นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 132 นี่คือเทพเจ้าแห่งโชคลาภของเรา
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 132 นี่คือเทพเจ้าแห่งโชคลาภของเรา
ตอนนี้นางไม่สนใจโจวต้าไห่แล้ว พอยกเท้าก็ก้าวไปยังร้านเมล็ดข้าวพันธุ์นั้นที่นางเคยไปซื้อเมล็ดข้าวพันธุ์
สวีฉางหลินรีบตามไปทันที กลัวถ้าตนเองไม่ตามไป อีกเดี๋ยวภรรยาต้องแบกของเอง
สำหรับโจวต้าไห่ เขากัดฟันกรอด สุดท้ายก็เดินตามไป
ในมือกุ้ยหลานมีเงินแค่หนึ่งตำลึง เขาไม่เชื่อว่านางจะซื้อของจนหมด
ถ้าสวีฉางหลินรู้ความคิดเขาในตอนนี้ ต้องแค่นเสียงเยาะผ่านจมูกแน่
หลังจากทั้งหมดออกจากร้านขายของชำ คนงานนั่นนั่งหมดแรงบนเก้าอี้
“แม่นางท่านนี้น่ากลัวนัก!”
ของที่ร้านพวกเขาขายไม่หมดในสองวัน โดนนางซื้อไปคนเดียวเลย
เถ้าแก่โจวปาดเหงื่อเหมือนกัน “พวกเราได้ลูกค้าใหญ่มาแล้วนะ!”
โชคดีที่ภรรยาเขาไม่ได้มือเติบอย่างนี้ ไม่งั้นเขาต้องร้องไห้ตายแน่ สามีนางทำไมดีอย่างนี้ ยอมให้นางใช้เงินมือเติบเยี่ยงนี้?
ตอนนี้ทั้งสามคนเข้าไปในร้านเมล็ดข้าวพันธุ์
เถ้าแก่คนนั้นก่อนหน้านี้เห็นโจวกุ้ยหลานมา ตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าได้เจอแม่แท้ๆของตัวเองอีก
“ลูกค้ามาแล้ว? วันนี้ท่านต้องการสิ่งใดรึ?”
คนงานที่ช่วยโจวกุ้ยหลานไปส่งของครั้งก่อนก็รีบเข้ามา อีกครู่เขาต้องหยิบข้าวของ เถ้าแก่รับลูกค้าท่านนี้ไม่ไหวหรอก
“อืม เอาข้าวมาสองร้อยจิน ผ่านไปอีกระยะหนึ่งก็จะมาซื้ออีก ข้าวเหนียวเอาห้าสิบจินละกัน แป้งขาว….เอามาห้าสิบจิน…” โจวกุ้ยหลานมองดูของในร้าน เปิดมาก็เริ่มเลย
โจวต้าไห่ที่อยู่ข้างๆแขนขาอ่อนระทวย ในใจคิดแค่อย่างเดียวว่า “หมดกัน…”
“เอ๋ พวกท่านที่นี่มีขิงขายด้วย เอามาก่อนห้าจินแล้วกัน อ้า มีกระเทียมหรือไม่ มีเหรอ งั้นเอามาห้าจิน นี่มันถั่วเหลืองมิใช่รึ? เอามาสิบจิน เอ๋ มีถั่วเขียวด้วย? เอามายี่สิบจิน! มีเห็ดหูหนูดำด้วย? นี่ของดีนะ เอามาห้าจิน! ถั่วลิสงหรอ งั้นเอามาสิบจินแล้วกัน เมล็ดแตงโม? เอามาสิบจิน…”
โจวกุ้ยหลานถึงพึ่งรู้สึกว่า ครั้งนี้เถ้าแก่นำเข้าของดีไม่น้อยเลย เลยชี้ไปที่ของเหล่านั้น ร้องเอารัวๆ
ซื้อซื้อซื้อ ซื้อซื้อซื้อ
ที่บ้านขาดอะไรซื้ออะไร
เงินวางไว้ก็ไม่สามารถงอกเงินใหม่มาได้ อีกอย่าง นางยังจะหาเงินต่อนะ
สวีฉางหลินเหล่มองพี่ภรรยาที่ยืนโอนเอนแทบเป็นลมข้างๆ คิดๆก่อนถามอย่างเป็นห่วงว่า “ท่านพี่ภรรยาเป็นอะไรรึ?”
