นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 145 เจ้าน่ะสิพี่สาวใหญ่
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 145 เจ้าน่ะสิพี่สาวใหญ่
คำพูดนี้ทำให้สีหน้าของจางเสี่ยวจุ๋ยเปลี่ยนไป
“ชิวเซียง คำพูดนี้พูดไม่ได้นะ!”
“พูดไม่ได้? เช่นนั้นท่านจะทำอย่างไร? ท่านทำหน้าขมขื่นเช่นนี้ทั้งวัน ไม่ใช่เพราะสมคบกับบุรุษหรือ? อย่าคิดว่าข้าไม่รู้!” ในตอนนี้โจวชิวเซียงไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย
ความโกรธที่เพิ่งจะได้รับจากโจวกุ้ยหลาน ในตอนนี้ไม่มีที่ระบาย จางเสี่ยวจุ๋ยอยู่ที่นี่พอดี นางไม่ระบายใส่จางเสี่ยวจุ๋ยแล้วจะไประบายที่ไหน?
ในตอนนี้ไม่ว่าจางเสี่ยวจุ๋ยจะอัธยาศัยดีแค่ไหน แต่สีหน้าก็ไม่น่ามองนัก
“ชิวเซียง เจ้ายังเป็นแค่หญิงสาวคนหนึ่ง ทำไมพูดถึงแต่บุรุษ? หากกล่าวเช่นนี้ต่อไป ชื่อเสียงของเจ้าก็คงหมดไป!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โจวชิวเซียงก็โกรธจนส่งเสียงหึอย่างเย็นชาอีกครั้ง “เช่นนั้นข้าจะดูว่าเจ้าจะไม่มีชื่อเสียงหรือว่าข้าจะไม่มีชื่อเสียง!”
ในขณะพูดก็หันหลังเดินจากไป ในเมื่อนางไม่ยอมช่วยตนเอง เช่นนั้นตนเองก็จะเปิดเผยเรื่องที่นางคบชู้สู่ชาย ทำให้จางเสี่ยวจุ๋ยอยู่ในหมู่บ้านไม่ได้อีกต่อไป!
เมื่อเห็นท่าทางของโจวชิวเซียง จางเสี่ยวจุ๋ยก็รู้ว่านางต้องการจะฉีกหน้าจริงๆ ในใจตื่นตระหนก และรีบเดินเข้าไปคว้าแขนของโจวชิวเซียง ฝืนยิ้มแล้วกล่าวกับนางว่า “ชิวเซียง ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อเจ้า หากกล่าวหนักเกินไป เจ้าก็อย่าถือสาเลย”
เมื่อเห็นว่านางยอมแพ้ โจวชิวเซียงก็รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย นางเอียงศีรษะและมองไป “จางเสี่ยวจุ๋ย ท่านอย่ามาถ่อมตัวกับข้า ข้าโจวชิวเซียงไม่หลงกล! หากท่านไม่ทำให้โจวกุ้ยหลานเหม็นโฉ่ ไม่ช่วยพี่ฉางหลิงหย่ากับโจวกุ้ยหลานหญิงชั่วช้านั่น ท่านก็อย่าคิดที่จะอยู่ในหมู่บ้านอีกต่อไป! ”
ในช่วงหลายวัยที่ผ่านมา นางนอนคิดแล้วคิดอีกอยู่บนเตียง และในที่สุดก็เข้าใจว่าพี่ฉางหลินถูกโจวกุ้ยหลานหญิงชั่วช้านั่นกดขี่ และไม่กล้าบอกว่าชอบนาง!
แต่นางยังต้องแต่งงานเข้าไปในเมือง และแน่นอนว่าไม่สามารถแต่งงานกับพี่ฉางหลินได้ แต่นางจะไม่ปล่อยให้พี่ฉางหลินทนทุกข์เช่นนี้ต่อไป อย่างน้อยต้องทำให้เขาหย่ากับโจวกุ้ยหลาน เช่นนี้เขาจะได้พาบุตรชายของเขาไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และในใจก็สามารถชอบนางได้ตลอดไป
“ข้าจะเชื่อฟังเจ้าทุกอย่าง เจ้าไปในเมืองอย่างสบายใจเถิด รอให้เจ้ากลับมา ข้าจะไม่ปล่อยให้โจวกุ้ยหลานมีชีวิตที่ดีอย่างแน่นอน!” จางเสี่ยวจุ๋ยรีบรับรอง
โจวชิวเซียงพึงพอใจ และเสียงของนางก็เบาลงเล็กน้อย “ท่านคิดเห็นอย่างไร?”
