นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 131 เงินคือต้องหามานะ
“นี่…มากขนาดนี้?” โจวต้าไห่ตะกุกตะกักอย่างไม่อยากเชื่อ
พวกเขาพึ่งเผาถ่านไม้นานแค่ไหนกันเชียว ทำไมถึงได้มาสี่ตำลึงกว่าแล้วล่ะ? นี่เป็นเงินที่เขาต้องใช้เวลาหาถึงสองปีเลยนะ!
“ยังดี พวกเราสามารถหาซื้อของเพิ่มได้บ้างละ” โจวกุ้ยหลานพูดยิ้มๆ
สวีฉางหลินที่อยู่ข้างหลังร่างสั่นสะท้าน จากนั้นหันหน้าหนีไปอีกทาง
เวลาภรรยาใช้จ่ายเงินขึ้นมาเขาเองยังกลัวเลย
“เถ้าแก่โจว พวกท่านที่นี่มีน้ำมันงาหรือไม่?” พวกน้ำมันถั่วลิสงล่ะ?”
“มีน้ำมันถั่วลิสง และมีน้ำมันพืช น้ำมันงาพึ่งขายหมดไป” เถ้าแก่โจวตอบตามตรง
ไม่มีน้ำมันงาหรอ น่าเสียดายจริงๆ แบบนี้ทำกับข้าวก็ไม่หอมสิ
โจวกุ้ยหลานขมวดคิ้ว คงได้แต่ซื้อน้ำมันอย่างอื่นก่อนแล้วล่ะ
“งั้นน้ำมันถั่วลิสงขายยังไงรึ?”
“น้ำมันถั่วลิสงหนึ่งจินสิบห้าอีแปะ เจ้าให้ข้าสิบสี่อีแปะก็พอ”
“ได้ งั้นเอาน้ำมันถั่วลิสงมายี่สิบจินก่อนแล้วกัน อ้อจริงสิ ขอเกลือละเอียดให้ข้าสองจิน อ้า ที่นี่ท่านมีขายด้ายห้าสีไหม? เอามาหนึ่งกลุ่มแล้วกัน เอ๋ หม้อนี้ไม่เลว ขอข้าอันหนึ่ง กานี้ดีนัก ซื้อกลับไปต้มน้ำ…” โจวกุ้ยหลานเริ่มชี้นิ้วสั่ง เถ้าแก่และคนงานสองคนช่วยกันหยิบของให้นาง
“จริงสิ ถังเผาถ่านนี่ก็เอามาให้ข้าละกัน ได้ใช้หน้าหนาวพอดี” โจวกุ้ยหลานชี้ไปที่ของที่พื้น
“ผงพริกเอามาให้ข้าสามจินแล้วกัน”
โจวต้าไห่ที่รออีกด้านอ้าปากค้าง มองดูโจวกุ้ยหลานสั่งของไม่หยุด คนงานกับเถ้าแก่ยังหยิบให้นางไม่ทัน
เหล่ดูแล้วโจวกุ้ยหลานไม่มีวี่แววจะหยุดเลย เขาเริ่มร้อนใจ “พอแล้วพอแล้ว ของพวกนี้ไม่ต้องซื้อ ที่บ้าน…”
“ที่บ้านไม่มี ข้าดูมาแล้ว” โจวกุ้ยหลานตัดบทคำพูดของโจวต้าไห่ ชี้นิ้วสั่งของต่อ
“โจวต้าไห่รีบเดินมายืนหน้าโจวกุ้ยหลาน บดบังสายตานาง “กุ้ยหลานเอ้ย ของพวกนี้ซื้อกลับไปก็ไม่ได้ใช้อะไร เจ้าจะซื้อไปทำไมกัน? เงินเก็บไว้ยังได้นะ!”
“พี่ชาย เงินต้องหามานะ ไม่ใช่ประหยัดเก็บ พวกท่านน่ะประหยัดจนชินแล้ว ในบ้านไม่มีอะไรเลย ถึงได้ไม่สะดวก!”
