นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 191 ข้ามีเงินมากขนาดนั้นที่ไหน
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 191 ข้ามีเงินมากขนาดนั้นที่ไหน?
“พี่สะใภ้ใหญ่ บ้านนางนั่นต้องใช้เงินขนาดนั้นที่ไหนกัน?” เหล่าไท่ไท่เอ่ยแทรก
บุตรสาวมีเงินเท่าไรนั่นก็เป็นเรื่องของนาง นางไม่อยากให้คนอื่นร่วมรู้ด้วยหรอก
หลี่ซิ่วยิงไม่พอใจพลันเอ่ย “ข้าก็ไม่ใช่ห่วงกุ้ยหลานหรือ เรื่องนี้ยังจะปิดข้าที่เป็นป้าใหญ่อะไรอีก?”
“เจ้าถามอะไร ห่อเกี๊ยว!” โจวต้าซานโมโหตวาดนางทีหนึ่ง
หลี่ซิ่วยิงไม่พอใจอย่างไรตอนนี้ก็ไม่กล้าพูดอีก ไม่อย่างนั้นสามีจะลงมือลงไม้กับนางจริงๆ
เงียบสักที
โจวกุ้ยหลานบ่นในใจ
พวกเขาเอ่ยถึงเรื่องอื่นอีก ไม่นานก็เอ่ยถึงโจวชิวเซียง
หลี่ซิ่วยิงขมวดคิ้ว “นังเด็กนี่ไปได้สองสามเดือนแล้ว ทำไมไม่เห็นกลับมาหาข้าบ้าง ฝากคนในหมู่บ้านไปบอกก็ไม่ตอบกลับ!”
“นี่วันก่อนวันส่งท้ายปีก็ไม่กลับมา ก็คงจะอยู่สบายที่บ้านพี่ซ่านเย่ไม่คิดกลับมาแล้วกระมัง” ซานเฉียงเอ่ยต่อ
เหล่าไท่ไท่ก็รู้สึกแปลกกับเรื่องนี้ ตามหลัก ด้วยนิสัยขี้เหนียวของบุตรสาวคนรองของนาง น่ากลัวว่าไม่ถึงสองวันก็บีบให้ชิวเซียงกลับมาแล้ว ทำไมหลายเดือนแล้ว นังเด็กนี่ยังไม่กลับมาอีก?
“นี่ข้าก็ไม่ได้กลับมาเยี่ยมพวกท่านแล้วหรือ? ท่านพ่อ ท่านแม่ ทำไมพวกท่านอยู่ที่นี่ล่ะ?”
เสียงของชิวเซียงดังขึ้นที่ปากประตู ทุกคนต่างได้ยินจึงหันไปมอง เห็นโจวชิวเซียงเดินเข้ามาจากนอกประตู
โจวกุ้ยหลานเหลือบไปมอง เห็นนางใส่ผ้าพันคอขนจิ้งจอกกับปลอกแขน เสื้อผ้าก็น่ากลัวว่าจะทำจากหนังอะไร
โอ้โฮ นี่รวยแล้วหรือ?
“ไอ้หยาชิวเซียงของข้า! เจ้ากลับมาได้สักที!” หลี่ซิ่วยิงโพล่งปาก ผุดลุกขึ้นยืนแล้วสาวเท้าเดินไปประคองชิวเซียง มองสำรวจนางทั่วตัว
“ชิวเซียงของข้า ข้าคิดถึงเจ้าจะตายอยู่แล้ว!” กล่าวพลางเอื้อมมือไปกอดโจวชิวเซียง
ชิวเซียงตบๆ ที่ตัวของมารดา แล้วเอ่ยกับนาง “ท่านแม่ ข้าก็คิดถึงท่านเหมือนกัน!”
โจวต้าซานที่อยู่ข้างๆ กรอบตาแดงเล็กน้อย วางเกี๊ยวในมือแล้วเดินไป
อย่างไรก็เป็นบุตรที่เลี้ยงดูอยู่ข้างกายสิบกว่าปีของตัวเอง ไม่กลับมาหลายเดือน เขาก็อาลัยหาเหมือนกัน แต่เขาเป็นผู้ชาย ดังนั้นจึงค่อนข้างเก็บอารมณ์มาก
ผ่านไปนานเขาถึงเค้นคำพูดออกมาประโยคหนึ่ง “กลับมาก็ดี”
คนอื่นก็ทักทายชิวเซียงทีละคนด้วย โจวกุ้ยหลานทักทายนางอย่างชืดๆ ทว่าชิวเซียงกลับเมินนางเสีย แล้วหันไปมองสวีฉางหลินแทน เรียกสวีฉางหลินทีหนึ่ง “พี่ฉางหลิน” สวีฉางหลินทำเป็นไม่ได้ยิน
ทำไมเขาต้องสนใจคนที่ไม่สนใจภรรยาตัวน้อยของเขาด้วย?
