นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 205 จะเสียเปรียบไม่ได้
“ดูอะไรกัน เรื่องของนางไม่ใช่เรื่องน่ายินดีอะไรเลย นางมันคนไร้ยางอาย แม้เจ้าจะอยู่ตรงนั้น นางจะรู้สึกอับอายหรืออย่างไร คนที่อับอายที่สุดคือท่านลุงของเจ้าต่างหาก เจ้าไม่เห็นหรือว่าเขาโกรธจนมีท่าทีอย่างไร”
ว่าแล้ว เหล่าไท่ไท่ก็ชะงักไป เผยความไม่พอใจออกมา “ท่านป้าของเจ้าคงจะดีใจมากที่ลูกสาวตั้งท้อง ถ้าเป็นอย่างนี้ก็สามารถแต่งงานกับเถ้าแก่เฉียนได้แล้ว”
เมื่อนึกถึงเรื่องวันนี้ที่หลี่ซิ่วยิงปกป้องโจวชิวเซียงเช่นนั้นเหล่าไท่ไท่ก็โมโหมาก ยังบอกว่าเป็นการใส่ร้ายโจวชิวเซียงด้วย
กุ้ยหลานของนางกลัวความหนาวขนาดนี้ นางเป็นบ้าหรืออย่างไรถึงพากุ้ยหลานของนางฝ่าอากาศหนาวมาใส่ร้ายชิวเซียงที่ไร้หัวใจ
คิดแล้วก็จริง สีหน้าของโจวต้าซานดูไม่ได้เลย
โจวกุ้ยหลานพยักหน้า “คนที่รักเกียรติศักดิ์ศรียิ่งนักจึงจะรู้สึกอับอายขายหน้า คนที่ไร้ยางอายจะรู้สึกขายหน้าได้อย่างไร”
สองแม่ลูกเดินอยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิด ทั้งสองก้าวเท้า เดินไปข้างหน้าพร้อมๆกัน โจวต้าไห่เดินตามอยู่ทางด้านหลังไม่ใกล้ไม่ไกลนัก หลิวเซียงอดทนต่อความเจ็บปวดเดินตามเป็นคนสุดท้าย
ทั้งหมดกลับไปที่บ้านตระกูลโจว ผลักประตูออก ลมอุ่นสายหนึ่งพัดเข้ามาปะทะใบหน้า
โจวกุ้ยหลานรีบกลับเข้าไปในเรือนทันที รีบเดินไปนั่งลงข้างเตาไฟอย่างรวดเร็ว ยื่นมือไปอังข้างๆเตาไฟ
สวีฉางหลินที่นั่งอยู่ข้างๆเห็นดังนั้น ก็รีบวางตอกไม้ไผ่ในมือลง ลุกขึ้นไปเทน้ำร้อน
เหล่าไท่ไท่หันไปปิดประตู โจวต้าไห่รีบเดินเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว
ถลึงตาให้ลูกชายตนเองแวบหนึ่ง เหล่าไท่ไท่จะปิดประตูอีกครั้ง ก็เห็นว่ามีข้างหนึ่งของหลิวเซียงได้จับประตูไว้แล้ว
เมื่อเห็นว่าเป็นนาง เหล่าไท่ไท่ก็โกรธมาก ดุนางขึ้นมาทันที “เจ้าจะกลับมาทำไม คนอกตัญญู ไปใช้ชีวิตดีๆของเจ้าเถอะไป”
ว่าแล้ว ก็จะปิดประตูอีก หลิวเซียงที่อยู่ข้างนอกตกใจ รีบคุกเข่าลงทันที ร้องไห้จนน้ำมูกน้ำตาไหลเป็นทาง วิงวอนต่อเหล่าไท่ไท่
“ท่านป้าเหมยฮวา ข้าผิดไปแล้ว ข้ารู้ว่าข้าผิดไปแล้ว ท่านให้อภัยข้าเถอะ”
เหล่าไท่ไท่ไม่มีทางใจอ่อนกับคนอกตัญญูเช่นนี้แน่ จึงปิดประตูทันที จากนั้นก็ได้ยินเสียงหลิวเซียงร้องไห้อย่างเจ็บปวดขึ้นมา
พอมองดูอีกที เอ๋ ประตูได้หนีบนิวของหลิวเซียวเอาไว้หนึ่งนิ้ว
นางเปิดประตูออก ตะคอกหลิวเซียงที่คุกเข่าอยู่กับพื้นนอกประตูว่า “ปล่อยมือ ไม่อย่างนั้นข้าจะปิดประตูหนีบนิ้วเจ้าให้ขาดเลยทีเดียว”
“ท่านป้าได้โปรดให้ข้าเข้าไปเถอะ ให้อภัยข้าด้วย ข้าไม่กล้าแล้ว ข้าไม่กล้าทำอีกแล้ว พี่กุ้ยหลานก็ไม่ได้เป็นอะไรไม่ใช่หรือ ข้ายังไม่ได้ทำร้ายนางเลย”
คำพูดนี้ทำเอาสวีเหมยฮวาโกรธแทบตาย ลงมือทุบตีไล่หลิวเซียงออกไปทันที
