นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 135 สินสอดยี่สิบตำลึง
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 135 สินสอดยี่สิบตำลึง
เมล็ดข้าวพันธุ์พวกนี้นางมองแล้วก็ยินดีปรีดายิ่ง ยังมีผ้านั่นและดอกฝ้าย นี่ไม่ใช่เรื่องเงินสองตำลึงนะ ของอะไรมากมายพวกนั้น ถ้าแบ่งให้นางกับลูกชายเท่าๆกัน อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าห้าตำลึงแน่ นี่มันมากกว่าสองตำลึงมากมายนัก!
เหล่าไท่ไท่แอบดีดลูกคิดในใจ พอคิดถึงเสื้อกั๊กขนนั่น ก็รู้สึกดีใจยิ่งนัก
ไอ้โหย นั่นเป็นเสื้อกั๊กขนนะ ทั้งหมู่บ้านมีแค่ชิ้นนี้ชิ้นเดียว! นางแก่ป่านนี้แล้วยังมีของดีอีก!
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเท่าไหร่ ถ้าเอาเงินนี่มาให้นางจะดีแค่ไหนนะ นางยังจะเก็บไว้ให้หลานในอนาคตใช้ได้…
“ลูกแม่ เสื้อกั๊กขนนั่นราคาเท่าไหร่รึ?” เหล่าไท่ไท่ครุ่นคิด ก่อนถามออกมา
นางต้องรู้ว่าซื้อมาเท่าไหร่ ถึงเวลานั้นเอาไปคืนจะได้ไม่ขาดทุน…
โจวกุ้ยหลานเหล่เหล่าไท่ไท่ แค่ดูท่าทางนางก็รู้ว่านางคิดอะไรอยู่
“ไม่รู้ ถ้าท่านเอาไปคืนเอง ข้าจะหักเงินจากบัญชีพี่ใหญ่แทน” โจวกุ้ยหลานไม่เกรงใจเลยสักนิด
พูดจบ ก็ซดโจ๊กที่เหลือจนหมด และกัดขนมเปี๊ยะอย่างแรง
“นังหนูนี่! ไอ้โหย นังหนูเจ้านี่ทำไมดื้อเยี่ยงนี้นะ!” เหล่าไท่ไท่โกรธจนตัวสั่น
โจวกุ้ยหลานกินขนมเปี๊ยะที่เหลือจนหมด แค่นเสียงหึในใจ ถ้าเชื่อฟังท่าน ตอนนี้ยังได้กินแค่โจ๊กถั่วรวมนะ!
“ท่านแม่ กลางวันข้าจะกินข้าวสวย ล้างปลารอไว้ด้วยล่ะ ถึงเวลาข้าจะทำตุ๋นน้ำแดง” โจวกุ้ยหลานพูดจบ ปัดมือตนเอง เตรียมเดินออกไปข้างนอก
ข้าวสวยหรอ ไม่ได้ข้ามปีหรือมีเทศกาลอะไรกินข้าวสวยทำไม? ตอนเช้ากินโจ๊กข้าวขาวก็ดีมากแล้วมิใช่หรือไง?
“ถ้ากลางวันไม่มีข้าวสวย ข้าจะพาสวีฉางหลินและลูกกลับไปบ้านไม้ไผ่บนเขา” โจวกุ้ยหลานทิ้งประโยคนี้ไว้ และเดินออกไปข้างนอกอย่างไม่หันกลับมา
ตั้งแต่ย้ายมาที่นี่ก็เกือบสิบวันแล้ว นอกจากหลายวันแรกที่ได้กินข้าวสวย ต่อมาก็กินแต่โจ๊กถั่วรวมตลอด ขืนกินต่อไป นางรู้สึกว่าคงไม่ต้องการลิ้นตนเองอีกต่อไป
“นังหนูนี่ คิดแต่จะกินของดี! ข้าวสวยนะ! จะเก็บไว้กินตอนข้ามปีหรือเทศกาลไม่ได้หรือไง?” เหล่าไท่ไท่บ่นพร่ำด่า และเริ่มล้างจานชาม
แต่ใจก็กลัวลูกสาวจะย้ายกลับไปจริงๆ ร่างกายยังไม่หายดีเลย อีกอย่างถ้าบ้านไม้ไผ่โดนไฟไหม้ขึ้นมาอีก จะทำยังไง?
