นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 171 ว่าจ้าง (ต้น)
ตอนนี้นางเคยชินกับชีวิตชนบทนี่แล้ว ไม่อยากถูกดึงเข้าไปร่วมกลเกมแผนร้ายอะไรทั้งสิ้น ด้วยสติปัญญาน้อยๆ ของนาง อย่างมากก็ทำให้ตัวเองอยู่สุขสบาย ถ้าต้องต่อสู้ช่วงชิงเหมือนกับการต่อสู้ในวังหลวงหรือคฤหาสน์เหมือนละคร กลัวแต่ตัวเองคงต้องตายชนิดไม่เหลือซากแน่
เมื่อเห็นนางไม่ถามต่อ สีหน้าสวีฉางหลินจึงกลับสู่ความปกติ
เมื่อก่อนตอนเรียนวาดภาพก็ลำบากไม่น้อย ตอนนี้สามารถช่วยภรรยาวาดแผนภาพบ้านได้ก็คุ้มค่าแล้ว
อื่ม คุ้มค่ามาก
“พวกเจ้ามีความเห็นอะไรกับเรื่องนี้ไหม?”
โจวกุ้ยหลานวางแผนภาพไว้บนโต๊ะให้สองพ่อลูกดู
เจ้าก้อนน้อยเอามือเล็กยัดเข้าปาก สวีฉางหลินที่อยู่ข้างๆ พลันตีไหล่เขา “ไม่ได้!”
เจ้าก้อนน้อยเอามือออกตาละห้อย แล้วมองดูแผนภาพอีกครั้ง เห็นบ้านในนั้นแล้วก็ดีใจ
“ชอบ!”
“แต่เข้าออกไม่สะดวก” สวีฉางหลินมองภาพแล้วเสนอความคิดของตน
โจวกุ้ยหลานก้มหน้ามองอีกครั้ง เหมือนจะจริงแฮะ บ้านหลังนี้นอกสามชั้น ในสามชั้น แน่นเกินไป
“อย่างนั้นก็รื้อกำแพงตรงแปลงผักตรงกลางออก แล้วเหลือตรงข้างนอก อย่างไรคนอื่นก็มองไม่เห็น ใช่ไหม?”
โจวกุ้ยหลานเอ่ย กากบาทตรงกำแพงตรงกลาง
“ได้”
“อย่างนั้นก็เอาตามนี้ นี่ก็คือบ้านของเราในอนาคต ตรงนี้คือห้องนอนหลัก ต้องมีห้องอาบน้ำ ต้องมีห้องน้ำด้วย ข้างนอกพวกเราทำบ่อแก๊ส”
โจวกุ้ยหลานกล่าวพลางสะกิดสวีฉางหลิน “วาดสิ”
สวีฉางหลินมึนๆ งงๆ ไม่เข้าใจว่าสิ่งใดคือบ่อแก๊ส ได้แต่วาดวงกลมตามที่ภรรยาตัวน้อยของตนบอก
อื่ม แบบนี้ก็ใช้ได้แล้ว
“เอาล่ะ อย่างนั้นขั้นแรกของบ้านเราก็เรียบร้อย ต่อไปมีเงินแล้วพวกเราค่อยทำต่อ” โจวกุ้ยหลานหยิบผ้าขาวขึ้นแล้ว ลูบขอบมุมให้เรียบพร้อมกับประกาศ
หนึ่งครอบครัวสามชีวิตดีใจกับแบบแปลกๆ ราวกับบ้านหลังนี้สร้างสำเร็จแล้ว
“บ้านหลังนี้คิดเสร็จแล้ว แต่แสงสว่างนี่สิ กลัวว่าจะไม่พอ”
พอโจวกุ้ยหลานคิดเรื่องนี้แล้วก็อดพูดขึ้นไม่ได้
บ้านหลังเดิม ตอนกลางวันต่อให้เปิดประตูหน้าต่างหมด แต่ก็ยังไม่สว่างอยู่ดี แต่ตอนนี้บ้านของเขาใหญ่ขนาดนี้ ถ้าแสงไม่ดีจะทำอย่างไร?
ยุคนี้ไม่มีกระจกอะไรหรือ!
