นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 13 กลับบ้านฝ่ายหญิง 2
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 13 กลับบ้านฝ่ายหญิง 2
โจวเหล่าไท่ไท่ก็ดีใจ คราวนี้ลูกสาวของนางกลับมาเชิดหน้าชูตานางแล้ว
ป้าใหญ่ก็ยิ้มกริ่มจนตาหยี ของเยอะขนาดนี้ หญิงสาวชาวบ้านมากมายได้สินสอดยังไม่มากเท่านี้เลย นางเป็นป้าใหญ่ ยังจะขาดของนางหรือ?
โจวกุ้ยหลานแอบตกตะลึง นางไม่คิดว่าเขาจะเตรียมของเยอะขนาดนี้
โจวเหล่าไท่ไท่เห็นสิ่งของพวกนี้ ก็ยิ้มแย้มขึ้นมา
ของที่นำกลับมาเยี่ยมบ้านในครั้งนี้ ในหมู่บ้านต้าสือถือว่าเยอะอย่างมากแล้ว
สวีฉางหลินหันไปเรียกโจวเหล่าไท่ไท่ตามคำพูดของโจวกุ้ยหลาน
โจวเหล่าไท่ไท่มองพิจารณาดูโจวกุ้ยหลาน มั่นใจว่านางไม่ถูกรังแก จึงค่อยโล่งอก แล้วพาทุกคนเข้าบ้าน
โจวกุ้ยหลานจูงมือเจ้าก้อนน้อยเดินตามเหล่าไท่ไท่เข้าไปในบ้าน
เพิ่งเข้ามาถึงห้องโถง ก็มีผู้ชายอายุยี่สิบกว่าคนหนึ่งเดินออกมา โจวกุ้ยหลานดูก็รู้เลยว่าเป็นพี่ชายเจ้าของเดิมโจวต้าไห่
โจวกุ้ยหลานเรียกทักทาย และก็ให้เจ้าก้อนน้อยเรียกทักทาย
โจวต้าไห่ก็เป็นมิตรดี ลูบหัวเจ้าก้อนน้อยอย่างยิ้มแย้ม แล้วก็เรียกสวีฉางหลินพร้อมพาเขาไปหาผู้อาวุโสในตระกูล
โจวเหล่าไท่ไท่พาลูกสาวของตนกับหลานชายตัวน้อยเข้าไปในครัว ให้โจวกุ้ยหลานไปจุดไฟที่เตา แล้วนางก็เริ่มผัดกับข้าว
สายตามองดูพิจารณาโจวกุ้ยหลาน พร้อมพูดขึ้นว่า “สวีฉางหลินเป็นไงบ้าง?”
“ก็ดี”โจวกุ้ยหลานพูดตอบอย่างขอไปที หัวสมองรีบครุ่นคิด พยายามรื้อฟื้นว่าที่ผ่านมาเจ้าของเดิมพูดคุยกับเหล่าไท่ไท่ยังไง พยายามไม่ให้ตนเองมีพิรุธ
โจวเหล่าไท่ไท่หันไปมองดูเจ้าก้อนน้อยที่อยู่ด้านข้างอย่างค่อนข้างหวาดกลัวนาง แล้วล้วงเอาลูกอมหนึ่งลูกออกมาให้เจ้าก้อนน้อย พร้อมพูดขึ้นว่า
“ทำไม ยังโกรธท่านแม่หรือ?”
เสียงนี้ ยังแฝงไปด้วยความแข็งกร้าว ทำให้ทั้งตัวโจวกุ้ยหลานรู้สึกตื่นตัวขึ้นมา
“เป็นไปได้อย่างไร ข้าจะโกรธท่านแม่ทำไม?”โจวกุ้ยหลานรีบพูดตอบอย่างเอาใจ
โจวเหล่าไท่ไท่ถอนหายใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าก็อย่าโทษว่าท่านแม่ใจร้าย หลายปีก่อนมีความแห้งแล้ง หากท่านแม่ไม่ให้เจ้าอยู่บ้านหาบน้ำในนา เราทั้งบ้านก็จะอดตาย ใครจะไปคิดว่าผ่านไปไม่นานเจ้าก็อายุสิบแปดแล้ว กลายเป็นสาวอายุเยอะ จะให้เจ้าอยู่บ้านไปตลอดชีวิตก็ไม่ได้ ท่านแม่จึงต้องรีบให้เจ้าแต่งงานออกไป”
“แต่ท่านแม่ก็ไม่ควรที่จะผลักข้าเข้ากองไฟนี่ เฉินโหยวซวนเป็นคนยังไง?”
