นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 128 นางมีหัวคิด
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 128 นางมีหัวคิด
“งั้นถ้าพรุ่งนี้ท้องฟ้าแจ่มใส พวกเราไปขายถ่านในเมืองดูไหม? ข้าก็อยากซื้อผ้าและดอกฝ้ายกลับมาสักหน่อย บ้านเรายังไม่มีเสื้อคลุมผ้าฝ้ายเลย อากาศเริ่มหนาวแล้วนะ” โจวกุ้ยหลานพูดไปพูดไป คิ้วก็เริ่มขมวดมุ่นขึ้นมา
ก่อนหน้านี้นางครุ่นคิดเรื่องฤดูหนาว และซื้อผ้ากับดอกฝ้ายมามากมายขนาดนั้น ตอนนี้ทุกอย่างไม่เหลือแล้ว สองวันนี้นางใส่เสื้อผ้าชุดเดียว ได้เสื้อผ้าของเหล่าไท่ไท่มาให้นางผลัดเปลี่ยนเท่านั้นเอง
ที่สำคัญไปกว่านั้น คือชุดที่สวีฉางหลินซื้อให้นางยังไม่ทันได้ใส่เลย ก็โดนเผาไหม้หมดแล้ว!
ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกแค้นเฉินโหยวซวน!
พูดไปพูดไป โจวกุ้ยหลานเปิดเปลือกตาไม่ขึ้นแล้ว นางหลับตาลง ฟังเสียงลมหายใจของสวีฉางหลินเงียบๆ ไม่นานก็หลับไปเลย
จนกลับถึงบ้าน สวีฉางหลินวางนางลงบนเตียงเตา นางถึงตื่นเล็กน้อย
นางง่วงนักเลยแค่พลิกตัวแล้วหลับต่อ
เช้าวันต่อมา โจวกุ้ยหลานก็ตื่นขึ้น มองดูสีท้องฟ้า พบว่าด้านนอกไม่ได้ฝนตก นางรีบปลุกสวีฉางหลินตื่นขึ้น ใส่เสื้อผ้าเดินออกมา และพบว่าเหล่าไท่ไท่กำลังเช็ดโต๊ะอยู่
“ทำไมเจ้าตื่นเช้าเยี่ยงนี้? ด้านนอกฟ้ายังไม่สางเลยนะ” เหล่าไท่ไท่เหล่มองโจวกุ้ยหลาน ถามอย่างตกใจ
นังหนูนี่หลายวันนี้พักฟื้น วันๆเอาแต่นอนจนฟ้าสว่างโร่ถึงจะลุกขึ้น
บางครั้งนอนไม่หลับ ก็นอนถึงเที่ยงกว่าจะลุกขึ้น
“วันนี้ข้าอยากลองไปขายถ่านในเมืองดูสักหน่อย ถ้าขายดี พวกเราก็ไปเผาต่อ” โจวกุ้ยหลานบอกเหล่าไท่ไท่อย่างตื่นเต้น
ถึงนางจะบอกว่าถ่านนี่ยังไงก็ขายได้ แต่เรื่องไม่คาดฝันอาจเกิดขึ้นได้ ถ้าถ่านนี่ขายไม่ได้ล่ะ? พวกเขาก็จะได้ไม่ต้องทำอีก
เหล่าไท่ไท่ครุ่นคิด รู้สึกว่ามีเหตุผล เลยไปเรียกโจวต้าไห่ตื่นด้วย
แค่ช่วงเวลาที่ทั้งหมดอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เหล่าไท่ไท่ก็ทำอาหารเช้า นางปิ้งขนมเปี๊ยะข้าวสาลีหลายชิ้น โจวกุ้ยหลานกินจนปวดฟัน
จนแล้วเสร็จ ฟ้ายังไม่สว่างเลย โจวต้าไห่ไปบ้านเหล่าหม่าโถว โจวกุ้ยหลานแอบกลับห้องตัวเอง และขุดเงินจากพื้นออกมา นางเอามาห้าสิบตำลึง ซ่อนไว้ในตัวอย่างดี
“กุ้ยหลานเจ้าทำอะไรนะ เหล่าหม่าโถวมาแล้วนะ เจ้ารีบออกมาได้แล้ว!” เหล่าไท่ไท่แหกปากตะโกนใส่ห้องนั้น
“มาแล้ว!”
