นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 133 จะรวยแล้ว!
เถ้าแก่นั่นเห็นอย่างนั้น ก็ดีใจนัก รีบเอาเสื้อหนังที่ทำเอาไว้ก่อนหน้านี้ออกมาทั้งหมด และแนะนำให้กับโจวกุ้ยหลานว่า “นี่เป็นหนังจิ้งจอกนะ ขนสวย มีประกาย และยังอุ่นด้วย!”
โจวกุ้ยหลานมองดูหนังนั่น สุดท้ายก็ปฏิเสธออกมาอยู่ดี
ถึงจะบอกว่าในมือนางมีเงินอยู่สี่ร้อยกว่าตำลึง แต่ยังต้องสร้างบ้านใหม่อีกนะ ประหยัดไว้หน่อยดีกว่า
เฮ้อ เห็นได้ชัดว่า พอจนขึ้นมา จะซื้ออะไรก็ทำได้ยากนัก
โจวกุ้ยหลานแอบถอนหายใจ และซื้อด้ายฝ้ายมาอีกนิดหน่อย ถึงรู้สึกว่าพอตัวแล้ว
“เถ้าแก่ ของพวกนี้ฝากไว้ที่ท่านที่นี่ก่อน กลางคืนข้าค่อยแวะมา ท่านช่วยข้าส่งไปเป็นอย่างไร?”
เถ้าแก่นั่นต้องรับปากรัวๆอยู่แล้ว แม้แต่ค่ารถม้าก็ไม่ให้โจวกุ้ยหลานออกเลย
โจวกุ้ยหลานคิดเงิน ครั้งนี้ใช้ถึงหกตำลึง
หลังจากสอบถามดูแล้ว เถ้าแก่ได้แจ้งโจวกุ้ยหลานว่า อากาศหนาวแล้ว ดอกฝ้ายขึ้นราคาเป็นหนึ่งจินสิบแปดเหวิน อีกอย่างเสื้อกั๊กขนนั่นก็แพง ทั้งหมดนี่รวมกันมา ก็เป็นเงินมากมายขนาดนี้แล้ว นี่ยังเป็นจำนวนที่เถ้าแก่ปัดเศษออกไปเหลือแค่ตัวเลขกลมๆด้วย
โจวต้าไห่ทางนั้นได้ยินเข้าก็หน้ามืด แทบเป็นลมลงไป
นี่ซื้อของที่ไหนกัน สาดเงินชัดๆ!
โจวกุ้ยหลานจ่ายเงิน พาโจวต้าไห่ที่ใกล้กระอักเลือดและสวีฉางหลินที่สงบนิ่งออกมา พลางมองท้องฟ้า นี่เที่ยงแล้ว
ถ้ากลับไปตอนนี้ อีกเดี๋ยวต้องมาอีก ยุ่งยากเกินไป ยังไม่สู้หาของกินในเมืองนี้ จะได้เดินเที่ยวต่ออีกหน่อย
ระหว่างคิด นางหมุนตัวหันไปปรึกษาทั้งสองคนว่า “พวกเราไปกินข้าวเที่ยงที่โรงเตี๊ยมเทียนเซียงแล้วกัน?”
“ไม่ได้! กินอะไร รีบกลับบ้าน! ท่านแม่ต้องทำกับข้าวไว้รอพวกเราแล้วแน่!” โจวต้าไห่ที่ใกล้จะเป็นลมอยู่รอมร่อ พอได้ยินคำพูดของโจวกุ้ยหลาน รีบห้ามปรามทันที
พวกเขาเป็นใครกัน? ชาวนา!
จะสามารถไปกินโรงเตี๊ยมใหญ่อย่างโรงเตี๊ยมเทียนเซียงได้ที่ไหนกัน?
