นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 179 เมื่อคืนเหนื่อยเกินไป
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 179 เมื่อคืนเหนื่อยเกินไป
ระหว่างนั้นผู้ใหญ่บ้านยังมาปรึกษาบางเรื่องกับโจวกุ้ยหลาน โจวกุ้ยหลานหารือตัดสินใจกับเขาทีละเรื่อง จากนั้นก็มอบเงินสี่สิบอีแปะให้เขาทันที บอกว่าเป็นค่าแรงสำหรับสองวัน
หวังโหยวเกินโบกไม้โบกมือ “จะได้อย่างไร? นี่ยังไม่ได้เริ่มงานเลย เจ้าเก็บไว้ก่อนเถอะ!”
“ท่านอา สองวันนี้ท่านก็ช่วยข้ามากมาย จะให้ท่านเหนื่อยเปล่าได้อย่างไร เงินนี่ท่านรับไว้เถอะ ถือว่าเป็นค่าแรงสองวันนี้ของท่าน ท่านอย่าว่าน้อยนะ” โจวกุ้ยหลานเอ่ย ทั้งยังยัดเงินใส่มือเขา
สองวันนี้เขาก็ไม่ได้อยู่เฉย ยุ่งเรื่องนั้นเรื่องนี้ พอตอนนี้โจวกุ้ยหลานให้เงิน เขาจึงรู้สึกสุขใจเป็นอย่างยิ่ง บอกปัดนิดหน่อยก็รับไว้แล้ว
“พรุ่งนี้พวกเขาจะมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง พวกเราจะเริ่มสร้างบ้านหลังนี้แล้ว ไม่รู้ว่าเจ้ามีเงินพอหรือไม่?”
หวังโหยวเกินถาม
อย่างไรเสียเมื่อวานนางก็จ่ายไปตั้งห้าตำลึง เมื่อคืนมีคนนอนไม่หลับมาถามที่บ้านเขาด้วย
“ตอนนี้ยังพอ ท่านอาไม่ต้องเป็นห่วง” โจวกุ้ยหลานมอบความอุ่นใจให้หวังโหยวเกิน
หวังโหยวเกินโล่งอก พลันรับปากว่าพรุ่งนี้เช้าทุกคนจะมาช่วยงาน
สวีฉางหลินกับโจวต้าไห่ส่งเขาออกบ้าน จากนั้น ทุกคนก็กินข้าว จัดการตัวเองให้เรียบร้อย แต่ขณะกำลังจะเข้านอนก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังมา
ไม่นานก็ได้ยินว่ามีคนคุยกัน มีคนร้องไห้ โจวกุ้ยหลานออกห้องตัวเองมาดู เห็นไป๋เย่จื่อกับโจวต้าไห่ยืนอยู่ปากประตู ไป๋เย่จื่อร้องไห้ทุบอบโจวต้าไห่ จากนั้นก็ร้องไห้แล้ววิ่งไป
เห็นภาพนี้แล้ว โจวกุ้ยหลานก็ส่ายหน้า
ชายมั่นรัก หญิงไร้คู่…
นางดึงสายตากลับ ขณะคิดจะปิดประตูห้องตัวเองก็เห็นสองศีรษะโผล่ออกมาจากประตูห้องเหล่าไท่ไท่ นางสะดุ้งในใจ ครั้นมองดูอีกทีถึงเห็นชัดว่าเป็นเหล่าไท่ไท่กับหลิวเซียงแอบดูทางนี้อยู่ในห้อง
คนหลอกคน คนตกใจหมดเลย!
โจวกุ้ยหลานตบๆ หัวใจดวงน้อยๆ ที่กำลังระส่ำระสาย ปิดประตู แต่พอหันมาก็เกือบชนเข้าอ้อมอกของสวีฉางหลินอีก
นางรีบตบหัวใจดวงน้อยของตัวเองอีกครั้ง “ไอ้หยา จะตกใจตายแล้ว!”
สองครั้งแล้ว แค่แพล็บเดียวนางก็ตกใจสองครั้งแล้ว
“ถูกใครทำให้ตกใจหรือ?” สวีฉางหลินถาม แล้วเอื้อมมือไปประคองบ่าของโจวกุ้ยหลาน
โจวกุ้ยหลานปัดมือไม่อยู่สุขที่เขายื่นมือ มองเขา “เจ้าไม่รู้จริงหรือ?”