โจวกุ้ยหลานเห็นแล้วก็อารมณ์ดีมากขึ้น มอบสายตาชื่นชมให้สวีฉางหลินทีหนึ่ง
ชิวเซียงเห็นดังนั้นก็กัดริมฝีปากล่าง ทำท่าน้อยเนื้อต่ำใจ
“ยืนอยู่ที่ปากประตูทำไม? หนาวอย่างนี้ เจ้ารีบเข้าบ้านมาสิ ปิดประตูด้วย” เหล่าไท่ไท่เอ่ย แล้วยกเก้าอี้ออกมาตัวหนึ่ง
ชิวเซียงปฏิเสธ “ข้าเอาของกลับมาเยอะ กองอยู่ที่ประตูบ้านเรา ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกเรากลับไปด้วยกันเถอะ”
บุตรสาวของตัวเองกลับมา หลี่ซิ่วยิงกับโจวต้าซานย่อมดีใจอยู่แล้ว ดังนั้นจึงรีบตามไป
หวังหยู่ชุนดูจากลักษณะของนาง ดวงตาล่อกแล่ก จึงพาเอ้อร์เฉียงและลูกทั้งสามเร่งเดินไปทางบ้านพวกเขา
“ซานเฉียง เจ้ายังไม่รีบกลับบ้านอีก ไปอยู่เป็นเพื่อนน้องสาวเจ้ามากๆ สิ” เหล่าไท่ไท่เห็นซานเฉียงยังอยู่ห่อเกี๊ยวที่นี่คนเดียว จึงเอ่ยกับเขา
“ข้ายังอยากกินเกี๊ยวนะ” ซานเฉียงไม่อยากไป
น้องสาวมีอะไรน่าดู? ดูมาสิบกว่าปีแล้ว อีกอย่าง ดูจากท่าทางเมื่อครู่ของนาง รูจมูกจะชี้ฟ้าอยู่แล้ว เขาไม่อยากกลับไปให้รังแกหรอก!
เหล่าไท่ไท่ได้ยินแล้วก็หัวเราะ พลันเอ่ย “เดี๋ยวข้าจะเอาไปให้พวกเจ้า เจ้ารีบกลับไปเถอะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวพ่อแม่เจ้ายังต้องมาตามเจ้าอีก”
คิดแล้วก็จริง ดังนั้นซานเฉียงจึงวางมือ กล่าวลากับพวกเขาแล้วกลับ
จางเสี่ยวจุ๋ยลังเลพักหนึ่ง แต่ก็ยังกล่าวลาพวกเขาและจากไปด้วย
โจวต้าไห่สาวเท้าเดินไปที่ข้างประตู ปิดประตูห้องโถง แล้วกลับมาห่อเกี๊ยวต่อ แต่ถูกโจวกุ้ยหลานห้ามไว้
“ล้างมือแล้วค่อยแตะของกิน”
“ไม่เป็นไร ข้าไม่ได้จับของสกปรกสักหน่อย”
กล่าวจบก็ยื่นมือไปที่แผ่นเกี๊ยว
โจวกุ้ยหลานตีมือเขาทีหนึ่ง พลันเอ่ย “ท่านยังรักสะอาดไม่เท่าเสี่ยวเทียนเลย!”
ฝั่งเสี่ยวเทียนเสริมอย่างให้ความร่วมมือ “น้าชายซกมก”
ถูกเด็กหัวเราะเยาะเย้ยแล้ว โจวต้าไห่จึงจนปัญญา ได้แต่ไปล้างมือด้านหลังอย่างเป็นเด็กดี
เหล่าไท่ไท่มองแผ่นหลังที่จากไปของโจวต้าไห่ “มีแต่เจ้านั่นแหละที่พิถีพิถัน!”