โจวกุ้ยหลานตะโกนบอกข้างนอก รีบให้สวีฉางหลินทำพื้นให้เหมือนเดิม
“พวกเจ้าสองคนเร็วหน่อยสิ! ไปช้าก็กลับมาไม่ทันกินข้าวเที่ยวแล้ว!” เหล่าไท่ไท่ร้อนใจอยู่ข้างนอก
ถ้าไม่ใช่ว่าลูกเขยก็อยู่ในห้องด้วย นางต้องพุ่งเข้าไปดึงหูนังเด็กน่าตายนี่ออกมาแน่!
“ไม่ต้องรีบดอก พวกเจ้าเหมารถข้าแล้ว ไม่ต้องรอคนอื่นด้วย ปล่อยพวกเขาเถอะ” เหล่าหม่าโถวยิ้มบอก
“งั้นรบกวนพี่ชายแล้ว เด็กพวกนี้นี่ ไม่รู้จักเลยว่าอะไรเรียกรีบ” เหล่าไท่ไท่ยิ้มบอกเหล่าหม่าโถว และเป็นการให้เวลาโจวกุ้ยหลานไปด้วย
เหล่าหม่าโถวพลิกยาเส้นในมือ และพูดคุยกับเหล่าไท่ไท่ต่ออีกสองสามคำ ล้วนเกี่ยวกับเรื่องไฟไหม้บ้านโจวกุ้ยหลานทั้งนั้น
“บ้านไหม้จนไม่เหลืออะไรเลย?”
“ใช่สิ! นั่นบ้านสร้างใหม่นะ เป็นบ้านหินด้วย!” พูดถึงเรื่องนี้ทีไร เหล่าไท่ไท่ก็เดือดจัด
ไม่พูดเรื่องบ้านใหม่นั่น แค่ดอกฝ้ายกับผ้าก็มีราคาไม่น้อยเลยทีเดียว!
ยังมีแป้งขาวและข้าวสารเอยข้าเอย และยังมีไก่พวกนั้นกับแพะสองตัวอีก
ไม่กล้าคิดเลยจริงๆ ยิ่งคิดยิ่งปวดใจ!
“นี่มันก็ช่วยไม่ได้ ใครจะคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น โชคดีที่คนไม่เป็นอะไร บ้านน่ะต่อไปก็ยังสร้างใหม่ได้”
เหล่าหม่าโถวปลอบเหล่าไท่ไท่
เหล่าไท่ไท่ก็พยักหน้าเข้าใจ โชคดีที่โจวกุ้ยหลานไม่เป็นอะไร ไม่เช่นนั้นใจนางต้องสลายแน่
กำลังพูดกันอยู่ โจวกุ้ยหลานกับสวีฉางหลินก็เดินออกมาจากในห้อง โจวต้าไห่กำลังแบกถ่านขึ้นรถ สวีฉางหลินเห็นดังนั้น ก็เข้าไปช่วยแบกด้วย
เหล่าหม่าโถวเองก็ปลอบโจวกุ้ยหลานอีกระลอกหนึ่ง ถามว่านางเป็นอย่างไร อาการดีขึ้นหรือยัง
โจวกุ้ยหลานก็ไม่มีอะไรอย่างอื่น เลยบอกเหล่าหม่าโถวไป
เหล่าหม่าโถวถอนหายใจยาวพลางว่า “เจ้าดูสิ นี่พึ่งพักไม่กี่วันเอง ก็จะเข้าเมืองไปขายของอีกแล้ว ต่อไปต้องสร้างบ้านใหม่ขึ้นมาได้แน่ อย่าร้อนใจไปเลย”
“ไม่ใช่ข้ายกยอลูกสาวตนเองนะ นางมีหัวคิด ข้าคิดว่าอีกปีสองปีนางก็สร้างบ้านใหม่ได้แล้ว” เหล่าไท่ไท่แทรกขึ้นมา
ลูกสาวตนน่ะอะไรก็ดีหมด เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น ต้องชมให้เลิศเลอ ไม่งั้นคนอื่นจะรู้ว่าลูกสาวตนดีอย่างนี้ได้อย่างไร?