โจวกุ้ยหลานปัดโจวต้าไห่ออกอย่างไม่เบามือ พลางร้องต่อ “ที่สนเข็มนั่นก็เอามาให้ข้าด้วยแล้วกัน”
ที่สนเข็มนั่นของเหล่าไท่ไท่เรียบเกลี้ยงหมดแล้ว ใช้ไม่ถนัดแน่
โจวต้าไห่ยังอยากพูดอะไร สวีฉางหลินที่อยู่ข้างส่ายหัวช้าๆให้เขา ให้เขาไม่ต้องพูดอะไรให้มากความไปอีก ไม่มีประโยชน์หรอก
ของพวกนี้ในบ้านหมดแล้วจริงๆ ซื้อกลับไปก็ได้ใช้แน่
โจวต้าไห่ร้อนใจจนเหงื่อไหลพราก มีใครซื้อของแบบนี้บ้าง? นี่คงมิใช่จะยกร้านขายของชำนี่กลับบ้านหรอกนะ?
ยังคิดอยากยับยั้ง โจวกุ้ยหลานกลับหยุดเองพลางว่า “เท่านี้ก่อนแล้วกัน เถ้าแก่โจว ท่านช่วยคิดหน่อยว่าเท่าไหร่”
เถ้าแก่โจวปาดเหงื่อบนหน้าผากตนเอง เดินไปปีนขึ้นปีนลงทั่วร้านก็เหนื่อยเหมือนกันนะ นังหนูนี่ซื้อเก่งจริงๆ
เขาลงจากบันได เขาเดินมาที่โต๊ะจ่ายเงิน หยิบลูกคิดมาดีดไปดีดมาคิด ในตอนที่มือใกล้จะเหน็บกิน เขาก็คิดเสร็จในที่สุด
“ทั้งหมดสามตำลึงหนึ่งเฉียนและสิบสามอีแปะ สิบสามอีแปะนั่นข้าลดให้แล้วกัน” เถ้าแก่โจวพูดจบ พลางปาดเหงื่อที่หน้าผากอีกครั้ง
ไอ้หยา ทำเขาเหนื่อยแทบตาย
“อะไรนะ?!”
โจวต้าไห่ตาเหลือก
เมื่อครู่เขาพึ่งดีใจที่หาเงินได้สี่ตำลึง โจวกุ้ยหลานก็ซื้อของไปเสียสามตำลึงกว่าแล้ว?
แบบนี้ เท่ากับทำรายได้ทั้งปีของครอบครัวเขาหายหมดเลยรึ?
“ไม่เอาไม่เอา ของพวกนี้พวกเราไม่เอาแล้ว!”
โจวต้าไห่ได้สติ รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธกับเถ้าแก่โจว และทำท่าจะพาโจวกุ้ยหลานไป
“มันมากเกินไปแล้ว พวกเราขนกลับไปไม่หมดหรอก รีบไปเร็ว!”
“รถเทียมวัวเหล่าหม่าโถวรออยู่ด้านนอกไม่ใช่หรือไง ทำไมจะขนกลับไปไม่หมดล่ะ? ของพวกนี้เป็นของที่เราต้องใช้ทั้งนั้น ต้องการหมดเลย!” โจวกุ้ยหลานบอกโจวต้าไห่ จากนั้นหันหาเถ้าแก่โจวพลางว่า “เถ้าแก่ เงินหักจากค่าถ่านเมื่อครู่แล้วกัน ช่วยข้าห่อของหน่อยให้คนงานช่วยข้าขนไปไว้บนรถเทียมวัว พวกข้าจะไปแล้ว”
เถ้าแก่โจวนั่นก็ตกใจกับท่าทีโจวกุ้ยหลานนัก รีบสั่งคนงานให้ช่วยขนของขึ้นรถเทียมวัว สวีฉางหลินที่ยืนอยู่ข้างๆก็รีบเข้าไปช่วยขนของด้วย
ยามเห็นสายตาปวดใจของโจวต้าไห่ เขาก็รู้สึกสงสาร
ตอนแรกที่เห็นภรรยาซื้อของ เขาเองยังตกใจเลย ต่อไปจะทำยังไง?
เขารู้ดีว่าภรรยามีเงินพกติดตัวมาห้าสิบตำลึง และยังต้องซื้อของอีกมากนัก
“รีบไปช่วยขนของเถอะ อีกเดี๋ยวพวกเรายังมีธุระต่ออีกนะ” โจวกุ้ยหลานเบนหน้าหันไปมองโจวต้าไห่ที่ยืนบื้ออยู่ พลางสั่งการรัวๆ
ไล่เขาออกไปก่อนดีกว่า ไม่งั้นนางกลัวเขาจะร้องไห้ออกมา
ของพวกนี้เป็นของจำเป็นในชีวิตประจำวันทั้งนั้น จะประหยัดได้ยังไง? ประหยัดไปชีวิตก็ไม่สะดวกสบายหมดสิ?
เถ้าแก่โจวปาดเหงื่อที่หน้าผากอีกครั้ง และยื่นเงินหนึ่งตำลึงหนึ่งเฉียนให้โจวกุ้ยหลาน จากนั้นยื่นอีกยี่สิบสี่อีแปะให้กับนาง
“แม่นาง เจ้ากวาดของในร้านข้าไปกว่าครึ่งเชียวนะ!”
“ที่ไหนกัน? วันนี้เถ้าแก่โจวทำการค้าได้มาก ต่อไปต้องดีขึ้นเรื่อยๆแน่” โจวกุ้ยหลานยิ้มบอก
โจวต้าไห่ที่หิ้วของอีกด้าน เขาแบกของไปด้านนอก โดยมีคนงานสามคนต้องช่วยกันแบกหลายรอบถึงจะเอาขึ้นรถเทียมวัวหมด
ตอนนี้โจวกุ้ยหลานเดินตามออกมา และพบว่ารถเทียมวัวบรรจุของเต็มแล้ว เลยสะบัดมือบอกเหล่าหม่าโถวที่ยืนอึ้งอยู่ว่า “ท่านอา ท่านช่วยส่งของพวกนี้กลับบ้านท่านแม่ข้าก่อนเถอะ และไม่ต้องรอพวกเราแล้ว จริงสิ หลบคนในหมู่บ้านหน่อยนะ คนอื่นจะได้ไม่พูดจาตอแยอะไร”
เหล่าหม่าโถวตกใจจนมือไม้สั่นเทา รถเทียมวัวของเขาน่ะสามารถนั่งได้สิบกว่าคนเชียวนะ นี่กลับบรรจุเต็มแล้ว?
แถมของเหล่านี้ยังกองราวกับเป็นภูเขาลูกเล็ก เขายังกลัววัวจะลากไม่ไหว เห็นได้ชัดขนาดนี้ จะหลบคนยังไง?
โจวกุ้ยหลานก็รู้ว่าให้หลบสายตาผู้คนดูจะยากลำบากเสียหน่อย เลยบอก “หากมีใครถาม ก็บอกในนี้เป็นดอกฝ้ายทั้งนั้น ซื้อมาใช้ในฤดูหนาวน่ะ”
ดอกฝ้ายเบา แต่เปลืองเนื้อที่ ภูเขาลูกย่อมๆนี่ก็ไม่ได้แพงอะไรมาก แบบนี้ก็ไม่ทำให้คนอิจฉาแล้วล่ะ
เหล่าหม่าโถวพยักหน้าอย่างยากลำบาก สะบัดแส้ใส่วัวตนเอง เจ้าวัวร้อง “มอ”รับคำ และค่อยขยับเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างยากลำบาก
พอเห็นรถเทียมวัวไปแล้ว โจวกุ้ยหลานโบกมืออีก “ไป พวกเราไปเดินเล่นที่ร้านเมล็ดข้าวพันธุ์กัน”
“อะไรนะ?” โจวต้าไห่งงเป็นไก่ตาแตกเลย
ซื้อของมากมายขนาดนี้แล้ว กุ้ยหลานยังจะซื้ออีก?
“ที่บ้านมีข้าวโพดและมันเทศ พอกินแล้ว” โจวต้าไห่รีบเสริมเข้าไป
“ข้าร่างกายอ่อนแอ ต้องบำรุงเสียหน่อย เสี่ยวเทียนกำลังโตนะ มีหรือจะกินธัญพืชพวกนี้แค่นั้นล่ะ? อีกอย่าง ท่านแม่น่ะอายุมากแล้ว เจ้ายังไม่ให้นางกินดีอยู่ดีอีกรึ? อ้อจริงสิ ฉางหลินบ้านข้าน่ะวันๆต้องทำงานหนัก ไม่กินอิ่มกินดีจะเอาที่ไหนมาหาเงิน? เจ้าใกล้จะแต่งงานแล้ว อยากใช้ธัญพืชที่บ้านออกมารับรองคนอื่นรึ?”
โจวต้าไห่หุบปากเงียบทันที
โจวกุ้ยหลานแค่นเสียงหึ ง่ายๆ คิดจะสู้กับนางรึ