“หรือว่ามีแต่คนรวยที่พิถีพิถันได้? พวกเราคนจนก็รักความสะอาดไม่ได้หรือ?” โจวกุ้ยหลานคัดค้าน ครั้นเห็นแผ่นเกี๊ยวใกล้จะหมดจึงหยิบไม้คลึงแป้งขึ้นมาคลึงแป้ง
เหล่าไท่ไท่ต่อปากไม่ได้ จึงได้แต่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป
“ทำไมชิวเซียงถึงมีปัญญาใส่เสื้อผ้าดีอย่างนั้นได้นะ? พี่สาวรองเจ้ายอมซื้อเสื้อผ้าดีอย่างนี้ด้วยหรือ?”
ครั้นเหล่าไท่ไท่เอ่ยถึงเรื่องนี้ ทุกคนก็นึกถึงการแต่งกายของโจวชิวเซียงเมื่อครู่
สวีฉางหลินที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น “ชุดทำจากหนังหมาป่า”
“หนังหมาป่าหรือ! ชุดนั้นสวยจริงๆ!” เหล่าไท่ไท่คิด อดบ่นไม่ได้
โจวกุ้ยหลานนึกถึงเสื้อผ้าที่เห็นเมื่อครู่ รู้สึกว่าชุดนั้นไม่เลวเหมือนกัน ขนจิ้งจอกก็ดูอุ่น ไม่เหมือนชุดนวมตัวนี้ของนางที่หนักอึ้ง
คิดแล้วนางก็ก้มหน้ามองเสื้อผ้าตัวเองแวบหนึ่ง อื่ม ตอนนี้นางมิใช่ลูกบอลหรือ?
แต่นี่ก็โทษนางไม่ได้ อากาศหนาวอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่ว่ามีเตาผิงไฟ นางยังไม่กล้าโผล่มือออกมาเลย
“ดูเจ้าใส่เสื้อผ้าสิ คนเขาพูดว่าเจ้ามีหลายร้อยตำลึงอยู่ทุกวี่วัน ทำไมไม่เห็นเจ้าใส่ที่ดีหน่อยบ้าง!” เหล่าไท่ไท่มองชุดโจวกุ้ยหลานพร้อมเอ่ยด้วยความรังเกียจ
โจวกุ้ยหลานเบะปาก “ใครบอกว่าข้ามีหลายร้อยตำลึง? ข้ามีเงินมากมายขนาดนั้นที่ไหน?”
ตีให้ตายนางก็ไม่ยอมรับหรอกว่าตัวเองมีเงิน!
ไม่แพร่งพราย ใครจะรู้?
ที่สำคัญกว่าคือ ตอนนี้นางไม่มีเงินมากขนาดนั้นนี่ นับจากสร้างบ้านหลังนี้จึงรู้ว่าอะไรคือใช้เงินดุจน้ำไหล แค่คนงาน เมื่อก่อนก็หลายตำลึงแล้ว ครึ่งเดือนนี่วันละสิบกว่าตำลึง กระเบื้องเอย หินเอย ฝุ่นหินอะไรอีก แถมยังช่างไม้เฉพาะทาง ทำลิ่มไม้อะไรนั่นด้วย โต๊ะ เก้าอี้ ม้านั่งก็เป็นเงินทั้งนั้น!
ถ้าไม่ใช่เพราะมีเงินจากการเผาถ่านของสวีฉางหลินประคับประคอง น่ากลัวว่านางต้องหมดตัวแล้วแน่ ที่สำคัญที่สุดคือ ไม้ที่ใช้ทำเครื่องเรือน นางยังเลือกวัสดุอย่างดี ของพวกนี้ไม่มีบนเขา ต้องซื้อมาจากตำบล
ตอนนี้ในมือนางมีแค่ไม่กี่สิบตำลึงเท่านั้น นี่ไม่ใช่เงินที่สวีฉางหลินได้มาในระยะนี้หรือ เงินของนางเมื่อก่อนหน้านี้หมดไปแล้ว
โจวต้าไห่กำลังเดินกลับมาก็ได้ยินโจวกุ้ยหลานเอ่ย มองนางแล้วพลันพูดขึ้นว่า “จะว่าไป กุ้ยหลานของเรายังไม่มีเสื้อผ้าดีๆ ใส่เลยจริงๆ”
“ก็นั่นน่ะสิ ท่านแม่ไม่เคยซื้อให้ข้า” โจวกุ้ยหลานโบ๊ยความผิดไปทางเหล่าไท่ไท่ทันที