นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 125 ขอร้องพวกเจ้าปล่อยข้าไปเถอะ!
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 125 ขอร้องพวกเจ้าปล่อยข้าไปเถอะ!
ในเมื่อภรรยาเห็นด้วย สวีฉางหลินก็หยิบมีดสั้นออกมาจากในอกเสื้อ และเดินเข้าใกล้ประตูใหญ่ ค่อยๆขยับดาลประตู
โจวกุ้ยหลานรออยู่เงียบๆแทบกลั้นหายใจ แต่ไม่นานดาลประตูก็เปิดออก
หลังจากสวีฉางหลินผลักประตูออกแผ่วเบา พาโจวกุ้ยหลานเข้าไปยังตระกูลเฉิน
พอเข้าไปแล้ว เขาก็เดินไปทางห้องด้านหลัง โจวกุ้ยหลานแปลกใจ ทำไมเขารู้ว่าเฉินโหยวซวนอยู่ห้องไหน?
ระหว่างที่กำลังคิด สวีฉางหลินผลักประตูออกอย่างเบามือและปิดประตูอย่างแผ่วเบา ผลันร่างเข้าไปอย่างรวดเร็ว ยื่นมือไปถีบไหล่คนๆนั้นอย่างแรง
เกิดเสียงแค่นหนักขึ้น สวีฉางหลินยื่นมือไปจับไหล่เฉินโหยวซวนไว้ และเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
โจวกุ้ยหลานตื่นเต้นมาก รีบเดินตามหลังสวีฉางหลินออกไป และปิดประตูห้องโถงใหญ่ของตระกูลเฉินไปด้วย
ระหว่างทาง นางก้มหน้ารีบเดินอย่างเร็ว ตามสวีฉางหลินไปติดๆ และเห็นสวีฉางหลินพาเฉินโหยวซวนเดินไปทางหุบเขา
ขึ้นเขาตอนกลางคืนมันไม่ง่ายนัก นางเดินไปก็รู้สึกไม่สะดวกเท่าไหร่ ได้แต่ก้มหน้าเดินอย่างระมัดระวัง
ทั้งสองคนเดินไปจนถึงพื้นที่โล่ง นอกจากบ้านไม้ไผ่แล้ว อย่างอื่นโดนเผาจนเป็นเถ้าถ่านหมดแล้ว
พอเห็นสภาพเบื้องหน้า โจวกุ้ยหลานก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา เกิดตนตายไปในวันนั้น ไฟโกรธที่กว่าจะข่มลงไปไม่ง่ายนั้นก็ปะทุขึ้นมาอีก
และยังบ้านที่สร้างใหม่ คอกเหล่านี้เล้าไก่เอย กลายเป็นเถ้าถ่านอย่างนี้เสียแล้ว
นี่เป็นน้ำพักน้ำแรงของนางกับสวีฉางหลินทั้งนั้น!
สวีฉางหลินโยนเฉินโหยวซวนลงพื้น เกิดเสียงดังปึ้กอย่างแรง ฝุ่งคลุ้งกระจายไม่น้อย โจวกุ้ยหลานสำลักฝุ่นจนไอค่อกแค่ก
“เขายังสลบอยู่ ทำยังไงดี?” โจวกุ้ยหลานเข้าใกล้สวีฉางหลินพลางถามเขา
“ก็ทำให้เขาตื่นซะ” สวีฉางหลินพูด พลางย่อตัวลง ยื่นมือไปกดที่ร่องจมูกของเฉินโหยวซวนอย่างแรง เฉินโหยวซวนนั่นค่อยๆลืมตาขึ้น เห็นสวีฉางหลินอยู่ข้างหน้า ก็ร้องเสียงหลงพลางจะถอยหลังหนี
ชายผู้นี้ คือคนที่ก่อนหน้านี้เหยียบกล่องดวงใจเขาจนแหลกในขาเดียว
“อ้าว ตื่นง่ายขนาดนี้เลย!”
โจวกุ้ยหลานแปลกใจ
พอได้ยินเสียงนาง เฉินโหยวซวนก็หันไปมอง และเห็นโจวกุ้ยหลานยืนต่อหน้าเขา หว่างขาก็พลันปวดหนึบขึ้นมา
สตรีผู้นี้ ยกหมอนไม้ฟาดเขา ไม่งั้นเขาไม่มีทางสูญเสียกล่องดวงใจไป!
