นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 159 ข้ารักเจ้ามาก
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 159 ข้ารักเจ้ามาก
โจวกุ้ยหลานแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและพาเจ้าก้อนน้อยเข้าไปในห้อง อีกด้านหนึ่ง สวีฉางหลินก็ยังคงทำเหมือนไม่เห็นคนเหล่านั้นและตามน้องนางเข้าไปในห้อง จากนั้นจึงปิดประตูลง
“นางยังเหนื่อยน่ะ ร่างกายก็ไม่ค่อยปราดเปรียว ปล่อยให้นางพักผ่อนไปเถอะ เรามาคุยกันเองดีกว่า” เหล่าไท่ไท่ช่วยไกล่เกลี่ย
คนเหล่านั้นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องปล่อยโจวกุ้ยหลานไป จากนั้นจึงหันไปให้ความสนใจโจวต้าไห่
โจวต้าไห่ไม่ได้หนีเร็วเท่าพวกเขาและถูกคนเหล่านั้นรั้งตัวไว้ทันที จากนั้นหลายคนจึงเริ่มบอกว่าพวกเขามีหลานสาวที่เหมาะสมกับโจวต้าไห่และถามว่าเขาจะแต่งงานด้วยหรือไม่
เมื่อประตูปิดลง โจวกุ้ยหลานจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก นางก้มลงมองเจ้าก้อนน้อยและถามเขาว่า “คนพวกนี้มาตั้งแต่เมื่อไรหรือ”
“บางคนมาเช้า บางคนมาสาย” เจ้าก้อนน้อยบอกพลางเอามือปิดหน้า เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “พวกเขาดึงหน้าข้า”
“ไหน ให้แม่ดูสิ!” โจวกุ้ยหลานว่าพลางประคองหน้าของเจ้าก้อนน้อยเอาไว้
ก่อนหน้านี้นางไม่ทันสังเกต ตอนนี้เองถึงเพิ่งเห็นว่ามีรอยแดงอยู่บนใบหน้าขาวๆ ของเขา
คนเหล่านี้ไม่รู้จักระวังจนทำให้เจ้าก้อนน้อยเจ็บไปหมด
“เสี่ยวเทียนไม่เจ็บนะ มา แม่เป่าให้…”
ว่าแล้วนางจึงเป่าลงไปที่หน้าของเจ้าก้อนน้อย ลมที่เป่าลงไปบนหน้าของเจ้าก้อนน้อยให้ความรู้สึกคันยุบยิบ ทำให้เจ้าก้อนน้อยยิ้มและหัวเราะออกมาได้
สวีฉางหลินปิดประตูและเดินเข้ามา มองดูทั้งสองคนด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความอ่อนโยน
วันดีๆ แบบนี้ทำให้เขาพอใจมาก
แต่ว่า…
น้องนางมีคนที่ชอบอยู่จริงๆ งั้นหรือ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ แววตาของเขาก็เยียบเย็นลงอีกครั้ง เขารีบก้าวเข้าไปนั่งข้างเตียงและเอื้อมมือไปอุ้มเจ้าก้อนน้อยมาไว้ในอ้อมกอด
เจ้าก้อนน้อยตกใจไปนิดหนึ่งก่อนจะตระหนักได้ว่าเขาถูกพ่ออุ้มขึ้นมา เขามีความสุขมากและนั่งลงอย่างเชื่อฟัง
พ่อเต็มใจจะกอดเขา แล้วพ่อก็ชอบเขาด้วย
“เจ้าชอบไป๋ยี่เซวียนงั้นหรือ” สวีฉางหลินขยับริมฝีปากบางถามนาง
โจวกุ้ยหลานตัดสินใจแล้วว่าจะเถียงกับเขาให้จบ
นางถอดรองเท้าและนั่งขัดสมาธิลงบนเตียง หันหน้าเข้าหาและจ้องตาเขาพลางเอ่ยว่า “ตาข้างไหนของเจ้าที่มองเห็นว่าข้าชอบเขา”
“เจ้ายิ้มให้เขา”
