นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 162 เงินทั้งนั้น!
“ท่านแม่ ฟันผุๆ ของท่านคงต้องพังไปเพราะกัดเงินนี่แล้ว!”
“นี่…จะว่าไปก็จริง…” เหล่าไท่ไท่ลังเล กำลังที่มือลดลงไปมาก
เมื่อเห็นดังนั้น โจวกุ้ยหลานจึงคลายมือ
เหล่าไท่ไท่มองเงินตำลึงในมือของตน นี่เป็นเงินที่หามาได้! ตั้งแต่สามีนั่นจากไป นางก็ไม่เคยเห็นเงินมากขนาดนี้อีก
“ไอ้หยา นี่ยอดเยี่ยมไปเลย เงินทั้งนั้น!”
เหล่าไท่ไท่เอ่ยด้วยความตื่นเต้น
ตอนนี้เอง สวีฉางหลินก็กลับมาแล้ว เปิดห่อกระดาษน้ำมันออก ในนั้นมีแต่อาหารดีๆ
เมื่อเห็นดังนั้นโจวกุ้ยหลานก็รีบตักโจ๊กถั่วรวมให้ตัวเองอีกครึ่งถ้วย แล้วใช้ตะเกียบคีบกับข้าวให้เจ้าก้อนน้อย
เหล่าไท่ไท่รีบเก็บเงินของตัวเองไว้ในกระเป๋าเสื้อนอก คิดดูแล้วรู้สึกยังไม่ปลอดภัย ดังนั้นจึงล้วงออกมาแล้วเก็บในกระเป๋าชุดตัวในของตน
แต่พอคิดดูอีกทีก็ยังไม่วางใจ
หากคนอื่นมองออกจะทำอย่างไรเล่า?
ไอ้หยา ยากจริงๆ!
โจวกุ้ยหลานหันไปก็เห็นเหล่าไท่ไท่กำลังคิดวิธีเก็บเงินอยู่ พลันเอ่ย “ท่านแม่ ท่านก็เอาเก็บไว้กับเสื้อตัวในสิ แบบนั้นยังมีใครก็ดูออกอีกล่ะว่าในกระเป๋าท่านมีเงิน?”
“เจ้าไม่รู้เรื่อง ตอนนี้ทั้งหมู่บ้านพากันจ้องบ้านเราอยู่! ถ้าเกิดพวกเขามองออกว่าเสื้อข้านูนๆ จะทำอย่างไร?”
เหล่าไท่ไท่เอ่ย มือยังคลำอยู่ในตัว คิดว่าจะเอาเก็บไว้ที่ไหนดี
โจวกุ้ยหลานเบะปาก ก็แค่เงินตำลึงสองตำลึง นิดเดียวเอง เก็บในกระเป๋าใครจะมองออก?
“ท่านแม่ รีบกินข้าวเถอะ เดี๋ยวจะเย็นหมดแล้ว” โจวกุ้ยหลานเอ่ย ใช้ตะเกียบคีบกับข้าวเย็นวางไว้ในโจ๊กร้อนๆ ให้เจ้าก้อนน้อย อยากทำให้กับข้าวร้อนก่อน
สวีฉางหลินที่อยู่ข้างๆ กินโจ๊กถั่วรวมสองถ้วยแล้ว ตอนนี้กำลังเตรียมจะกินถ้วยที่สาม แต่เขากลับไม่แตะกับข้าวของโรงเตี๊ยมสักนิด
หลังจากเหล่าไท่ไท่ซ่อนเงินเสร็จ ก็มองไปที่อาหารรสเลิศตรงเตาไฟ ตาค้าง “โอ้โฮ! กับข้าวดีๆ เยอะแยะ!”
“ใช่สิท่านแม่ ท่านรีบกินเถอะ เดี๋ยวมีคนมาท่านก็ไม่ได้กินแล้ว” โจวกุ้ยหลานเอ่ยพลางคีบกับข้าวจำนวนหนึ่งจุ่มเข้าไปในโจ๊กของตัวเอง
“อย่ากินเลย นี่เป็นอาหารคาว กินเย็นๆ เดี๋ยวก็ท้องเสียหรอก ข้าจะอุ่นให้พวกเจ้า!”