“ข้าได้ยินมาว่าสวีฉางหลินและโจวต้าไห่ไปเผาถ่านอยู่บนเขาตลอด วันนี้ข้าไปยืมเสบียงอาหาร อาสะใภ้รองให้เสบียงอาหารข้ามามากมาย รวมทั้งข้าวสาร พวกเขาต้องเผาถ่านจนได้เงินมากอย่างแน่นอน! ” จางเสี่ยวจุ๋ยพูดสิ่งที่ตนเองคาดเดา
เมื่อก่อนเวลาที่นางมาหาเสบียงอาหารที่บ้านของอาสะใภ้รอง จะมีเพียงข้าวโพดไม่มีกี่จิน มีของให้นางเต็มตะกร้าเช่นนี้ที่ไหนกัน? ต้องเป็นเพราะที่บ้านไม่ขาดแคลนเสบียงอาหารอย่างแน่นอน! อีกอย่างเมื่อหลายครั้งก่อน อาสะใภ้รองก็ได้เอาของอร่อยให้นางกิน นี่ก็หมายความว่าตอนนี้ครอบครัวของนางมีเงินไปซื้อเสบียงอาหารในเมืองแล้ว เงินนั้นมาจากไหน? ก็มีเพียงชายหนุ่มสองคนนั้นที่เผาถ่าน!
เมื่อได้ยินว่าพวกเขามีรายได้จากการเผาถ่านได้ โจวชิวเซียงรู้ก็สึกไม่สบายใจ
“โจวกุ้ยหลานผู้นี้ช่างโชคดีเสียจริง!”
ทำไม! ทำไมโจวกุ้ยหลานหญิงต่ำช้าผู้นั้นถึงได้แต่งงานกับบุรุษที่ดีเช่นพี่ฉางหลิน? ! พี่ฉางหลินทำงานหนัก ในขณะที่หญิงชั่วช้าผู้นั้นกำลังอาบแดด!
“ข้าแค่คิดว่ายังต้องพูดออกมา ทำให้ผู้คนวุ่นวาย เช่นนี้ชีวิตของพวกเขาจะต้องยากลำบากอย่างแน่นอน ในยามที่พวกเขายากลำบาก แล้วทั้งสองคนจะไม่ทะเลาะกันได้อย่างไร? เมื่อถึงตอนนั้นความสัมพันธ์ของพวกเขาก็จะค่อยๆ ตัดขาดจากกัน!” จางเสี่ยวจุ๋ยบอกเกี่ยวกับแผนการของตนเอง
โจวชิวเซียงคิดว่าไม่เลว จึงพยักหน้าและพูดกับจางเสี่ยวจุ๋ย “ข้าจะกลับไปในเมือง ไม่รู้ว่าว่านานแค่ไหน ท่านรีบลงมือโดยเร็ว ก่อนที่ข้าจะกลับมา ข้าต้องการให้พี่ฉางหลินหย่ากับโจวกุ้ยหลาน มิเช่นนั้นเรื่องที่ท่านคบชู้สู่ชาย ข้าจะให้ผู้คนทั่วทั้งสิบหลี้แปดหมู่บ้านได้รู้เรื่องนี้!
ความไม่พอใจปรากฏขึ้นในดวงตาของจางเสี่ยวจุ๋ย แต่ในตอนนี้นางไม่กล้าที่จะยั่วโมโหโจวชิวเซียงอีก จึงทำได้เพียงตอบรับ “ไม่ต้องห่วง ข้าจะจัดการโดยเร็วที่สุด”
หลังจากได้รับคำตอบที่ตนเองพึงพอใจแล้ว โจวชิวเซียงก็จากไปอย่างพอใจ
อาสะใภ้สามผู้นี้ช่างร้ายกาจ หากนางลงมือจริงๆ เช่นนั้นโจวกุ้ยหลานก็คงไม่ใช่คู่ต่อสู้อย่างแน่นอน ไม่เห็นแบบนี้มาสิบกว่าปีแล้ว ท่านพ่อท่านแม่ของนางและอาสะใภ้รอง ต่างไม่รู้จักใบหน้าที่แท้จริงของอาสะใภ้สามผู้นี้จริงๆ หรือ?
หากไม่ใช่เพราะคืนนั้นท่านแม่ของนางให้นางไปเรียกอาสะใภ้สามมากินข้าวที่บ้าน ทำให้นางบังเอิญเจอกับชายอื่นที่นอนอยู่บนเตียงเตาในบ้านของนาง นางก็ไม่รู้ว่าสันดานเดิมของอาสะใภ้สามว่าเป็นเช่นนี้
แต่เป็นเช่นนี้ก็ดี ต่อไปจางเสี่ยวจุ๋ยผู้นี้ก็จะเป็นคนของนาง นางจะสั่งอะไรจางเสี่ยวจุ๋ยก็ได้!
