิดๆดูก็จริง วันนั้นมันวุ่นวายเกินไป ไม่รู้เลยว่าใครเป็นใคร แต่เฉินโหยวซวนคนนี้น่าสงสัยเสียเก้าส่วนแล้วว่าน่าจะเป็นตัวการเรื่องนี้
“อัดจนกว่ามันจะพูด”
เขาเสนอความคิดเห็น
โจวกุ้ยหลานครุ่นคิดพลางพยักหน้าเห็นด้วย “ตกลง”
คิดไปคิดมาก็น่าจะมีแค่เฉินโหยวซวนแล้ว ถ้าปล่อยเขาไปโดยที่ไม่ถามไถ่เลย ตัวเองคงแค้นใจขั้นสุด?
ยิ่งคิด โจวกุ้ยหลานรู้สึกว่าความคิดของสวีฉางหลินนี้ไม่เลว
ถ้าคิดขึ้นมาจริงๆ ยังมีเรื่องแปลงผักครั้งก่อนอีกนะ!