“แล้วที่ข้ายิ้มให้หมาแมวข้างถนนล่ะ นั่นแปลว่าข้าชอบหมาแมวข้างถนนด้วยงั้นหรือ”
“พวกมันไม่ใช่ผู้ชาย”
โจวกุ้ยหลานแทบอยากจะเคาะกะโหลกเขาเสียเดี๋ยวนั้น ผู้ชายคนนี้นี่ทำไมถึงได้ยุ่งยากนัก
นางระงับความโกรธเอาไว้และบอกว่า “พวกมันก็เป็นตัวผู้เหมือนกัน! ทุกครั้งที่ข้าให้อาหารหมูข้าก็หัวเราะกับมัน ทำไมเจ้าถึงไม่บอกว่าข้าชอบหมูนั่นบ้างล่ะ”
สวีฉางหลินขมวดคิ้ว เขาไม่ได้เก่งเรื่องการตีฝีปากเท่าน้องนางของเขา แต่เขาก็รู้ดีว่ามันไม่เหมือนกัน
เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูดอะไร โจวกุ้ยหลานจึงคิดว่านางเกลี้ยกล่อมเขาได้แล้ว นั่นเองไฟโกรธภายในใจจึงค่อยสงบลงเล็กน้อย จากนั้นนางจึงกล่าวว่า “เถ้าแก่ไป๋มั่งคั่งร่ำรวย เงินที่ให้เรามานั้นมากพอที่เราจะใช้ไปได้ทั้งชีวิต คนอย่างนั้นจะมาสนใจสาวชาวบ้านที่แต่งงานแล้วอย่างข้าได้อย่างไร”
ชะๆๆ จะประเมินตัวเองต่ำเกินไปแล้ว
โจวกุ้ยหลานแอบบ่นตัวเองอยู่ในใจ แต่ใบหน้ายังสงบนิ่งเป็นปกติ “แล้วก็…”
ยังไม่ทันที่นางจะพูดจบ สวีฉางหลินก็ขัดจังหวะนาง “เจ้าดีมากต่างหาก!”
อืม นางดีมาก
ความโกรธที่เหลืออยู่ในใจของโจวกุ้ยหลานมลายหายไปหมดแล้ว
ผู้ชายคนนี้ยังคงน่ารักเหมือนเดิม อย่างเช่นตอนนี้ คำพูดที่เอ่ยออกมานั้นทำให้นางมีความสุขมาก
“ข้าแค่อยากจะบอกเจ้าว่า เถ้าแก่ไป๋ต้องพบเจอสตรีมากมาย ได้เห็นผู้หญิงสวยๆ มาก็เยอะ…”
“เจ้าสวยกว่าพวกนาง” สวีฉางหลินขมวดคิ้วและรู้สึกกังวลใจขึ้นมาอีก
ภรรยาของเขาสวยขนาดนี้ ทั้งยังเฉลียวฉลาดและดีในทุกๆ ด้าน ดีกว่าผู้หญิงอื่นเป็นไหนๆ อย่างไป๋ยี่เซวียนน่ะหรือจะไม่ชอบภรรยาของนาง
วันนี้เขาก็เอาแต่จ้องมองน้องนางของเขา ทั้งยังยิ้มให้น้องนางของเขาอีกด้วย!
โจวกุ้ยหลานสบายใจขึ้นมากและรู้สึกดีมากที่ได้รับคำชม!
นางรู้สึกสบายใจและเหลือบมองสวีฉางหลิน พยายามระงับรอยยิ้มเอาไว้อย่างเต็มที่
“นั่นน่ะ ข้าหมายความว่าเขาไม่มีทางสนใจผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว”
“เรายังไม่ได้เข้าห้องหอ!” สวีฉางหลินขมวดคิ้วจนเป็นปม
ถ้าไม่ได้เข้าห้องหอก็แสดงว่ายังไม่ได้เป็นสามีภรรยากันอย่างแท้จริง ไป๋ยี่เซวียนจะไม่สนใจภรรยาของเขาได้อย่างไร
“ท่านแม่ อะไรคือเข้าห้องหอเหรอ” เจ้าก้อนน้อยจ้องมองโจวกุ้ยหลานตาโต และเสียงเด็กน้อยก็ดังขึ้นมาในห้อง
จะๆ… จะอธิบายเรื่องนี้อย่างไรดีล่ะ
เหตุใดผู้ชายคนนี้จึงไม่ดูกาลเทศะเสียเลย ไม่รู้หรืออย่างไรว่าควรจะหลีกเลี่ยงเด็ก
โจวกุ้ยหลานจ้องสวีฉางหลินเขม็ง ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก สวีฉางหลินที่อยู่ข้างๆ ก็ชิงอธิบายขึ้นก่อน “ก็แค่การที่พ่อแม่นอนด้วยกันสองคนและให้กำเนิดลูก”