“สวีฉางหลิน คนคนนี้โดนเจ้าฟาดจนโง่ไปแล้วกระมัง? ทำไมไม่พูดอะไรเลยล่ะ?” โจวกุ้ยหลานขมวดคิ้ว หันมองสวีฉางหลิน
ถ้าโง่จริงจะถามได้ความยังไงล่ะ? ต่อให้ถามได้ ล้างแค้นก็ไม่มีความหมายแล้ว
“ไม่โง่” สวีฉางหลินพูดออกมา เขาเห็นกับตาว่า ในดวงตาเฉินโหยวซวนมีความหวาดกลัวพรั่นพรึงรวมถึงความบ้าคลั่ง
แค่แวบเดียว เขาก็เข้าใจทันทีว่า คนผู้นี้นี่แหละที่วางเพลิง
“งั้นมีอะไรทำให้เขาเปิดปากได้ล่ะ?” โจวกุ้ยหลานลูบคางตนอีกครั้ง
นางไม่มีประสบการณ์กับเรื่องแบบนี้ จัดการยากแฮะ…
“ดึงเล็บเขาออกมาแล้วกัน? สิบนิ้วเชื่อมต่อหัวใจ ได้ยินว่าเจ็บมาก ข้าว่าเขาคงรับไม่ไหว” โจวกุ้ยหลานคิดถึงวิธีการทรมานคนในละครที่เคยดูมาก่อนหน้านี้ เลือกมาสักอันที่รู้สึกว่าเหมาะสม เลยเสนอขึ้นมา
“นังแพศยา!” เฉินโหยวซวนตะคอกดังออกมา สายตาที่มองโจวกุ้ยหลานเต็มไปด้วยความแค้น อยากจะปีนขึ้นมาจากพื้นโผเข้าหาโจวกุ้ยหลาน
นังแพศยาโหดร้ายนี่กล้าทำแบบนี้กับตน!
สวีฉางหลินที่อยู่ข้างๆยกเท้าขึ้นมา และวางลง มันเหยียบลงตำแหน่งหัวใจของเขาแล้ว และกดทับจนเขาขยับไม่ได้
เฉินโหยวซวนดิ้นทุรนทุรายอย่างรุนแรง อยากจะลุกขึ้น พลางยกมือไปขยับขาข้างนั้น แต่ไม่ขยับเลย
“ดูท่าวิธีนี้ได้ผล เจ้าดูสิ เขาโกรธแล้ว” โจวกุ้ยหลานวางมือลง น้ำเสียงมีแววตื่นเต้น
พวกเขาหาถูกคนแล้ว ไม่อย่างนั้นทำไมเขาเลือกที่จะด่านางก่อน แต่ไม่ใช่งุนงงล่ะ?
“หญิงโฉดชายชั่ว! พวกเจ้าต้องไม่ได้ตายดีแน่!” เฉินโหยวซวนตะคอกดังอย่างโกรธจัด ใช้แรงทั้งหมดที่มีด่าคนสองคนนี้
สวีฉางหลินขมวดคิ้ว ออกแรงที่เท้าอีก เฉินโหยวซวนอุทานอย่างเจ็บปวด หน้าอกราวกับจะโดนเหยียบจนแตกหัก เขาหอบหายใจหนัก เจ็บจนไม่มีแรงด่าใครอีก
“เจ้าวางเพลิงใช่หรือไม่?” สวีฉางหลินถามเสียงเย็น
“ไม่ใช่ข้า!” เฉินโหยวซวนปฏิเสธทันที
จะสารภาพเวลานี้ไม่ได้ ไม่ว่ายังไงก็รับไม่ได้ ไม่งั้นเขาต้องไปเข้าคุกที่กองปราบแน่! ไม่ เขายังฆ่าสองคนนี้ไม่ตาย เขาไม่ยอมติดคุกเด็ดขาด!