โจวต้าไห่ที่สะลึมสะลือหันมามองสวีฉางหลิน อ้าปาก เค้นคำพูดออกมาจากลำคอว่า “เงินหนึ่งตำลึงนั่นพอรึ?”
สวีฉางหลินส่ายหัวบอก “ไม่พอ”
เงินหนึ่งตำลึงมีรึจะพอให้ภรรยาใช้จ่าย?
เหงื่อที่ขมับโจวต้าไห่ออกมามากขึ้น “งั้นพวกเราจะโดนคนหามออกไปหรือไม่?”
ถึงเวลานั้นไม่มีเงินจ่าย เถ้าแก่กับคนงานไม่ทำร้ายพวกเขารึ?
สวีฉางหลินส่ายหัวบอก “ไม่หรอก นางมีเงิน”
อืม ในตัวภรรยายังมีอีกห้าสิบตำลึงน่ะ พอให้นางซื้อเมล็ดข้าวพันธุ์ของทั้งร้านนี้ด้วยซ้ำ
มีเงิน? นางมีเงินที่ไหนกัน? เมื่อครู่ก็จ่ายไปสามตำลึงแล้วมิใช่รึ?
ชายอกสามศอกผู้หนึ่งตอนนี้แค่อยากร้องไห้
ทำไมน้องสาวเขาซื้อเก่งเยี่ยงนี้? เมื่อก่อนมิใช่รักประหยัดรึ?
“ทำไมเจ้าตามใจกุ้ยหลานจนเป็นเยี่ยงนี้? ต่อไปจะอยู่ยังไงเล่า?” โจวต้าไห่ถามสวีฉางหลินเสียงต่ำ
สวีฉางหลินมองเขากลับอย่างสงสัย “ภรรยาไม่ได้มีไว้รักเอาใจรึ?”
จะเรียกตามใจได้ยังไง? ภรรยาดีใจก็ดีแล้วมิใช่รึ?
โจวต้าไห่รู้สึกว่าตนไม่มีหนทางหายใจแล้ว เขาทนไม่ไหวแล้ว น้องเขยคนนี้ไม่ธรรมดาเลย ตามใจจนกุ้ยหลานที่ดีๆกลายเป็นเยี่ยงนี้ ต่อไปจะอยู่ยังไงเนี่ย?
ไม่ได้ เรื่องนี้ต้องบอกท่านแม่ ให้ท่านแม่ด่ากุ้ยหลานสักยก!
เป็นแบบนี้ต่อไป ต่อให้ภูเขาเงินภูเขาทองก็ไม่มีเหลือให้กุ้ยหลายใช้หรอก!
ทางนี้ หลังจากโจวกุ้ยหลานเลือกตามที่เห็นและอยากซื้อหมดแล้ว ก็หันบอกเถ้าแก่นั่นว่า “ท่านคิดดูสิว่าทั้งหมดเท่าไหร่”
เถ้าแก่เดินไปที่โต๊ะจ่ายเงินอย่างดีใจ หยิบลูกคิดมาดีดป๊อกแป๊กไปมา ผ่านไปสักพักถึงหยุดมือลง หันมาพูดยิ้มๆว่า “ตัดเศษสิบห้าอีแปะให้เหลือเลขกลมๆ ทั้งหมดเจ็ดตำลึงสองเฉียน”
โจวกุ้ยหลานพยักหน้า ถามเถ้าแก่ว่า “พวกท่านจะส่งไปที่หมู่บ้านต้าสือตอนกลางคืนได้หรือไม่?”
“ได้น่ะได้อยู่ แต่เหตุใดต้องไปส่งตอนกลางคืน….”
เถ้าแก่นั่นถามอย่างแปลกใจ
โจวกุ้ยหลานพูดอย่างไม่ค่อยพอใจว่า “เถ้าแก่ คนในหมู่บ้านมาก ชอบพูดจาซอกแซก อีกเดี๋ยวฟ้ามืดแล้วข้าค่อยมาใหม่ ถึงเวลานั้นท่านช่วยข้าขนกลับไปส่งก็พอแล้ว”
นี่เป็นลูกค้ารายใหญ่เลยนะ มาทีก็ซื้อของที่เขาต้องใช้เวลากว่าครึ่งเดือนถึงจะขายหมด ยังจะมีอะไรไม่อาจทำให้นางได้อีก?