พวกเขามีหรือจะสามารถไปกินได้
โจวกุ้ยหลานเบ้ปาก “ถ้าจะกลับ เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ข้ายังต้องรอถึงกลางคืนถึงจะกลับไปได้นะ”
“เพราะเหตุใด?” โจวต้าไห่เร่งถาม
“ของมากมายเพียงนั้น กลับไปตอนนี้เจ้าให้คนในหมู่บ้านเห็นแล้วคิดยังไงล่ะ?” โจวกุ้ยหลานอธิบายออกมา
ถึงจะบอกว่านี่เป็นเงินของนางเอง อยากใช้ยังไงก็ได้ อยากซื้ออะไรก็ได้ แต่ที่นี่เป็นบ้านนอก มีการเคลื่อนไหวเล็กน้อยทุกคนก็รู้กันหมด นางเองก็ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว
พอคิดถึงของมากมายขนาดนั้น โจวต้าไห่ก็เข้าใจความหมายของนาง เลยไม่ร่ำร้องจะกลับไปแล้ว แต่ภายใต้การยืนกรานของเขา ทั้งสามหาแผงลอยข้างทางกินบะหมี่คนละชาม
ตอนบ่าย โจวกุ้ยหลานก็ไปร้านเนื้อ ซื้อเนื้อหมูมาไม่น้อย และยังวิ่งไปซื้อเนื้อวัวอีกไม่น้อย เตรียมกลับบ้านไปทำเนื้อวัวตากแห้ง
ก่อนหน้านี้ก็อยากทำขนมให้เจ้าก้อนน้อยกิน แต่ช่วงนี้มักไม่ราบรื่น เจอแต่เรื่องยุ่งยากปัญหาสารพัด เลยไม่ได้ทำสักที นี่ใกล้จะถึงฤดูหนาวแล้ว เลยมีเวลาพอดี สามารถค่อยๆทำได้ละ
จากนั้นก็เห็ดหอมตากแห้ง หอยตากแห้ง และผักต่างๆ สุดท้ายไปร้านยาซื้อเครื่องปรุงมาไม่น้อย
รอจนนางเห็นสีท้องฟ้าพอประมาณละ ก็เริ่มเหนื่อย หันกลับมาก็เห็นในมือสวีฉางหลินกับโจวต้าไห่เต็มไปด้วยข้าวของ
โจวกุ้ยหลานคิดๆก่อนตัดสินใจวางมือ กลับบ้านก่อนแล้วกัน ไม่งั้นโจวต้าไห่จะบ้าแล้ว
พอคิดอย่างนี้ พวกเขาไปร้านผ้าก่อน และนำรถม้าไปร้านเมล็ดข้าวพันธุ์ หลังจากยัดของใส่รถม้าสองคันจนเต็มแล้ว พวกเขาสามคนก็นั่งข้างนอกรถม้า มุ่งหน้าตรงไปทางหมู่บ้านต้าสืออย่างรวดเร็ว
ตอนรถม้าทั้งสองคันมาถึงหน้าประตูหมู่บ้านต้าสือ ฟ้าก็มืดสนิทแล้ว
โจวกุ้ยหลานพาพวกเขาอ้อมไปทางไกล กลับไปบ้านตนเอง หลังจากรถม้าหยุดลง ก็เคาะประตูอย่างเบามือ
ตอนเหล่าไท่ไท่ออกมาเปิดประตู ก็เห็นรถม้าคันใหญ่สองคันหยุดอยู่ที่หน้าประตู เกือบตกใจร้องอุทานออกมา
โจวกุ้ยหลานดึงเหล่าไท่ไท่มาอีกด้าน ปิดปากนางไว้ และให้คนพวกนั้นรีบขนของเข้าไปในบ้าน
ชายร่างใหญ่สี่คนขนข้าวของเข้าไปในห้องโถงของเหล่าไท่ไท่รอบแล้วรอบเล่า รอจนพวกเขาขนเสร็จแล้ว โจวกุ้ยหลานรีบปรี่เข้าไปให้เงินทุกคนคนละห้าอีแปะ
คนงานสองคนนั้นดีใจนัก แล้วจึงจากไปอย่างยินดีปรีดา
รอจนรถม้าไปแล้ว หลังจากโจวกุ้ยหลานเรียกสวีฉางหลินกับโจวต้าไห่เข้ามา ก็รีบปิดประตูห้องโถงทันที
“นี่…ของพวกนี้คืออะไรกัน?” เหล่าไท่ไท่เบิกตากว้าง มองดูของเต็มห้องโถง พลางถามขึ้น
โจวต้าไห่ที่อยู่อีกข้างก็กลืนน้ำลาย นั่งลงกับพื้น ใจเต้นเป็นกลองเพล
หลังจากไปขายของในเมือง เขาก็รออยู่ข้างนอกตลอด เห็นแค่โจวกุ้ยหลานซื้อของมากหนึ่งครั้ง ใครจะรู้ว่ากลับยัดเต็มห้องเลย?
ไม่ได้การแล้ว แบบนี้ไม่ได้การจริงๆ!