“ข้าเห็นแผ่นหลังเจ้าชัดๆ ไม่งั้นเจ้าคิดว่าทำไมข้ายังมีชีวิตอยู่ล่ะ?” โจวกุ้ยหลานเดินเข้าใกล้เฉินโหยวซวนไปหนึ่งก้าว พลางพูดเสียงเย็น
“นั่นเพราะเจ้าตาถั่ว!” เฉินโหยวซวนย้อนทันที
โจวกุ้ยหลานขมวดคิ้วอีกครั้ง เป็นแบบนี้ต่อไปไม่รู้ต้องเสียเวลาอีกเท่าไหร่
สวีฉางหลินที่อยู่ข้างๆยกขาขึ้นเปลี่ยนตำแหน่ง เหยียบลงไปที่ข้อมือขวาของเฉินโหยวซวนเข้าอย่างจัง จากนั้นมีเสียงพลั่กดังขึ้น เฉินโหยวซวนร้องโหยหวนราวหมูถูกเชือด ใช้มือซ้ายพยุงมือขวาตนไว้
เจ็บ เจ็บแทงใจเสียดกระดูก! กระดูกเขาหักแล้ว! มือเขาพิการแล้ว!
เสียงร้องโหยหวนนั่นทำเอาโจวกุ้ยหลานรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงไปด้วย
โชคดีว่าอยู่บนเขา ถ้าเป็นที่อื่น คงเรียกคนออกมาแล้วแน่
เฉินโหยวซวนดิ้นพล่านบนพื้น ร้องโหยหวน น้ำหูน้ำตาน้ำมูกไหลเต็มหน้า มือขวาเปลี่ยนรูปร่างไปอย่างแปลกประหลาด
ดูท่า มือนั่นพิการแล้ว…
โจวกุ้ยหลานเหล่สวีฉางหลิน เห็นสีหน้าเขานิ่งเฉย เหมือนเรื่องเมื่อครู่ไม่มีอะไรเลย
ผู้ชายคนนี้ทำไมสงบนิ่งขนาดนี้? สีหน้าไม่เปลี่ยนเลย?
นี่แรงขาเขามากขนาดไหนเนี่ย เหยียบจนกระดูกหักเลย?
“เจ้าวางเพลิงใช่หรือไม่?” สวีฉางหลินถามอีกอย่างเย็นชา
“ไม่ใช่ข้า… ไม่ใช่ข้าจริงๆ! พวกเจ้าปล่อยข้าไปเถอะ ขอร้องพวกเจ้าปล่อยข้าไปเถอะ!” เฉินโหยวซวนอ้อนวอนขอร้องทั้งน้ำตา
เจ็บปวดนัก มือเขาพิการแล้ว
คนผู้นี้เมื่อก่อนเป็นฆาตกรนี่นา นี่เขาจะฆ่าตนรึ?
เฉินโหยวซวนหวาดกลัว ขยับถอยหลัง อยากห่างสวีฉางหลินไปอีกหน่อย
โจวกุ้ยหลานขมวดคิ้ว เป็นแบบนี้ต่อไปเขายิ่งไม่มีทางยอมรับ และต่อให้ยอมรับแล้ว ก็อาจจะแสร้งว่าโดนทรมานจนยอมรับน่ะสิ….
พอหันไปมองสวีฉางหลิน เห็นเขาสีหน้าลุ่มลึกดุจน้ำ สมองพลันแล่นความคิดวาบขึ้น
นางรีบยิ้มแย้มบอกสวีฉางหลินว่า “สัตว์ร้ายในเขามีมากนัก ถ้าไงเจ้ากรีดเนื้อเขาสักหลายแผลเถอะ สัตว์ร้ายพวกนั้นพอได้กลิ่นเลือด ก็จะหาเขาเจอ ถึงเวลานั้นเขาโดนสัตว์ร้ายกินไป แบบนี้ต่อให้กองปราบมาสืบก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเรา แต่ข้าว่า กองปราบก็คงหาเขาไม่เจอหรอก เพราะโดนสัตว์ร้ายกินไปหมดแล้วนี่”
เฉินโหยวซวนที่ร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลพรากนั้นตกใจจนตัวสั่นเทา
สัตว์ร้าย ในหุบเขานี้มีแต่สัตว์ร้าย ถ้าโดนหมาป่าหรือเสือกัดเข้าล่ะก็ งั้น…
แค่คิด เขาก็เริ่มเจ็บไปทั้งตัว
เขาหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ ทำให้รู้สึกดีนิดหน่อย
ไม่ได้ เขายอมไปติดคุก เขาแค่วางเพลิง ไม่ได้เผาคนตาย เขายอมไปติดคุกไม่กี่ปีก็ได้ออกมาแล้ว สวีฉางหลินคนนี้ไม่เหมือนกัน เขาเป็นฆาตกร ดีไม่ดีจะฆ่าตนขึ้นมาจริงๆ