นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 156 กินข้าวที่โรงเตี๊ยมเทียนเซียง
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 156 กินข้าวที่โรงเตี๊ยมเทียนเซียง
บางทีเถ้าแก่โจวก็อาจจะให้ห้าอีแปะกับพวกนางไม่ได้
“ก็เป็นไปตามเนื้อผ้า” เถ้าแก่โจวพยักหน้า
ราคานี้ถือว่าต่ำมาก
แต่การที่พวกเขาชาวตำบลจะขายของให้กับอำเภอมันง่ายหรืออย่างไร นอกจากข้าวพรรณธัญพืชเหล่านั้นแล้วก็ยังมีหนังฟอก ของอื่นๆ นอกจากนั้นล้วนนำกลับมาจากอำเภอ นอกจากนี้ยังมีตำบลที่อยู่ทางใต้ของอำเภออีกหลายตำบล พวกนั้นล้วนขายธัญญาหารให้กับอำเภอเหมือนกัน ดังนั้นของที่พวกเขาจะขายให้อำเภอจึงไม่อาจขายได้ในราคาสูง
“แต่นี่ก็เป็นวิธีที่ดีที่จะเปิดโอกาส ทางข้าจะไม่คุยอะไรมากกว่านี้ ช่วงสองเดือนแรกข้าจะขายให้เถ้าแก่โจวห้าอีแปะต่อครึ่งกิโล เดือนละหนึ่งพันกิโล จะเอากำไรเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับเถ้าแก่โจว ตั้งแต่เดือนที่สามขึ้นไป ข้าจะขึ้นราคาเป็นแปดอีแปะต่อครึ่งกิโล เถ้าแก่โจวคิดเห็นเป็นอย่างไรบ้าง”
ว่าแล้วโจวกุ้ยหลานจึงจ้องมองเถ้าแก่โจว
ถ้าต่อไปนางขายส่งได้เองโดยตรงก็จะดีมากๆ และนางก็จะทำเงินได้มากกว่าที่ขายปลีก เพียงแต่ไม่รู้ว่าในอำเภอต้องการถ่านจำนวนมากแค่ไหน
เถ้าแก่โจวขมวดคิ้วครุ่นคิดย่างพินิจพิเคราะห์
ช่วงสองเดือนแรกได้ราคาห้าอีแปะต่อเดือน นั่นหมายถึงทุกๆ ครึ่งกิโลเขาจะได้กำไรสองอีแปะ ห้าร้อยกิโลจะเท่ากับสองตำลึงเงิน และอีกห้าร้อยกิโลเขายังสามารถขายให้คนรวยในตำบลได้ นั่นนับว่าเป็นรายได้ที่ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะตอนนี้เขาขายให้คนที่ตำบลนี้ยี่สิบอีแปะต่อครึ่งกิโล!
สองเดือนให้หลัง พวกเศรษฐีในอำเภอน่าจะคุ้นชินกับถ่านพวกนี้แล้ว ถึงตอนนั้นถ้าเขาขึ้นราคาอีก เขาก็ไม่กลัวแล้วว่าเถ้าแก่ผู้นั้นจะไม่ขึ้นราคาให้ และราคาก็จะกลายเป็นสิบอีแปะ
คิดได้แบบนี้ เถ้าแก่โจวจึงรู้สึกว่านี่เป็นธุรกิจที่ดีมาก
หลังจากคิดตกแล้ว เขาจึงกล่าวว่า “ตกลง เราตกลงกันตามนี้!”
โจวกุ้ยหลานเตือนเขาด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่โจว ท่านตั้งชื่อให้ถ่านดีหรือไม่ แบบนี้ต่อไปเวลาท่านไปหาโอกาสใหม่ๆ ในอำเภอ ท่านจะได้บอกวิธีแยกความแตกต่างให้กับคนอื่นๆ ได้”
“นั่นก็มีเหตุผล!” เถ้าแก่โจวตอบและลุกขึ้นเดินไปรอบๆ ห้อง
เป็นอย่างนี้นี่เอง ผู้หญิงคนนี้มองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง! แค่ครู่เดียวก็เข้าใจแล้วว่าเขาคิดจะทำอะไร ทั้งยังเตือนเรื่องสำคัญกับเขาอีก ไม่สิ ดูเหมือนจะเป็นนางที่หยิบยกวิธีนี้ขึ้นมาพูด นี่เป็นความคิดของนาง!
เมื่อคิดได้ดังนั้น แววตาที่เถ้าแก่โจวมองโจวกุ้ยหลานจึงเปลี่ยนไป
ผู้หญิงคนนี้ช่างมีความสามารถโดยแท้!
เขาคิดและจึงประสานมือคารวะโจวกุ้ยหลาน “ยังเป็นกุ้ยหลานที่มีหัวการค้า!”