เฮ้อ คนอย่างนางสวีเหมยฮวาเก่งมาทั้งชีวิต ต้องมาโดนลูกสาวคนเล็กของนางกดดันจนเงยหน้าไม่ขึ้นซะอย่างนั้น! “ห้องนั้นก็มีพื้นที่แค่นี้ นังหนูนั่นซ่อนเงินไว้ที่ไหนนะ?” เหล่าไท่ไท่บ่นพึมพำ พอล้างชามในมือเสร็จ ก็เทน้ำในหม้อออกมา
ห้องนั่นก็แค่หนึ่งเตียงเตาหนึ่งกล่องไม้ บวกกับโต๊ะ นอกนั้นก็ไม่มีแล้ว
ในกล่องไม้นั่นวางใส่เสื้อผ้าแห้งของพวกเขาเอาไว้ เป็นนางเองที่พับเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ววางเข้าไป ถ้ามีเงิน นางต้องเห็นนานแล้วสิ
“นังหนูน่าตายนี่กันข้าดีนักนะ!” เหล่าไท่ไท่ตักน้ำสะอาดเทใส่หม้ออย่างแรง บ่นพึมพำออกมา
โจวกุ้ยหลานได้ยินเสียงพร่ำบ่นของเหล่าไท่ไท่ นางเดินไปถึงห้องโถง กำลังคิดว่าจะไปตากแดดหรือหาอะไรทำดี ก็เห็นไป๋เย่จื่อยืนอยู่นอกประตู
คิดถึงเรื่องที่นางถามครั้งก่อน โจวกุ้ยหลานเครียดทันที
แต่ต่อมาบ้านนางเกิดไฟไหม้ ไป๋เย่จื่อนี่ก็ไม่ได้ปรากฏตัวเลย นางยังคิดว่านางยอมแพ้แล้ว ไม่คิดว่าตอนนี้จะมาอีก
“กุ้ยหลาน?”
ไป๋เย่จื่อเห็นโจวกุ้ยหลานมา ในใจดีใจนัก รีบโบกมือทักทายนาง เป็นเชิงให้นางออกไปหา
โจวกุ้ยหลานไม่ได้คิดอะไรมาก รีบเดินออกไปหา
พึ่งเดินออกไป ไป๋เย่จื่อก็คว้ามือนางไว้ และดึงให้ออกห่างบ้านไปอีกหน่อย
“เรื่องพี่ชายเจ้า…เป็นอย่างไรบ้างแล้วล่ะ?”
โจวกุ้ยหลานคิดๆ ก่อนบอกตามตรงว่า “ทางนั้นเหมือนจะสนใจพี่ชายข้าแล้ว คนอย่างพี่ชายข้าเจ้าก็รู้ เขาไม่มีทางคัดค้านดอก”
ยิ่งฟัง ไป๋เย่จื่อก็ยิ่งเครียด
โจวกุ้ยหลานพูดจบ ก็เห็นดวงตาสาวน้อยตรงหน้าแดงเรื่อ คำพูดที่ว่า “เหล่าไท่ไท่ไม่อยากให้เจ้าแต่งกับเขา” ยังไงก็พูดไม่ออก คิดๆก่อนพูด “หากเจ้าชอบพี่ชายข้าจริง เจ้าก็บอกเขาเองเถอะ อาศัยตอนนี้ที่ยังไม่ได้ตกลงเป็นมั่นเหมาะ”
ถ้าไม่ใช่เรื่องทางบ้านนาง ตามนิสัยของเหล่าไท่ไท่แล้ว คงจัดการหมั้นหมายให้แล้วเสร็จไปนานละ
“กำลังจะหมั้นหมายกันแล้ว ข้าจะพูดอย่างไร?” ไป๋เย่จื่อพูดไปพูดไป ก็ยิ่งเสียใจหนัก จนน้ำตาคลอเบ้า
ในใจพี่ต้าไห่ไม่มีนาง ไม่งั้นมีหรือจะหมั้นหมายกับหญิงอื่น?