“ไม่” สวีฉางหลินตอบ แล้วเอื้อมมือมาหาโจวกุ้ยหลานอีก
โจวกุ้ยหลานปัดมือเขาออกอีกครั้ง คลานขึ้นเตียง กอดเจ้าก้อนน้อยที่กำลังแย้มยิ้มกับนาง นอนอยู่ฝั่งใน
ต่อให้สวีฉางหลินเคืองใจอย่างไรก็ยังต้องนอนอยู่ข้างนอก และมีเจ้าก้อนน้อยคั่นอยู่ตรงกลาง
“เสน่ห์พี่ชายเราไร้ที่สิ้นสุดจริงๆ หนี้รักเนี่ย คงต้องชดใช้ตลอดชีวิตแล้ว” โจวกุ้ยหลานนึกถึงภาพที่เห็นเมื่อครู่ อดพูดขึ้นมาไม่ได้
อย่างนี้แล้ว มารดานางยังกลัวว่าพี่ชายนางจะแต่งสะใภ้ไม่ได้อีก?
“พี่ทำเจ้าตกใจหรือ?” สวีฉางหลินได้ยินถ้อยคำของภรรยาแล้วจึงไล่ถามต่อ
“นอนๆ พรุ่งนี้ยังต้องตื่นทำงานแต่เช้าอีก” โจวกุ้ยหลานไม่คิดสนทนากับเขา อยากนอนเร็วๆ เท่านั้น
สนทนาแบบนี้จะลำบากเกินไปแล้ว!
สวีฉางหลินกอดภรรยากับลูกไว้ในอกอย่างที่ทำเป็นประจำ เป่าลมกับตะเกียงน้ำมันก่อนจะนอนลงแล้วหลับใหล
หลับตื่นเดียวถึงสว่าง
โจวกุ้ยหลานตื่นมามองดู ท้องฟ้าจวนจะสว่างแล้ว นางรีบลุกขึ้นนั่ง เห็นตรงที่สวีฉางหลินนอนว่างเปล่า
“เกินไปแล้ว ไม่ปลุกข้า!” โจวกุ้ยหลานบ่นด้วยความโกรธ แล้วรีบเอาเสื้อผ้ามาใส่
เจ้าก้อนน้อยที่นอนอยู่ตรงกลางถูกลูกคอมารดาตนปลุกให้ตื่น มือน้อยๆ ขยี้ตาลุกขึ้นนั่ง มองมารดาตนสวมใส่เสื้อผ้าอย่างสะลึมสะลือ เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้วเขาจึงเอื้อมมือไปหยิบเสื้อผ้ามาใส่ด้วย
ครั้นเห็นท่าทางของเขา โจวกุ้ยหลานก็กดมือเขาไว้ เอ่ย “ถ้าเสี่ยวเทียนง่วงก็นอนต่อเถอะ ข้าตื่นเพราะมีงานต้องทำ ฟ้ายังไม่สางเลย”
เมื่อได้ยินมารดาว่าอย่างนี้ เจ้าก้อนน้อยก็ผงกหัว นอนลงแล้วบังคับดวงตาให้หลับต่อ
โจวกุ้ยหลานจัดการตัวเองด้วยความรวดเร็วแล้วเดินออกไป ในบ้านไม่มีใครสักคน นางสาวท้าวไปที่ห้องครัว เห็นว่าในนั้นมีโจ๊กถ้วยหนึ่งกับปิ่งอันหนึ่ง แล้วยังวางอุ่นอยู่ในเตาด้วย
นี่ไปกันหมดแล้วหรือ?
ทำไมไม่เรียกนาง? แม้แต่มารดาของนางก็ไม่เรียกนาง!
คิดแล้วโจวกุ้ยหลานก็กัดปิ่งในมือแรงๆ กินด้วยความรวดเร็วราวกับเป็นการระบายอารมณ์ โจ๊กถ้วยนั้นก็กินจนหมดด้วย หลังจากล้างถ้วนจนสะอาดก็รีบขึ้นเขา
พอนางไปถึงบนภูเขา ฟ้าก็สว่างโร่แล้ว
โจวกุ้ยหลานเห็นสวีฉางหลินร่วมกับคนในหมูบ้านกำลังเก็บของในบ้านที่ถูกเผาไปเมื่อคราวที่แล้ว ส่วนเหล่าไท่ไท่กับหลิวเซียงกำลังต้มอะไรอยู่ที่หน้าเตา
นางเดินเร็วเข้าไป เอ่ยกับเหล่าไท่ไท่ด้วยความขุ่นเคือง “ท่านแม่ ทำไมไม่ปลุกข้าในวันสำคัญอย่างนี้เล่า?”