“ซื้อกระเบื้องใส” สวีฉางหลินเอ่ย
“กระเบื้องใส? ตอนนี้มีกระเบื้องใสด้วยหรือ?” โจวกุ้ยหลานทึ่ง
นางเคยเห็นกระเบื้องใสในอดีตชาติ ปกติไม่ใช่ว่าทำจากกระจกหรือพลาสติกหรือ? ยุคสมัยนี้ก็ทำกระจกหรือพลาสติกแล้ว?
“เป็นของที่คนรวยมีอำนาจใช้กัน” สวีฉางหลินตอบ
คนรวยมีอำนาจ อย่างนั้นมิต้องแพงหูฉี่หรือ?
โจวกุ้ยหลานนึกถึงเงินสี่ร้อยตำลึงที่อยู่ใต้ดิน กังวลว่าจะไม่พอ เพราะบ้านหลังนี้ต้องใช้เงินมาก
“อย่างนั้นพวกเราสร้างบ้านก่อน ถึงตอนนั้นถ้ามีเงินเหลือค่อยไปซื้อกระเบื้องใสเถอะ” โจวกุ้ยหลานได้แต่ยอมถอย
นางเป็นคนยุคปัจจุบัน ให้ความสำคัญกับเรื่องแสงสว่างมาก ถ้าแสงไม่ดีก็จะอยู่ไม่สบาย
สวีฉางหลินไม่มีข้อคิดเห็นใดกับเรื่องนี้
ทั้งสองหารือกันอีกสองสามประโยค ตัดสินใจว่าหากจะสร้างบ้านหลังนี้ให้เสร็จภายในสามเดือน ต้องหาคนมาสร้างบ้านเร็วหน่อย
“ข้าว่านะ ในเมื่อเราจะสร้างบ้านหลังนี้ ก็ให้คนในหมู่บ้านมาทำเถอะ เราให้พวกเขาวันละแปดอีแปะ ขอแค่ทำเป็นก็มาได้ แล้วเราให้เงินค่าอาหารพวกเขาอีกวันละสองอีแปะ ให้พวกเขากลับไปกินข้าวที่บ้านเองแบบนี้จะสะดวกเราด้วย”
โจวกุ้ยหลานกล่าวความคิดของตัวเอง
ถ้าเป็นคนหมู่บ้านอื่น นางยังต้องทำอาหารสามมื้อเลี้ยง ยุ่งยากเกินไป พวกเขาก็เหนื่อยเหมือนกัน
คราวนี้ไม่เหมือนคราวที่แล้ว คนเยอะ อากาศก็หนาว
สวีฉางหลินก็กลัวว่าภรรยาของตนจะเหนื่อยเหมือนกัน จึงพลันรู้สึกว่าความคิดนี้ดี
“เรื่องนี้เราไม่ต้องไปตามทีละบ้านหรอก ปล่อยข่าวออกไป คนที่ยินดีมาก็มาบอกพวกเราก็พอ ถึงตอนนั้นพวกเราก็พาพวกเขาไปด้วยก็จบ จ่ายเงินพวกเขาทุกวัน” โจวกุ้ยหลานโบกมือใหญ่ เอ่ยความคิดของตัวเอง
หลังจากพวกเขาปรึกษาหารือกันเสร็จ กลางคืนก็นอนสนิท
ในความฝัน โจวกุ้ยหลานยืนอยู่ในบ้านสว่างโอ่โถงหลังใหม่ ดีใจเสียไม่มี
เช้าวันถัดมา ช่วงที่พวกเขาขึ้นเขาไปเผาถ่าน เหล่าไท่ไท่ก็พาหลิวเซียงไปทำสวน ส่วนนางก็พาเจ้าก้อนน้อยออกบ้าน ลงกลอนประตู แล้วไปบ้านของหวังโหยวเกิน
พอโจวกุ้ยหลานเข้าบ้านของหวังโหยวเกินก็เห็นอาสะใภ้ซิ่วเหลียนกำลังเลี้ยงหมูอยู่
“อรุณสวัสดิ์อาสะใภ้ซิ่วเหลียน”
พอซิ่วเหลียนหันมาเห็นโจวกุ้ยหลานก็ตักอาหารใส่รางอาหารแล้วเอ่ยเสียงเย็น “อาเกินเจ้ากำลังหักข้าวโพดอยู่ที่ห้องโถง”
“ขอบคุณอาสะใภ้ซิ่วเหลียน”
โจวกุ้ยหลานไม่สนใจท่าทีของนาง รับคำแล้วเข้าเรือนไป
มองไปก็เห็นหวังโหยวเกิน
หวังโหยวเกินก็เห็นนางด้วย รีบกวักให้นางมานั่ง แล้วถามไถ่สารทุกข์สุกดิบช่วงนี้ โจวกุ้ยหลานตอบกลับไปหมด
ผ่านไปพักใหญ่หวังโหยวเกินจึงเอ่ยกับนาง “เจ้าก็ทำใจให้สบายหน่อยเถอะ บ้านหลังนั้นไหม้ไปแล้วก็เอาคืนมาไม่ได้ เจ้ากับฉางหลินยังหนุ่มยังแน่น ต่อไปยังจะสร้างบ้านได้อีก”
“ท่านอา ที่ข้ามาวันนี้ก็จะมาคุยเรื่องบ้านนี่แหละ” โจวกุ้ยหลานยิ้มตอบ
หวังโหยวเกินได้ยินก็รีบถาม “ทำไมหรือ?”