โจวต้าไห่ที่มองดูอยู่ข้างๆ เบิกตากว้าง
คนผู้นี้คือเถ้าแก่ในตำบล เป็นคนร่ำรวย แต่ไหนแต่ไรมีแต่พวกเขาที่ให้เกียรติคนอื่น แต่ตอนนี้เถ้าแก่ของตำบลกลับมาคารวะกุ้ยหลานงั้นหรือ
ขณะที่เขากำลังคิด เขาก็เห็นโจวกุ้ยหลานรีบลุกขึ้นยืนและเอ่ยกับเจ้าของร้านด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ายังด้อยกว่าเถ้าแก่โจวนัก เถ้าแก่โจว เรามาชั่งน้ำหนักถ่านกันเถิด ทางข้ายังมีธุระอื่นต้องไปทำอีก”
เถ้าแก่โจวได้สติขึ้นมาในทันใด จากนั้นเขาจึงรีบพาพวกนางออกไปและให้ลูกจ้างชั่งน้ำหนักให้ หลังจากแยกส่วนที่ถูกกดทับจนแตกออกไปแล้ว รวมทั้งหมดที่ชั่งได้ก็คือสี่ร้อยแปดสิบติน รวมเป็นราคาสองตำลึงสี่อีแปะ
โจวกุ้ยหลานรับเงินและหันหลังกลับ และเถ้าแก่โจวก็ออกมาส่งพวกนาง
หลังจากออกมานอกร้าน โจวต้าไห่จึงกล้าส่งเสียง
“เราได้มาสองตำลึงกว่าๆ งั้นหรือ”
“ใช่ มีส่วนของท่านหนึ่งตำลึงสองอีแปะ” โจวกุ้ยหลานเอ่ยยิ้มๆ
ต้องมีรายได้เข้ามาอย่างมั่นคงแบบนี้สิถึงจะดีและทำให้รู้สึกปลอดภัย
โจวต้าไห่อ้าปากค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ข้าไม่ได้ฝันไปหรือนี่ ได้เงินขนาดนี้เชียวหรือ” โจวต้าไห่ยังคงมึนงงเล็กน้อย
นี่มันเงินสองตำลึงสี่อีแปะเชียวนะ! หามาได้ง่ายขนาดนี้เชียวหรือ
โจวกุ้ยหลานยื่นมือออกไปหยิกแขนของโจวต้าไห่และถามว่า “เจ็บหรือไม่”
“ไม่เจ็บ เป็นความฝันจริงๆ ด้วย!”
น้ำเสียงของโจวต้าไห่แฝงไปด้วยความผิดหวัง
โจวกุ้ยหลานออกแรงบิดเนื้อของเขาแรงขึ้นจนเหงื่อแทบจะไหลออกมาจากหน้าผาก “ตอนนี้เจ็บหรือยัง”
“เจ็บ นี่ไม่ใช่ฝัน!”
โจวต้าไห่อุทานออกมาอีกครั้ง
พวกเขาได้เงินกว่าสองตำลึงจริงๆ!
นอกจากนี้ต่อไปก็ยังมีอีก!
โจวกุ้ยหลานปล่อยมือแล้วเดินไปข้างหน้า บอกกับทั้งสองคนว่า “กลับไปแล้วพวกท่านช่วยจัดตะกร้าไว้เพิ่มด้วย ตอนนี้ที่บ้านไม่มีตะกร้าให้ใช้แล้ว”
ทั้งสองคนรับคำ
โจวต้าไห่ลูบแขนของเขาขณะตอบรับคำพูดของโจวกุ้ยหลาน
สวีฉางหลินยังคงเดินตามหลังโจวกุ้ยหลานไปด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย หางตายังคงเหลือบมองภรรยาที่เอาแต่มองของแต่ไม่ยอมซื้อ มุมปากของเขาแย้มขึ้นจางๆ และถามว่า “ไม่ซื้อของหรือ”
โจวกุ้ยหลานทำปากมุ่ย “วันนี้ซื้อไม่ได้ คนในหมู่บ้านกำลังจับตาดูอยู่”
โจวกุ้ยหลานบอกพลางเดินต่อไป
สวีฉางหลินขมวดคิ้ว
ภรรยาต้องลำบากใจแค่ไหนที่ไม่ได้ซื้อของ
คิดมาถึงตรงนี้เขาก็คิดถึงเรื่องที่ภรรยาเคยบอกเรื่องที่จะกลับขึ้นไปใช้ชีวิตบนภูเขา ทันใดนั้นภายในใจก็เริ่มวางแผนถึงวันข้างหน้า
เมื่อทั้งสามคนเดินมาถึงโรงเตี๊ยมเทียนเซียง โจวกุ้ยหลานจึงเหลือบมองแผ่นจารึก ภายในยังเต็มไปด้วยผู้คน และนางก็มุ่ยปากอย่างช่วยอะไรไม่ได้อีกครั้ง
เดิมทีนางคิดจะทำขนมหัวไชเท้า แต่กลับตอนไฟไหม้ ถ้านางอยากทำใหม่ก็ต้องซื้อหัวผักกาดอีกครั้ง แต่ช่วงหลังมานี้นางต้องคอยดูแลพวกเขาที่ไปเผาถ่าน ต้องช่วยเหล่าไท่ไท่ทำงานบ้าน แค่นี้ก็แทบไม่มีเวลาเหลือ
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ไป๋ยี่เซวียนก็ออกมาจากโรงเตี๊ยมเพื่อต้อนรับแขก
พอเห็นพวกเขา ไป๋ยี่เซวียนก็รีบก้าวมาหาและคารวะสวีฉางหลิน จากนั้นจึงเอ่ยกับพวกเขาว่า “พวกท่านไม่ได้มาตั้งนานแล้ว เชิญเข้ามาข้างในเถิด!”
โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า “เถ้าแก่ พวกข้ากินอาหารที่โรงเตี๊ยมของท่านไม่ได้ พวกข้าต้องกลับแล้ว”
อาหารที่โรงเตี๊ยมเทียนเซียงนับว่าไม่แย่ นอกจากนี้ราคายังดีอีกด้วย
หากคราวนี้นางนำเงินสองตำลึงมาใช้จ่ายอีกครั้ง เหล่าไท่ไท่ไม่ฉีกทึ้งนางแย่หรือ
ได้ยินดังนั้นไป๋ยี่เซวียนจึงหัวเราะ “พวกท่านเข้ามากินได้จะนับว่าเป็นเกียรติกับข้ามาก ไม่มีเหตุผลใดเลยที่พวกท่านจะต้องจ่าย การแข่งขันร้านอาหารคราวนี้ ร้านของพวกข้าชนะได้อันดับหนึ่ง บังเอิญเห็นพวกท่านพอดี อย่างไรก็ขอให้ข้าได้แสดงความจริงใจหน่อยเถิด”
โจวกุ้ยหลานหันกลับไปมองสวีฉางหลิน เมื่อเห็นว่าสวีฉางหลินพยักหน้าให้นางเล็กน้อย นางจึงตอบรับ จากนั้นทั้งสามคนจึงเข้าไปในโรงเตี๊ยมเทียนเซียง
ทันทีที่พวกนางเข้าไป ไป๋ยี่เซวียนก็พาพวกเขาไปที่ห้องส่วนตัว
นี่เป็นครั้งแรกที่โจวต้าไห่ได้เข้ามาในโรงเตี๊ยมหอสุรา เขารู้สึกขัดเขินเล็กน้อยและแอบแปลกใจว่าทำไมกุ้ยหลานกับสวีฉางหลินจึงรู้จักกับเถ้าแก่โรงเตี๊ยมเทียนเซียง เพราะเขาได้ยินมาว่าโรงเตี๊ยมเทียนเซียงเป็นร้านที่มีชื่อเสียงของตำบลนี้
“ขอแสดงความยินดีกับเถ้าแก่ไป๋ด้วย ตอนนี้โรงเตี๊ยมเทียนเซียงเป็นโรงเตี๊ยมอันดับหนึ่งของตำบลแล้ว” โจวกุ้ยหลานยิ้มและแสดงความยินดีกับไป๋ยี่เซวียน
ไป๋ยี่เซวียนมิอาจปิดบังความสุขเอาไว้ได้ เขาเอ่ยทันทีว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะสูตรเครื่องเทศของพวกท่าน คงเป็นเรื่องยากที่พวกข้าจะชนะ”
สำหรับไป๋ยี่เซวียน โจวกุ้ยหลานยังคงตั้งใจจะคบหาเอาไว้ ดังนั้นนางจึงตอบด้วยรอยยิ้มทันทีว่า “ข้าเองก็ได้เงินจากเถ้าแก่ไป๋มาไม่น้อย”
นี่เป็นการร่วมทำการค้าอย่างยุติธรรม นอกจากนี้ตอนนั้นไป๋ยี่เซวียนยังไม่รู้ว่าเครื่องเทศนั้นจะทำให้แขกชอบได้หรือไม่ การที่ซื้อไปในราคาห้าร้อยตำลึงจึงนับว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาลสำหรับเขา
ดังนั้นการที่เขาคว้าชื่อเสียงมาได้จึงนับว่าเป็นเพราะวิสัยทัศน์และความกล้าของเขาเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับนางเลย