นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 155 ต่อรอง
“เจ้าไปได้ข่าวมาจากไหน”
“ในหมู่บ้านเขาพูดกันให้แซ่ดว่าเมื่อวานมีผู้หญิงคนหนึ่งถามทางไปที่บ้านเจ้า นางไปชนเข้ากับกำแพงบ้านเจ้าจนอาสะใภ้ชุ่ยฮวาต้องพานางกลับไปที่บ้าน เห็นว่าพักอยู่ที่บ้านนางอยู่หนึ่งคืน”
ไป๋เย่จื่อรีบเอ่ยทุกอย่างที่ตนเองรู้ออกไป
เรื่องนี้เล่าลือออกไปไวมาก!
โจวกุ้ยหลานแอบทอดถอนใจ แต่นางไม่อยากจะปิดบังเรื่องนี้กับไป๋เย่จื่อ ดังนั้นจึงเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้นางฟัง เมื่อเห็นว่าไป๋เย่จื่อหน้าซีดเผือด สุดท้ายนางจึงกล่าวเสริมไปว่า “ถ้าเจ้าอยากร่วมชีวิตกับพี่ชายของข้าจริงๆ เจ้าก็ไปหาพี่ชายข้าแล้วบอกเขา มาหาข้าแบบนี้มันไม่มีประโยชน์หรอก”
การมาหานางแบบนี้เป็นเรื่องที่เสียเวลามาก นี่เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา และกุญแจสำคัญของเรื่องก็คือพี่ชายของนาง อย่างมากนางก็ทำได้แค่ส่งต่อคำพูด ตอบกันไปตอบกันมาแบบนี้มันเสียเวลาจะตาย!
ดูหลิวเซียงสิ ถึงอย่างไรนางก็ยังมีความสามารถ คลำทางมาจากหมู่บ้านอื่นจนได้
ไป๋เย่จื่อหน้าซีดจริงๆ “ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ การแต่งงานนั่นบอกปัดกันไปแล้วมิใช่หรือ ทำไม…”
“เจ้าไปหาพี่ชายของข้าเองเถอะ” โจวกุ้ยหลานเองก็ไม่อยากจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ นางรู้สึกเหนื่อยใจมากๆ
“พี่ชายของเจ้าอยู่ที่ไหน ข้าจะไปหาเขา!”
“อยู่บนภูเขา เกรงว่าเจ้าไปก็คงหาไม่พบหรอก เดี๋ยวข้าพาไป…”
“นังเด็กนี่! เจ้าหนีออกมาอีกแล้วหรือ”
ทันทีที่เงยหน้ามอง โจวกุ้ยหลานจึงเห็นว่าแม่ของไป๋เย่จื่อกำลังวิ่งรี่เข้ามาหา ไป๋เย่จื่อไม่มีเวลาพูดอะไรกับโจวกุ้ยหลานและรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
โจวกุ้ยหลานขมวดคิ้วและรู้สึกรำคาญมาก!
ไม่เอาแล้ว เรื่องพวกนี้มันยุ่งยากเกินไป! ไม่ได้ นางต้องรีบกลับไปที่ภูเขา กลับไปอยู่บนภูเขานางจึงได้สงบเงียบ!
ไม่ว่าจะหลิวเซียงหรือไป๋เย่จื่อก็น่ารำคาญด้วยกันทั้งนั้น เรื่องรักๆ ใคร่ๆ แบบนี้นางขอไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย!
เมื่อคิดได้ดังนั้น โจวกุ้ยหลานจึงรีบสาวเท้ากลับไปที่บ้านของตน ไปช่วยจัดการที่แปลงผักในช่วงบ่าย
ในตอนเช้าที่ฟ้ายังมืด โจวกุ้ยหลานกับสวีฉางหลินและโจวต้าไห่นั่งรถของเหล่าหม่าโถวเข้าไปในตำบล
เมื่อไปถึงตำบลฟ้าก็ยังคงมืดสลัวไม่สว่างนัก
เมื่อมาถึงร้านขายของชำเมื่อก่อนหน้านี้ นางจึงก้าวเข้าไป พอเถ้าแก่โจวเห็นนาง ดวงตาของเขาก็เป็นประกายทันที เขารีบเดินเข้ามาหาและบอกว่า “นายหญิงมาหรอกหรือ มาๆๆ เราเข้าไปนั่งข้างในกันก่อนเถอะ!”