จางเสี่ยวจุ๋ยมองไปที่แผ่นหลังของโจวชิวเซียงด้วยสายตาที่เกลียดชัง หลังจากที่โจวชิวเซียงจากไปไกลแล้ว นางจึง “ถุย” และด่าทออย่างรุนแรง “นางหญิงชั่วช้า! ”
แต่คิดว่าตนเองถูกนางกุมความผิดไว้ในมือ ก็ทำได้เพียงระงับความโกรธในใจของตนเอง สีหน้าเปลี่ยนเป็นหน้านิ่วคิ้วขมวด และเดินกลับไปยังบ้านของตนเอง
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เหล่าไท่ไท่นำแป้งขาวหลายจิน และพาโจวชิวเซียงไปในเมือง
โจวกุ้ยหลานและเจ้าก้อนน้อยอยู่ที่บ้านอย่างเบื่อหน่าย จึงขึ้นไปขุดหญ้าเนเปียร์แคระและเบนโทไนท์บนเขา ใกล้ๆ สวีฉางหลินและพี่ใหญ่ จากนั้นก็ย้ายไปปลูกที่แปลงผักหลังกระท่อมไม้ไผ่
ในตอนนี้เจ้าก้อนน้อยมีบทบาทมากขึ้น หลังจากช่วงเช้าทั้งสองคนก็ปลูกผักทั้งหมดของตนเองเรียบร้อย
เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาเที่ยงแล้ว โจวกุ้ยหลานก็พาเจ้าก้อนน้อยกลับไปทำอาหารที่บ้าน
นำอาหารทั้งหมดใส่ในตะกร้า และถือโอกาสตอนที่เหล่าไท่ไท่ไม่อยู่บ้าน เอาเนื้อตากแห้งในถ้วยใบใหญ่ในตู้กับข้าวใส่ลงในตะกร้าไม้ไผ่ด้วย จากนั้นปิดฝาตะกร้าไม้ไผ่ แล้วพาเจ้าก้อนน้อยขึ้นไปบนเขา
ทันทีที่ออกไปข้างนอก ก็เห็นเด็กผู้หญิงอายุสิบหกสิบเจ็ดคนหนึ่งเดินวนอยู่รอบๆ ลานบ้าน
โจวกุ้ยหลานล็อกประตู ถือตะกร้าไว้ในมือข้างหนึ่ง และมืออีกข้างหนึ่งจูงเจ้าก้อนน้อย นอกจากลานบ้านแล้วก็ยื่นมือออกไปปิดประตูลานบ้านด้วย
เมื่อหญิงสาวผู้นั้นเห็นโจวกุ้ยหลานออกมาจากบ้าน นางก็รีบเดินเข้ามา มองไปที่โจวกุ้ยหลาน และถามว่า “พี่สาวใหญ่ นี่ใช่บ้านของโจวต้าไห่หรือไม่?”
เจ้าน่ะสิพี่สาวใหญ่!
โจวกุ้ยหลานตอบกลับอย่างรวดเร็วในใจและอารมณ์เสีย นางเพิ่งอายุสิบแปดเอง! อีกอย่างในช่วงที่ผ่านมานี้ นางก็บำรุงผิวพรรณจนขาวผ่องกว่าแต่ก่อน ใบหน้าก็มีเนื้อ และยังดูอ่อนเยาว์!
“ใช่บ้านของโจวต้าไห่”
แม้ว่าจะไม่พอใจ โจวกุ้ยหลานก็ยังต้องตอบ
หญิงสาวผู้นี้สวมเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยรอยปะ ผมของนางสลวย ผิวคล้ำเล็กน้อย และแก้มสองข้างแดงเป็นเด็กดอย
มองแวบเดียวก็รู้ว่าหญิงสาวผู้นี้อยู่ในครอบครัวที่ทำงานหนัก แต่ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ไม่มีคนผู้นี้ น่าจะไม่ใช่คนในหมู่บ้านต้าสือ
หญิงสาวผู้นั้นถอนหายใจด้วยความโล่งอกและรีบกล่าวว่า “พี่สาวใหญ่ โจวต้าไห่อยู่บ้านหรือไม่? ข้ามีธุระกับเขา”
“เจ้าเลิกเรียกว่าพี่สาวใหญ่ได้แล้ว ข้าน่าจะอายุมากกว่าเจ้าไม่เท่าไหร่” โจวกุ้ยหลานตอบอย่างจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม
นางอยากจะบ้าคลั่ง นางเพิ่งจะสิบแปด! เพิ่งจะสิบแปด! เรียกแค่พี่ก็พอ!
หญิงสาวผู้นั้นตกตะลึง ไม่คิดเลยว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าจะใส่ใจคำพูดนี้มากขนาดนั้น จึงกล่าวในทันทีว่า “ข้าเห็นว่าท่านแต่งงานแล้ว และมีลูกที่โตขนาดนี้ น่าจะอายุสามสิบแล้ว….. ”