“ได้ ทางนี้ข้าจัดรถม้ารอไว้ กลางคืนช่วยส่งไปให้ท่านนะ”
โจวกุ้ยหลานเองก็ดีใจ ควักตำลึงเงินก้อนใหญ่จำนวนห้าสิบตำลึงนั่นในอกเสื้อออกมา ยื่นให้เถ้าแก่
เถ้าแก่รีบยื่นมือทั้งสองมารับ และกลับไปในหลังเรือน ไปเอาเงินย่อยมา ยื่นให้โจวกุ้ยหลาน
โจวกุ้ยหลานรับเงินคืนมา ถึงออกไปกับสวีฉางหลิน
รอจนพวกเขาออกไปหมดแล้ว คนงานนั่นถึงบ่นกับเถ้าแก่ตนว่า “เถ้าแก่ ลูกค้าคนนี้คงไม่ใช่ที่บ้านปลูกเงินหรอกนะ ผ่านไปไม่กี่วันเอง มาซื้อของมากมายขนาดนี้อีกแล้ว”
“ปลูกเงินสิถึงดี พวกเราก็ร่ำรวยไปด้วย”
เถ้าแก่คิดถึงเงินที่ได้มาเมื่อครู่ ยิ้มแก้มปริไม่หุบเลยทีเดียว
นี่เจ็ดตำลึงเชียวนะ!
เป็นลูกค้าเงินหนาจริงๆ ดูท่าครั้งนี้เขานำเข้าของไม่ผิด ต่อไปเห็นอะไรก็ต้องเอาเข้ามาอีกหน่อย ลูกค้ารายใหญ่คนนี้เห็นอะไรก็เอาอันนั้นเลยนะ!
คนงานแปลกใจมาก ถามต่อ “หลายวันก่อนนางพึ่งซื้อเมล็ดข้าวพันธุ์กลับไปมากมายขนาดนั้นไม่ใช่หรอ ทำไมผ่านไปไม่นานก็กินหมดแล้ว?”
ครั้งก่อนเขาก็เป็นคนช่วยส่งกลับไป ของมากมายนักนะ!
“อย่ายุ่งให้มากนัก นี่คือเทพเจ้าแห่งโชคลาภของเรา เจ้าจำไว้ก็พอแล้ว อีกอย่าง อย่าเที่ยวไปพูดเรื่องนี้ข้างนอก ถ้าร้านเมล็ดข้าวพันธุ์อื่นรู้เข้ามาแย่งนางไปได้ เจ้าก็ไม่ต้องมาทำงานที่นี่อีกแล้ว!”
เถ้าแก่เอ่ยปากข่มขู่ออกมาเลย
คนงานนั่นรีบรับปากเป็นมั่นเหมาะว่าไม่มีทางพูดออกไป และไม่กล้าเอ้อระเหยลอยชายต่อหน้าเถ้าแก่อีก เขารีบหยิบแปรงขนไก่มาทำงานปัดกวาดฝุ่นในร้าน
ทั้งสามคนออกมารวมตัวกันข้างนอก และเดินไปร้านผ้าต่อ
โจวต้าไห่เห็นโจวกุ้ยหลานเดินออกมามือเปล่า ก็ถามสวีฉางหลินอย่างแปลกใจว่า “นางมิได้ซื้อ?”
“ซื้อแล้ว ฝากไว้ที่ร้าน”
จ่ายเงินแล้ว งั้นก็ดี แสดงว่ากุ้ยหลานไม่ได้ซื้อเกินหนึ่งตำลึง
โจวต้าไห่แอบถอนหายใจโล่งอก แต่ว่า ของมากมายขนาดนั้นไม่เกินหนึ่งตำลึงหรือ?
เขาสงสัย แต่คิดเดาว่าโจวกุ้ยหลานไม่ได้ซื้ออะไรมากมาย นี่ก็พอแล้ว
หลายคนเดินไปไม่นาน ก็เข้าไปในร้านผ้า
เถ้าแก่นั่นเห็นนางมา มีปฏิกิริยาไม่ต่างอะไรกับเถ้าแก่ร้านเมล็ดข้าวพันธุ์คนนั้น
เข้ามาแนะนำผ้าต่างๆให้กับโจวกุ้ยหลานอย่างขยันขันแข็ง
โจวกุ้ยหลานก็ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง เอาดอกฝ้ายหนึ่งร้อยจินทันที จากนั้นก็ซื้อผ้าห้าพับ พอเห็นเสื้อกั๊กขน นางรู้สึกว่าเหมาะกับเหล่าไท่ไท่ ก็เอาทันที