โจวกุ้ยหลานเหม่อลอย ยืนหน้าหนาฟังแม่ตนเองคุยโม้กับเหล่าหม่าโถว
รอจนโจวต้าไห่และสวีฉางหลินยกถ่านสิบกว่าตะกร้าขึ้นรถเทียมวัวหมดแล้ว ทั้งหมดก็ขึ้นไปนั่งบนรถเทียมวัว และมุ่งหน้าไปเมือง
รอจนถึงเมือง ฟ้าก็สว่างแล้ว ร้านค้าต่างๆในเมืองก็เปิดค้าขายแล้ว
โจวกุ้ยหลานให้เหล่าหม่าโถวเอารถเทียมวัวไปจอดหน้าร้านขายของชำร้านหนึ่ง นางกับสวีฉางหลินลงจากรถ เดินเข้าในร้าน
คนงานในนั้นกำลังสัปหงกเลย พอโจวกุ้ยหลานเข้ามาใกล้เขา ถึงได้เห็น
“จะรับอะไรรึ?” คนงานถามอย่างงัวเงีย ก่อนจะหาวหวอดๆ
โจวกุ้ยหลานไม่พูดมากความ เปิดปากถามว่า “ที่นี่พวกเจ้าให้ราคาถ่านจินละเท่าไหร่?”
“ระดับต่ำที่สุดคือหนึ่งจินห้าอีแปะ ระดับกลางหนึ่งจินแปดอีแปะ ระดับสูงหนึ่งจินสิบห้าอีแปะ” ถึงคนงานจะง่วงมาก แต่ก็พูดในสิ่งที่โจวกุ้ยหลานอยากถามออกมาทั้งหมด
นี่ถือว่าถูกนะ
“ข้าอยากต่อราคา” โจวกุ้ยหลานถามคนงานด้วยรอยยิ้ม
คนงานอึ้ง ก่อนบอก “เรื่องต่อราคาข้าไม่รู้หรอก พวกเจ้ามีของเท่าไหร่รึ?”
“เยอะมาก บ้านข้าทำเผาถ่านเอง” โจวกุ้ยหลานบอก
โจวกุ้ยหลานมองเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยรอยปะชุนของโจวกุ้ยหลาน แล้วรู้สึกแปลกใจ แต่ไม่พูดอะไร ให้พวกเขารอก่อน ส่วนตนเข้าไปเรียกเถ้าแก่ที่อยู่ในห้องออกมา
ไม่นาน ชายอายุราวสี่สิบกว่าปีคนหนึ่งก็เดินออกมา โจวกุ้ยหลานพยักหน้าให้เขาเป็นเชิงทักทาย
คนงานเล่าเรื่องทั้งหมดแล้ว เถ้าแก่พอเข้าใจเรื่องราว เลยถามขึ้น “ไม่ทราบว่าถ่านของพวกท่านเป็นระดับไหนกัน?”
“เช่นนั้นข้าเอามาให้เถ้าแก่ดูสักหน่อยแล้วกัน” โจวกุ้ยหลานบอก พลางหันมองสวีฉางหลิน สวีฉางหลินแบมือตนเองออก ในฝ่ามือนั้นมีถ่านที่เผาเสร็จแล้วชิ้นหนึ่ง
ก่อนเข้าร้าน โจวกุ้ยหลานให้สวีฉางหลินหยิบมาด้วย
เถ้าแก่ยื่นมือไปหยิบถ่านชิ้นนั้นมาพินิจพิเคราะห์ดูให้ละเอียด ยิ่งดูยิ่งตกใจ
นี่…มันดีเสียยิ่งกว่าถ่านชั้นดีที่สุดในร้านเขาเสียอีกนะ!
โจวกุ้ยหลานเห็นสีหน้าทั้งหมดของเถ้าแก่ และเริ่มมั่นใจ นางไม่เร่งเร้าเขา ให้เขาดูให้ละเอียดตามสบาย
“ถ่านนี่ของท่านใครเผากัน?” เถ้าแก่ถามอย่างร้อนใจ
โจวกุ้ยหลานยิ้มบอก “สามีข้าเผาเอง”
เถ้าแก่ได้ยินโจวกุ้ยหลานพูดอย่างนี้ สายตาก็เบนไปมองสวีฉางหลินที่ยืนอยู่ข้างๆ
คนผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ เผาถ่านที่ดีอย่างนี้ออกมาได้
ถ่านที่ดีที่สุดของเขานำเข้ามาจากเขต เพื่อเหล่าคนมีเงินพวกนั้นในเมือง แต่ถ่านนี่ก็ยังเทียบไม่ติดกับถ่านของคนผู้นี้