“ทำไมหลายวันนี้เจ้าไม่มาเลยล่ะ?” โจวกุ้ยหลานทนไม่ไหว ถามออกไป
ถ้านางจับจังหวะดีๆ ไม่แน่นางอาจจะช่วยสาวน้อยตรงหน้าจีบพี่ชายนางก็ได้ แต่นี่หายหน้าไปไม่มีข่าวคราวเลยเกือบสิบวัน โจวกุ้ยหลานก็เลยไม่ทำอะไรเหมือนกัน
“ท่านพ่อท่านแม่พาข้าไปอยู่ในเมือง บอกว่าจะดูสิว่า ในเมืองมีที่ไหนเปิดร้านได้บ้าง ท่านพ่อท่านแม่ข้าอยากจะเปิดร้านเต้าหู้ในเมือง”
โจวกุ้ยหลานอึ้ง “บ้านเจ้ามีเงินแล้วรึ?”
ไปซื้อร้านในเมืองมันไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆนะ ยังไงก็ต้องมีหลายร้อยตำลึงล่ะ บ้านพวกเขาทำการค้าขายเต้าหู้ก็มีเงินมากกว่าคนอื่นในหมู่บ้าน นางไม่คิดเลยว่าตระกูลไป๋จะรวยขนาดนี้…
“ที่บ้านซื้อร้านไม่ไหวหรอก ได้แต่เช่าร้าน แต่จะวิ่งไปมาระหว่างสองที่ก็ใช่เรื่อง เลยหวังว่าจะแต่งข้าออกไปแลกเงินมาซื้อรถเทียมวัว ถ้าฝ่ายชายไม่มีสินสอดยี่สิบตำลึง ข้าก็ไม่มีทางได้แต่งงานดอก”
พูดไปพูดไป ไป๋เย่จื่อก็ร้องไห้ออกมา
โจวกุ้ยหลานเงียบทันที
ในหมู่บ้านนี้แต่งลูกสะใภ้ต้องการสินสอดหนึ่งตำลึงยังพอว่า นี่จะเอายี่สิบตำลึง ไป๋เย่จื่อนี่คงไม่ได้แต่งงานแน่
“บ้านใครจะสามารถให้สินสอดยี่สิบตำลึงได้กันล่ะ? ข้าไม่ใช่ทองคำเสียหน่อย!” พูดไปพูดไป น้ำตาไป๋เย่จื่อก็ไหลมากขึ้น
บ้านพี่ต้าไห่เป็นยังไงนางรู้ดีแก่ใจ อย่าว่าแต่ยี่สิบตำลึงเลย ต่อให้หนึ่งตำลึงก็ไม่มี ท่านแม่นางไม่มีทางยอมรับปากให้นางแต่งกับพี่ต้าไห่แน่
โจวกุ้ยหลานขมวดคิ้ว ถ้าพี่ชายนางชอบไป๋เย่จื่อ นางก็ยอมออกยี่สิบตำลึงนั่น แต่นางไม่ใช่คนโง่ มีใครเขาขายลูกสาวแบบนี้กันบ้าง?
“หากในใจเจ้ามีพี่ชายข้า ก็บอกเขาเอง หากพวกเจ้าตกลงกันแล้ว เราค่อยมาคิดหาวิธีกัน”
โจวกุ้ยหลานพยายามเกลี้ยกล่อม
พอคิดถึงโจวต้าไห่ ไป๋เย่จื่อหน้าแดง ไม่รอให้นางพูดอะไร ก็ได้ยินเสียงหญิงวัยกลางคนลอยมา “เย่จื่อ เจ้าทำอะไรที่นั่นน่ะ? ยังไม่รีบกลับมาทำงานอีก?”
พอได้ยินเสียงนี้ ไป๋เย่จื่อตัวสั่นกึก รีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนหน้าออก กลัวแม่นางมาเห็นเข้า
โจวกุ้ยหลานเงยหน้ามองไป เห็นมีสตรีอายุราวสามสิบกว่าคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกล ในชุดสีเขียว ทำให้ทั้งตัวนางดูเขียวไปทั้งตัว
นี่ก็คือพี่สะใภ้ไห่จู แม่ของไป๋เย่จื่อ
“พี่สะใภ้ไห่จู ข้าพูดคุยกับเย่ชื่ออยู่น่ะ” โจวกุ้ยหลานกล่าวทักทาย
“คุยอะไรกัน?” นางยังต้องกลับมาช่วยข้าทำเต้าหู้นะ!” พี่สะใภ้ไห่จูตอบกลับอย่างรำคาญ