เหล่าไท่ไท่เอ่ย จากนั้นก็ตักโจ๊กถั่วรวมทั้งหมดใส่กะละมังใหญ่ เอาน้ำล้างหม้อให้สะอาด แล้วเทอาหารเหล่าในลงไป จุดเตาไปแล้วผัดสองสามที
ทางนั้น สวีฉางหลินตักโจ๊กถั่วรวมอีกถ้วยแล้วเริ่มกิน เหล่าไท่ไท่เห็นก็รีบพูดขึ้น “ฉางหลิน เจ้ารอเดี๋ยว นี่จะอุ่นเสร็จแล้ว”
“ไม่ต้องท่านแม่ ข้ากินมาแล้ว” สวีฉางหลินตอบแล้วกินโจ๊กในมือตัวเองต่อ
กระทั่งเหล่าไท่ไท่อุ่นกับข้าวแล้ววางบนเตา สวีฉางหลินก็กินเสร็จแล้ว
“เอาอีกหน่อยไหม?”
เหล่าไท่ไท่ถามฉวีฉางหลินอย่างห่วงใย
“ข้าอิ่มแล้ว จะขึ้นเขาไปทำงานเดี๋ยวนี้แหละ พี่ใหญ่ล่ะ?”
“เขาถูกคนในหมู่บ้านลากไปกินข้าว อีกครู่สองครู่ก็คงจะยังกลับมาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเจ้าก็พักผ่อนก่อน เดี๋ยวค่อยไปทำงาน?”
เหล่าไท่ไท่ถามหยั่งเชิง เก็บกับข้าวที่ตักใส่จานแล้วส่งลงไปในเตา
โจวกุ้ยหลานเบะปากอีกครั้ง กินกับข้าวของตัวเอง แล้วคีบกับข้าวให้เจ้าก้อนน้อยที่ยังสูงไม่พอด้วย
สวีฉางหลินทางนั้นพูดกับเหล่าไท่ไท่อีกนิดหน่อย จากนั้นก็ไปห้องโถง หยิบขวานแล้วออกไป
ตอนนี้เหล่าไท่ไท่จึงยกโจ๊กถั่วรวมถ้วยนั้นของตัวเอง กินคำหนึ่ง แล้วทอดถอนใจเอ่ย “ฉางหลินขยันขันแข็งจริงๆ ในบรรดาลูกเขยสามคน เขาดีที่สุด!”
“ใช่ๆๆ” โจวกุ้ยหลานตอบ
“ไอ้หยา ต่อไปเขาจะทำให้เจ้ามีชีวิตที่ดี!” เหล่าไท่ไท่สะท้อนใจอีก
เมื่อนึกถึงเงินหนึ่งตำลึงในอกแล้ว นางก็อุ่นใจมากขึ้นไม่น้อย
ต่อไปยังจะพลอยทำให้ต้าไห่บ้านนางมีชีวิตที่ดีไปด้วย
“เฮ้อ บ้านเราได้กินข้าวแล้ว กลัวแต่พี่สาวคนโตเจ้าจะอดตายนะสิ…” เหล่าไท่ไท่พูดไปน้ำเสียงก็เคร่งเครียดขึ้นมา
บุตรสาวคนโตของตัวเองช่างอาภัพ ทำไมถึงแต่งกับคนอย่างนั้นไปได้? ตอนนี้ตกระกำลำบาก คงกินไม่อิ่มท้อง
ในหัวโจวกุ้ยหลานแวบใบหน้าพี่สาวคนโตขึ้นมา นางในความทรงจำหน้าเหลืองตัวผอม ดูไม่มีชีวิตชีวา ซูบซีดมาก
มีแต่คนที่ทำงานหนักกินไม่อิ่มแรมปีถึงจะเป็นแบบนั้น
“กุ้ยหลาน ข้าหารือกับเจ้าหน่อย ไม่อย่างนั้นข้าจะเอาข้าวโพดไปให้พี่ใหญ่เจ้าหน่อย ต่อไปครอบครัวเรากินข้าวขาว?” เหล่าไท่ไท่มองโจวกุ้ยหลาน เสนอความคิดของตัวเอง
โจวกุ้ยหลานไม่มีความรู้สึกอะไรกับพี่สาวคนโต แต่อย่างไรก็เป็นบุตรสาวคนโตของเหล่าไท่ไท่ ดังนั้นจึงตอบ “ท่านแม่ ท่านว่าอย่างไรก็อย่างนั้นแหละ แต่ต่อไปกินข้าวสารแล้ว มิต้องรู้กันทั่วหมู่บ้านว่าบ้านเรามีเงินหรือ?”