โจวกุ้ยหลานอดไม่ได้ที่จะพูดเถียงขึ้นมา
“ตอนนั้นมีเพียงเขามาสู่ขอคนเดียวไม่ใช่หรือ? ยังไงก็เป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน หากเขากล้ารังแกเจ้า ข้าจะไปจัดการเขา เจ้าก็ไม่ใช่คนใบ้ ถูกรังแกแล้วไม่รู้จักกลับมาบอกข้าหรือ?”
โจวเหล่าไท่ไท่เบิกตาโต ท่าทีแข็งกร้าวขึ้นมา ทำให้โจวกุ้ยหลานที่ปกติปากดีถึงกับนิ่งอึ้ง
โจวเหล่าไท่ไท่คนนี้เป็นคนกล้าหาญจริงๆ สามีเสียไปตั้งแต่เมื่อสิบห้าปีก่อน นางที่ตัวเล็กขนาดนี้เลี้ยงลูกทั้งสี่คนเติบโตมาได้ ครอบครัวชาวสวนที่ไม่มีผู้ชายเป็นเสาหลัก ก็จะถูกคนในหมู่บ้านรังแกอย่างไม่มีทางสู้ โจวเหล่าไท่ไท่ในตอนนั้นสามารถสู้กับผู้ชายได้ คนในหมู่บ้านจึงไม่มีใครกล้ารังแกครอบครัว
ดังนั้นสำหรับท่านแม่คนนี้ เจ้าของเดิมให้ความเคารพอย่างมาก จึงทำให้หลังจากที่ท่านแม่เลือกคู่ครองให้นาง ก็ไม่กล้าที่จะขัดขืนท่านแม่ ทำได้เพียงเอาหัวชนฝาผนัง
เห็นนางไม่พูดไม่จา เหล่าไท่ไท่จึงพูดขึ้นมาอีกว่า “ถึงสวีฉางหลินจะเป็นแค่นายพราน ยังมีลูกอีกด้วย ข้าดูแล้วก็เป็นคนมีความสามารถ เจ้าอยู่กับเขาได้อย่างไม่อดอยากแน่ อีกอย่างเขามาจากที่อื่น ยังไงก็ไม่กล้ารังแกเจ้า หากเขารังแกเจ้า ท่านแม่จะพาคนตระกูลโจวของเราไปจัดการเขา”
เหล่าไท่ไท่พูดเช่นนี้ ทำให้ในใจโจวกุ้ยหลานรู้สึกตื้นตัน
น่าแปลกยิ่งนัก
เห็นนางเงียบ ดวงตาเหล่าไท่ไท่เบิกโต พร้อมพูดขึ้นว่า “ทำไม เจ้าจะไม่คุยกับท่านแม่ไปตลอดชีวิตหรือ?”
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”โจวกุ้ยหลานรู้ว่าหากไม่รีบดับไฟ สักพักเหล่าไท่ไท่ก็จะเอาไม้กวาดฟาดนาง
เหล่าไท่ไท่พูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชาว่า “ข้าเป็นคนคลอดเจ้า ความรู้สึกนึกคิดของเจ้าท่านแม่จะดูไม่ออกหรือ? อย่าคิดทำอะไรที่ไม่มีประโยชน์ เจ้าจำไว้ พวกเจ้าทั้งสองคนไม่มีที่นาสวน การล่าสัตว์เป็นเรื่องที่ไม่มั่นคง พวกเจ้าต้องอดออม เก็บเงินซื้อที่ดิน ต่อไปเมื่อเจ้ามีลูก จะได้มีทรัพย์สมบัติไว้ให้พวกเขา”
“ข้าคิดว่า ด้วยความสามารถของสวีฉางหลิน สองสามปีนี้พวกเจ้าก็จะมีชีวิตที่ดีขึ้น อนาคตก็จะสบาย อย่าคิดว่าท่านแม่เห็นแก่หมู่ป่าตัวนั้น ยังไงเจ้าก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า ข้าจะผลักเจ้าเข้ากองไฟหรือ?”