นี่นี่นี่ ชาตินี้เขาไม่เคยเห็นของมากมายขนาดนี้มาก่อนเลย!
“ของพวกนี้ล้วนเป็นของที่พวกเราต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ท่านแม่ อย่าพูดเลย รีบเก็บข้าวของเถอะ ไม่งั้นเกิดพรุ่งนี้มีคนมาเห็นเข้า พวกเราพูดไม่ออกแน่” โจวกุ้ยหลานพูด และวางตะกร้าที่หลังตนลงกับพื้น ในนั้นยังมีปลาสองตัวและเนื้อไม่น้อยเลย
เหล่าไท่ไท่มองดูของเหล่านี้แทบตาเหลือก แต่ตอนนี้ลูกสาวนางพูดถูก เลยรีบซ่อนข้าวของพวกนี้ ไม่งั้นโดนคนมาเห็นเข้าล่ะเรื่องใหญ่แน่
ระหว่างคิด นางก็รีบเก็บข้าวของ โจวกุ้ยหลานก็ตามเข้าไปช่วยด้วย สวีฉางหลินเองก็ไม่ได้ว่าง รีบตามเข้าไปช่วยด้วย
โจวต้าไห่ที่นั่งอยู่กับพื้นเมื่อครู่ ตอนนี้ก็ลุกขึ้นมา กลืนน้ำลาย และเข้าไปช่วยด้วย
พวกเขาจุดตะเกียงในบ้าน และเก็บข้าวของในบ้านอย่างเบามือ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงเลย
รอจนพวกเขาจัดการเก็บกวาดเรียบร้อย ก็ผ่านไปค่อนคืนแล้ว
โจวกุ้ยหลานนั่งลงบนเก้าอี้ก็ไม่อยากลุกขึ้นมาแล้ว
เก็บข้าวของนี่เหนื่อยจริงๆ ประเด็นคือบ้านนี้อยู่ในหมู่บ้าน มักมีคนแวะเวียนมาหาไม่หยุดหย่อน อันตรายเกินไปแล้ว
บนภูเขาดีกว่าจริงๆ ไม่มีใครไป นางอยากเก็บเมื่อไหร่ก็เก็บ
โจวกุ้ยหลานบ่นพร่ำในใจ อีกสามคนก็นั่งลงพัก
“เจ้าใช้เงินไปเท่าไหร่เนี่ย?”
ตอนนี้เหล่าไท่ไท่ว่างละ เลยได้โอกาสถามสักที
“ท่านแม่ พี่ชายข้ากับสวีฉางหลินเผาถ่าน ขายได้สี่ตำลึงแหน่ะ!” โจวกุ้ยหลานบอกกับเหล่าไท่ไท่อย่างดีใจ
“นี่…เยอะขนาดนี้?”
เหล่าไท่ไท่อ้าปากค้าง ไม่อยากจะเชื่อเลย
สี่ตำลึง! จำนวนที่ทั้งบ้านทำงานสองปีถึงจะหามาได้เลยนะ! พวกเขาเผาถ่านแค่ไม่กี่วันก็ได้มาแล้ว?
“ใช่ไง ถ่านหนึ่งจินสามารถขายได้แปดอีแปะ ต่อไปถ้าทุกเดือนขายได้หนึ่งพันจิน ก็มีแปดตำลึงแหน่ะ!”
น้ำเสียงโจวกุ้ยหลานตื่นเต้นหนักกว่าเดิม
ปากเหล่าไท่ไท่อ้าค้างมากกว่าเดิม
หนึ่งเดือนแปดตำลึง!
แค่คิดก็ไม่กล้าคิด!
รวยแล้ว! ตระกูลโจวของนางรวยแล้ว!
‘ขายได้ขนาดนี้’เหล่าไท่ไท่ดีใจมาก
โจวกุ้ยหลานทำท่าจุ๊ปากใส่นาง เหล่าไท่ไท่รีบปิดปากตัวเอง สายตาเหล่มองไปทางหน้าต่างกำแพง กลัวว่า เรื่องเผาถ่านจะถูกคนได้ยินเข้า
สวีฉางหลินลูบท้ายทอยตน รู้สึกหน่ายใจ นี่ภรรยาล่อหลอกเหล่าไท่ไท่อีกแล้ว ดูท่าเหล่าไท่ไท่จะลืมเรื่องที่อยากรู้ว่าซื้อของพวกนี้ใช้ไปเท่าไหร่ไปแล้วล่ะ