“เราเก็บข้าวโพดเอาไว้นิดหน่อย กลางวันกินโจ๊กถั่วรวม เช้ากับเย็นกินของดี เจ้าว่าดีไหม?” เหล่าไท่ไท่ยิ้มตาหยีมองโจวกุ้ยหลานทำทีปรึกษา
หากจะว่ากันตามจริง ข้าวกับแป้งเหล่านั้นเป็นบุตรสาวคนเล็กหามา ต่อให้นางอยากช่วยเหลือบุตรสาวคนโตอย่างไร นั่นก็ต้องผ่านความเห็นชอบจากนางก่อน
แต่คนอื่นในบ้านบุตรสาวคนโตนั้น นางไม่ยินดีจะช่วยหรอก! บุตรสาวคนโตตัวเองกินอิ่มก็ดีแล้ว สำหรับข้าวกับแป้ง เอาไปก็ไม่ถึงบุตรสาวนางหรอก ทั้งยังต้องถูกพวกคนไม่รู้คุณคนเอาไปอีก!
“อย่างนั้นก็ให้พี่สาวเถอะ บ้านเราก็ไม่กินของพวกนี้” โจวกุ้ยหลานเข้าใจความหมายของเหล่าไท่ไท่ ดังนั้นจึงรับปากทันที
ข้าวโพดพวกนี้เอาไปให้เร็วหน่อยก็ดี พี่สาวจะได้กินอิ่ม แล้วนางก็จะได้กินข้าวสารด้วย
เหล่าไท่ไท่ดีอกดีใจ บุตรสาวคนเล็กของตนช่างมีน้ำใจคุณธรรม ดูสิยังยินดีแบ่งธันยพืชของตัวเองให้พี่สาวคนโตอีก
“แล้วพี่รองล่ะ?”
โจวกุ้ยหลานถาม
“นังเด็กนั่นไม่ต้องสนใจไปหรอก ปีนี้ทั้งปียังไม่กลับมาดูดำดูดีสักครั้ง กลัวแต่พวกเราจะเอาอะไรจากนาง! เที่ยวนี้ข้าส่งชิวเซียงไป ยังเอาธันยพืชให้นาง นางยังไม่ยินดียินร้ายเลย”
ครั้นเหล่าไท่ไท่คิดถึงบุตรสาวคนรองของตัวเองก็พลันรู้สึกคับใจ
เกรงว่าตอนนี้บุตรสาวคนรองคงหวังว่านางจะไม่เข้าตำบล!
“ผู้ชายบ้านนางเดือนหนึ่งมีรายได้สองตำลึง นางเองก็เรียนเย็บปักถักร้อยหาเงิน ใช้ชีวิตครอบครัวผ่านไปได้”
เจ้ารองฉลาดปานนั้น จะไม่ให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีหรือ?
สงสารแต่บุตรสาวคนโตของตัวเอง!
โจวกุ้ยหลานคร้านจะสอดปากเรื่องพวกนี้ กินโจ๊กกับอาหารในถ้วยของตัวเอง
เหล่าไท่ไท่ก็คีบกับข้าวเข้าปากด้วย ชิมคำหนึ่ง จากนั้นก็เดาะปาก “นี่กับข้าวโรงเตี๊ยมเทียนเซียงยังไม่อร่อยเท่าเจ้าทำเลย!”
“อาหารที่ข้าทำสู้ครัวของโรงเตี๊ยมเทียนเซียงไม่ได้หรอก” โจวกุ้ยหลานตอบ
“ทำไมจะสู้ไม่ได้? เจ้าทำอร่อยกว่าตั้งเยอะ!” เหล่าไท่ไท่ค้าน
อาหารที่บุตรสาวคนเล็กของตัวเองทำอร่อยที่สุด!
คงเป็นเพราะรักคนหนึ่งจึงรักทุกอย่างของคนผู้นั้น
โจวกุ้ยหลานลอบคิดในใจ ตอนนี้ไม่ถกเรื่องนี้กับเหล่าไท่ไท่แล้ว ประเดี๋ยวกินสองสามคำเสร็จก็นั่งพักบนม้านั่ง