“ข้าปรึกษากับฉางหลินแล้ว ฉวยตอนที่ยังพอมีเงินอยู่ พวกเราอยากจะสร้างบ้านใหม่บนเขาอีกครั้ง”
“อะไร? ทำบ้านใหม่อีก?” หวังโหยวเกินตกใจร้องเอ่ย
โจวกุ้ยหลานลูบหัวเจ้าน้อย ตอบ “พวกเราจะเอาแต่อยู่บ้านแม่ก็ไม่ได้ ลูกสาวที่แต่งงานแล้วจะอยู่ดูโคมไฟที่บ้านแม่ในวันสิ้นปีไม่ได้ อย่างนั้นวันสิ้นปีพวกเราสามคนจะไปที่ไหนเล่า? จะกลับไปอยู่เรือนไม้ไผ่นั่นก็ไม่ได้กระมัง?”
“มีเหตุผล” หวังโหยวเกินพยักหน้า แล้วสีข้าวโพดต่อ
“ข้าก็อยากรีบสร้างบ้านนี่แหละ แบบนั้นจะได้ไม่ต้องกลัวอะไร แต่คนสร้างบ้านใหม่หายาก นี่ก็เลยมาขอให้อาเกินช่วยอยู่นี่อย่างไร?”
โจวกุ้ยหลานเอ่ยพลางยกยอหวังโหยวเกิน
“ตอนนี้ทุกบ้านก็ไม่มีงานทำสวนทำไร่แล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครสมัครใจไปช่วยพวกเจ้าหรือเปล่านะสิ อย่างไรฉางหลินก็ไม่ใช่คนในหมู่บ้านเรา แล้วเจ้าก็ยังแต่งออกอีก แถมยังไปสร้างบ้านบนภูเขาด้วย” หวังโหยวเกินเอ่ยข้อลำบาก
โจวกุ้ยหลานย่อมตระหนักในเรื่องนี้ เพราะสร้างบ้านคราวที่แล้วก็เป็นอย่างนี้ไม่ใช่หรือ สุดท้ายทุกคนก็ให้รอเปล่า
“ข้าไม่ได้จะหาคนช่วยสร้างบ้าน แต่จะจ้างคนสร้างบ้าน ขอเพียงไม่แอบอู้งาน ตั้งใจ ข้าจะให้วันละแปดอีแปะ” โจวกุ้ยหลานเสนอความคิดของตน
“แปดอีแปะ?” ข้าวโพดพลันร่วงลงจากมือหวังโหยวเกิน
พอๆ กับที่คนจำนวนหนึ่งไปทำงานในตำบลทั้งวันเลย และนั่นยังไม่ใช่จะไปทำได้ทุกบ้านด้วย ยังต้องเป็นคนมีลู่ทางมีความสามารถ อีกอย่าง หนทางไปตำบลยาวไกล ไปมาหลายชั่วยาม ต่อให้นั่งรถม้า ไปมาก็หลายอีแปะ ใครจะยอมจ่าย?