เหล่าไท่ไท่เหลือบมองนางแวบหนึ่ง “ตัวเองตื่นสายยังมาโทษข้า? ฉางหลินบอกว่าเมื่อวานเจ้าเหนื่อย ให้เจ้านอนมากหน่อย ไม่อย่างนั้นข้าจะให้เจ้าตื่นสายอย่างนี้หรือ?”
นี่เป็นเพราะลูกเขยเป็นคนดีหรอก ถ้าเป็นคนอื่น มีหรือจะดีอย่างนี้?
หลิวเซียงที่อยู่ข้างๆ ทักทายโจวกุ้ยหลานคำหนึ่ง โจวกุ้ยหลานก็ขานกลับ จะพูดอะไรก็ไม่ได้ เพราะนางรู้ผิด
“กุ้ยหลานมาแล้ว?” ในจุดไม่ไกล ผู้ใหญ่บ้านเห็นโจวกุ้ยหลานอยู่ทางนี้จึงตะโกนทักทาย
โจวกุ้ยหลานมองไป แล้วรีบทักทายกลับ “สวัสดีตอนเช้าท่านอา!”
“ไม่เช้าแล้ว พวกเรามาทำงานหนึ่งชั่วยามกว่าแล้ว ฉางหลินบอกว่าเมื่อคืนเจ้าเหนื่อย อยากให้เจ้าพักมากหน่อย” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ย แล้วมองไปทางสวีฉางหลินที่อยู่ข้างๆ
ครั้นผู้ชายคนอื่นๆ ได้ยินต่างก็ส่งสายตาหากัน ฉายสีหน้าถึงบังอ้อ ตามติดๆ ด้วยหัวเราะชอบใจ
โจวกุ้ยหลานมักรู้สึกว่าคำพูดนี้ทะแม่งๆ แถมผู้ชายพวกนั้นหัวเราะอย่างนั้นก็แปลกๆ ด้วย…
โจวกุ้ยหลานมองสวีฉางหลิน เห็นเขากำลังหันหลังให้ ไม่มองนาง
หรือตานี่จะพูดอะไรแปลกๆ?
ขณะที่นางกำลังคิด หวังโหยวเกินก็ตบๆ บ่าของสวีฉางหลิน เผยรอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้ง
โจวกุ้ยหลานมุมปากกระตุก
ท่าทางรู้อยู่แก่ใจของพวกเขานี้ช่างชวนให้คนอดคิดเชื่อมโยงไม่ได้
เมื่อคืนเหนื่อยมาก กลางคืนนางยังจะทำอะไรให้เหนื่อยได้อีก? มิใช่มีแต่การออกกำลังบนเตียงหรือ?
เมื่อคิดได้ โจวกุ้ยหลานก็หรี่ดวงตา จ้องแผ่นหลังของสวีฉางหลินเขม็ง
เจ้าหมอนี่ ถึงกับกล้าสร้างข่าวข้างนอกนะ!
อยากตีเขาให้ตายจังเลย!
ระหว่างคิดก็มีคนตีหลังตัวเอง ครั้นนางหันไปมองก็เห็นเหล่าไท่ไท่กำลังจ้องนางอยู่ “ยืนทำอะไร รีบทำงานสิ!”
โจวกุ้ยหลานเบะปาก “สวีฉางหลินใส่ความข้าอยู่ข้างนอก ท่านไม่ช่วยข้าว่าเขาหน่อยเล่า มีแต่จะข่มข้า!”
“เขาใส่ความเจ้าตั้งแต่เมื่อไร?”
“ก็…ก็เขาบอกว่าเมื่อคืนอะไรนั่นอย่างไร!” โจวกุ้ยหลานกล่าวพลางเหนียมอาย แต่พอนึกถึงเรื่องนี้แล้วนางก็หงุดหงิด
เหล่าไท่ไท่เหล่มองนาง “นี่ไม่ใช่ชีวิตของพวกเจ้าสองคนหรือ? ใส่ความเจ้าอย่างไร?”