โจวกุ้ยหลานเลิกคิ้วเล็กน้อย ห้องด้านในเป็นสถานที่สำหรับต้อนรับลูกค้ารายใหญ่ นี่หมายความว่าถ่านของนางขายดีงั้นหรือ
เมื่อคิดได้ดังนั้น โจวกุ้ยหลานจึงแย้มยิ้มและเอ่ยกับเถ้าแก่ว่า “เถ้าแก่โจว ข้ายังมีถ่านอยู่ในเกวียนเทียมวัวด้านนอก แล้วก็ยังมีพี่ชายกับผู้ชายของข้าด้วย”
“มีถ่านรึ รีบย้ายเข้ามาข้างในเลย ให้แขกสองท่านนั้นเข้ามาดื่มชาด้วย!”
ว่าแล้วเถ้าแก่โจวจึงสั่งให้ลูกจ้างในร้านออกไปช่วยกันขนถ่าน
ชายร่างใหญ่สองสามคนใช้เวลาไม่เท่าไหร่ก็ขนถ่านสิบสองเข่งเข้ามาจนเรียบร้อย โจวกุ้ยหลานบอกให้เหล่าหม่าโถวกลับไปก่อน ส่วนนางก็พาสวีฉางหลินกับโจวต้าไห่เข้าไปนั่งในห้องด้านในด้วยกัน จากนั้นเถ้าแก่โจวจึงนำชาออกมาต้อนรับแขกและรินใส่ถ้วยให้ทุกคนด้วยตัวเอง
โจวกุ้ยหลานมองดูเถ้าแก่โจวทำสิ่งต่างๆ อย่างสงบ ภายในใจนึกวางแผนบางอย่างเอาไว้แล้ว
ดูเหมือนถ่านจะค่อนข้างขายดีสินะ ไม่อย่างนั้นทำไมเถ้าแก่โจวจะต้องต้อนรับพวกนางอย่างดีขนาดนี้
สวีฉางหลินที่อยู่ข้างๆ ก็มีสีหน้าสงบ เขายกถ้วยชาขึ้นมาจิบและส่งเสียงอืม รสชาติขม ยังหวานไม่พอ นี่เป็นเพียงชาธรรมดาๆ
ทันทีที่ดื่มไปก็ถือเสียว่าดื่มน้ำธรรมดา
โจวต้าไห่ยกถ้วยชาขึ้นมาและดื่มชาจนหมดในคราวเดียว เขาไม่ใช่คนที่มีความรู้เรื่องชา
เถ้าแก่โจวเฝ้ามองทุกอย่างและแอบครุ่นคิดถึงความเป็นมาของพวกเขาอยู่ในใจ
“เถ้าแก่โจว ชาของท่านใช้ได้เลยทีเดียว” โจวกุ้ยหลานพูดพลางวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะ
“นายหญิงช่างเข้าใจเรื่องชาโดยแท้!”
แววตาของเถ้าแก่โจวเป็นประกายเมื่อได้ฟังคำพูดของโจวกุ้ยหลาน
เขาต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากเพื่อให้ได้ชานี้มาไว้ในมือ ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยเต็มใจจะนำออกมาใช้ วันนี้ถึงจะนำออกมาแล้วก็ยังกลัวว่าจะเสียเปล่า ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะดื่มเป็นและทำให้ชาของเขาไม่ต้องเสียเปล่า
โจวกุ้ยหลานแย้มมุมปากและยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ
นางรู้เรื่องชาเสียที่ไหน? นางแค่เห็นว่าเถ้าแก่โจวนำชานี้ออกมาอย่างทะนุถนอมและแทบจะนับใบชามาแช่ให้พวกนาง ถ้านางยังมองไม่ออกว่านี่คือชาชั้นดี เช่นนั้นนางก็คงตาบอดแล้วล่ะ
“เถ้าแก่โจวก็พูดเกินไป สู้เถ้าแก่โจวได้ที่ไหน” โจวกุ้ยหลานตอบยิ้มๆ
สวีฉางหลินชายตาขึ้นเมื่อได้ยินโจวกุ้ยหลานคุยกับเถ้าแก่โจวเรื่องชา แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร
เถ้าแก่โจวคุยเล่นกับโจวกุ้ยหลานอีกสองสามคำ โจวกุ้ยหลานเองก็คุยตามน้ำไป เมื่อเห็นว่าโจวกุ้ยหลานยังไม่ยอมพูดถึงถ่าน เถ้าแก่โจวจึงร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อยและเอ่ยว่า “นายหญิง คราวนี้พวกท่านนำถ่านมาเท่าไรหรือ”