“พ่อกับแม่นอนด้วยกันทุกคืน” เจ้าก้อนน้อยเงยหน้ามองสวีฉางหลินอย่างไม่เข้าใจ
ทั้งสองสบตากัน จากนั้นจึงเห็นว่าสวีฉางหลินหันไปมองเขาพอดี “เพราะมีเจ้าด้วย จึงไม่นับว่าเป็นการเข้าห้องหอ เจ้าเป็นส่วนเกิน”
โจวกุ้ยหลานแอบกัดฟันกรอด ผู้ชายคนนี้ไม่ได้สนใจอารมณ์ของเจ้าก้อนน้อยเลยสักนิด ทั้งยังพูดออกไปตรงๆ อีกว่าเขาเป็นส่วนเกิน
“เสี่ยวเทียนเป็นส่วนเกิน…”
เจ้าก้อนน้อยเบะปากและก้มหน้าลงราวกับกำลังเสียใจมาก
โจวกุ้ยหลานที่อยู่ข้างๆ เห็นแล้วสงสารมาก! ทันใดนั้นนางจึงเอื้อมมือไปหวังจะกอดลูก
แต่ยังไม่ทันที่นางจะแตะตัวเจ้าก้อนน้อย สวีฉางหลินก็ส่งเสียงขึ้นมาอีกว่า “อืม เจ้าเป็นส่วนเกิน”
ยังจะพูดอีก! เขากลัวว่าเจ้าก้อนน้อยจะไม่ได้ยินหรืออย่างไร
โจวกุ้ยหลานจ้องมองสวีฉางหลินอย่างฮึดฮัด จากนั้นจึงอุ้มเจ้าก้อนน้อยมานั่งลงบนตักของนางและรีบปลอบเขาว่า “พ่อแค่ล้อเจ้าเล่น เสี่ยวเทียนเป็นลูกรักของพวกเรา จะไปเป็นส่วนเกินได้อย่างไร”
สวีฉางหลินเหลือบมองเจ้าก้อนน้อยและเห็นท่าทีที่ยังเป็นเด็กของเขา แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าเด็กเหม็นตุคนนี้ เขาคงได้นอนกอดน้องนางของเขาทุกคืน และเขาก็อาจจะได้เข้าหอกับน้องนางทุกคืนเช่นกัน…
พอคิดได้แบบนี้ ความปรารถนาและความไม่พอใจตลอดหลายเดือนมานี้ก็ปรากฏขึ้นมา
หลังจากคิดสะระตะ ภายในใจก็มีใบหน้าของหญิงสาวปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหัน ใจของเขากระตุก เมื่อหันกลับไปมองเจ้าก้อนน้อยอีกครั้ง สีหน้าของเขาจึงดูอ่อนโยนลงเล็กน้อย
ถ้าพี่สาวยังอยู่ เสี่ยวเทียนก็คงไม่ต้องร่อนเร่ไปกับเขาทั่วสารทิศแบบนี้…
พี่สาวยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?
“เจ้ารีบขอโทษเสี่ยวเทียนเลยนะ!”
เสียงของโจวกุ้ยหลานดังขึ้นดึงความคิดของเขากลับมา เมื่อหันไปมองเขาจึงเห็นโจวกุ้ยหลานส่งสายตาให้เขา
“ขอโทษเรื่องอะไร” สวีฉางหลินมองโจวกุ้ยหลานอย่างแปลกใจ
“ก็เรื่องที่เจ้าพูดผิดนะสิ ที่จริงเจ้ารักเขามาก เมื่อครู่ที่พูดไปก็แค่ล้อเขาเล่น!” โจวกุ้ยหลานเตือนเขาอย่างกังวล
ความฉลาดทางอารมณ์ของผู้ชายคนนี้… ช่างไม่ดีจริงๆ!
สวีฉางหลินมองเจ้าก้อนน้อย เมื่อเห็นว่าเจ้าก้อนน้อยกำลังจ้องมองเขา เขาจึงเอ่ยกับเจ้าก้อนน้อยว่า “ข้ารักเจ้ามาก”
เมื่อเจ้าก้อนน้อยได้ยินสิ่งที่พ่อของเขาพูด ริมฝีปากของเขาก็แย้มเป็นรอยยิ้ม คิ้วและตายืดออก ดูมีความสุขมากเป็นพิเศษ
“ได้ยินหรือไม่เสี่ยวเทียน พ่อของเจ้าบอกว่ารักเจ้ามาก เจ้าอย่าเศร้า…”
“แต่เจ้าเป็นส่วนเกิน”
สวีฉางหลินไม่รอให้โจวกุ้ยหลานพูดจบและเสริมขึ้นมาอีกประโยค