“ไม่น่าจะต่างจากคราวก่อนมากนัก เพราะกลัวว่าถ่านจะถูกทับจนแตก คราวนี้พวกข้าเลยใส่ในเข่งแต่ละใบให้น้อยลง” โจวกุ้ยหลานตอบ
เถ้าแก่โจวตาเป็นประกายทันทีที่ได้ยิน แต่ไม่ทันไรเขาก็หม่นหมองลงอีกครั้ง
“เถ้าแก่โจวมีเรื่องอะไรก็บอกมาตรงๆ เถิด” โจวกุ้ยหลานเอ่ยออกไปตรงๆ
เมื่อโจวกุ้ยหลานพูดแบบนั้น เถ้าแก่โจวจึงเอ่ยไปตามตรงว่า “ถ่านของพวกท่านเผามาอย่างดี คนรวยหลายๆ คนในตำบลล้วนมาหาซื้อ เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าส่งไปที่อำเภอ ร้านทางนั้นเอ่ยปากว่าอยากจะรับซื้อเอาไว้ บอกว่าอยากได้หนึ่งพัยจินในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน สองสามวันมานี้ข้ารอพวกท่านมาตลอด อยากจะบอกเรื่องนี้กับพวกท่าน”
“ก็เป็นข่าวดีนี่นา แล้วเหตุใดเถ้าแก่โจวจึงทำหน้าแบบนั้น” โจวกุ้ยหลานถามยิ้มๆ
“เป็นข่าวดี แต่ทางนั้นให้ราคามาต่ำ นอกจากนี้ยังต้องใช้เกวียนเคลื่อนของพวกข้าลากไปที่นั่น พวกเขายินดีจ่ายเพียงแค่เจ็ดอีแปะต่อหนึ่งจิน” ว่าแล้วเถ้าแก่โจวจึงถอนหายใจ “พวกนั้นอยากจะลองขายดู ถ้าขายดี เกรงว่าคงจะสั่งมากขึ้นอีก”
สั่งเพิ่มขึ้นแต่ราคาต่อหน่อยลดลง?
โจวกุ้ยหลานเข้าใจแล้วว่าทำไมเถ้าแก่โจวจึงมีท่าทีแบบนั้น
นางนิ่งเงียบและครุ่นคิดอย่างรอบคอบ
ตอนนี้พวกนางขาดรายได้ที่มั่นคงหรือพูดอีกอย่างก็คืออุปทานที่มั่นคง ถ้ามีการจ่ายมากขนาดนี้ในทุกๆ เดือน จะให้นางลดราคาก็ไม่มีปัญหาอะไร
สิ่งสำคัญคือปัญหาที่ว่าจะลดราคาได้เท่าไร
หางตาของเถ้าแก่โจวเหลือบมองไปที่ใบหน้าของโจวกุ้ยหลานตลอดเวลา แต่หลังจากที่เขาพูดเรื่องนี้ไป ผู้หญิงคนนี้ก็ก้มหน้าและไม่แสดงท่าทีใดๆ พอเห็นดังนั้นเขาจึงกังวลขึ้นมา
การขายถ่านพวกนี้ออกไปหนึ่งจินเจ็ดอีแปะนั้นถือว่าถูกมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดีในการหาโอกาส ถ้าทำให้คนมั่งมีในอำเภอซื้อถ่านของพวกเขาได้ ต่อไปก็จะขายได้มากขึ้น พวกนางเองก็จะได้เงินมากขึ้นด้วย
“นายหญิง…” เถ้าแก่โจวส่งเสียงเรียก
เสียงนี้ช่วยดึงความคิดของโจวกุ้ยหลานกลับมา โจวกุ้ยหลานฉีกยิ้มอีกครั้งและเอ่ยว่า “เถ้าแก่โจวเรียกข้าว่ากุ้ยหลานเถิด ชาวบ้านอย่างพวกข้าไม่คุ้นกับการถูกเรียกว่านายหญิง”
“ได้สิ ได้ๆ กุ้ยหลาน เจ้าว่าเรื่องนี้…”
เถ้าแก่โจวถามนางอีกครั้ง
อย่าให้พูดเลย เรื่องนี้ผ่านมาแล้วสองวันและเขาก็กังวลใจ กลัวว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน
โจวกุ้ยหลานยิ้มและบอกว่า “เถ้าแก่โจว ถ้าทางนั้นยอมจ่ายแค่เจ็ดอีแปะ ท่านคนกลางก็ต้องเอารายได้ อย่างนั้นพวกข้าให้ราคาเถ้าแก่โจวได้มากที่สุดแค่ห้าอีแปะ และนั่นเป็นราคาขายถ่านระดับปานกลางเท่านั้น”