สวีฉางหลินที่อยู่ข้างๆยื่นน้ำร้อนที่เทเสร็จแล้วให้กับโจวกุ้ยหลาน โจวกุ้ยหลานรับไป ดื่มหนึ่งคำ ทันใดนั้นร่างกายก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา หันหน้าไปมอง ก็เห็นว่าโจวต้าไห่ยืนก้มหน้าอยู่กลางโถงบ้านไม่พูดไม่จา เหล่าไท่ไท่ที่อยู่หน้าประตูยังคงแกะมือของหลิวเซียงที่จับประตูเอาไว้
“เจ้าจะทำร้ายกุ้ยหลานหรือ”สวีฉางหลินได้ยินเข้า ก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หลิวเซียงที่อยู่ข้างนอกได้ยินเสียงนี้ ก็รู้สึกหนาวเย็นเข้าไปถึงกระดูก
แม้เหล่าไท่ไท่จะตบตีนางอย่างไร นางก็ไม่รู้สึกกลัวเท่าเสียงนี้เลย
นางตกใจจนร่างกายสั่นเทาไปหมด ไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไร มองไปทางโจวต้าไห่ เห็นเขายืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่ได้มองมาทางนางเลยแม้แต่น้อย
เหล่าไท่ไท่กำลังจะตอบคำถาม แต่ได้ยินเสียงของโจวกุ้ยหลานพูดขึ้นอย่างเรียบเฉยว่า “ท่านแม่ ท่านปล่อยให้นางเข้ามาเถอะ อยู่ข้างนอกนั่นตอนกลางคืน เกรงว่าจะหนาวตายอยู่ที่หน้าประตูบ้านเรา”
“ขอบคุณพี่กุ้ยหลาน ขอบคุณพี่กุ้ยหลาน”หลิวเซียงกล่าวขอบคุณอย่างดีใจ ยังโขกหัวให้กับโจวกุ้ยหลานอีกด้วย
เหล่าไท่ไท่กำลังจะพูดบางอย่าง ก็เห็นว่าลูกสาวตนเองขดตัวอยู่ข้างเตาผิง จึงไม่ได้พูดอะไรอีก เอ่ยขึ้นกับหลิวเซียงด้วยเสียงเย็นชาว่า “ไปปิดประตูลานบ้านก่อนค่อยเข้ามา”
ตอนนี้หลิวเซียงไหนเลยจะกล้าพูดอะไรอีก
รีบวิ่งออกไปปิดประตูลานบ้านทันที แล้วก็รีบวิ่งกลับมา เหล่าไท่ไท่ทำเสียงขึ้นจมูก เบี่ยงร่างหลบ นางเดินเข้าไปข้างในอย่างเชื่อฟัง ปิดประตูเรือนอย่างเรียบร้อยด้วย จากนั้นก็ยืนอยู่ตรงนั้นไม่กล้าเกินเข้าไปใกล้เตาผิง
ตอนนี้นางไม่กล้าหาเรื่องคนบ้านนี้อีกแล้ว
โจวกุ้ยหลานเหลือบมองนางแวบหนึ่ง เอ่ยเสียงเย็นว่า “ไปรอที่ห้องของเจ้าไป”
“ได้ได้”หลิวเสียงตอบรับทันที รีบกลับไปยังห้องของตนเอง และปิดประตูห้องด้วย ยืนอยู่ในห้องของตนเองด้วยร่างที่สั่นเทาเพราะความหนาว นางเดินไปข้างเตียงเตา เอาถ่านที่วางอยู่ก่อไฟในห้องขึ้นมา
พวกเขาให้นางเข้ามาในห้อง คงจะใจอ่อนแล้วกระมัง ไม่ว่าอย่างไรนางก็ยังไม่ได้ลงมือทำอะไร พวกเขาจะใจดำกับนางได้อย่างไร ช่วงนี้ก็ต้องทำงานให้ดี พวกเขาก็คงจะลืมเรื่องนี้ไปในไม่ช้า
ชีวิตยังคงสุขสงบดีอยู่ หลังจากนี้นางก็ยังคงมีข้าวให้กิน มีเนื้อให้กิน……
ในห้องโถง เมื่อหลิวเซียงไปแล้ว เหล่าไท่ไท่จึงเดินไปข้างเตาผิง ยกเก้าอี้มานั่งลง
สวีฉางหลินยื่นแก้วน้ำให้นาง จากนั้นก็เปิดปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง “หลิวเซียงคิดจะทำร้ายกุ้ยหลานหรือ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เหล่าไท่ไท่ก็โมโหมาก เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้เขาฟัง
ยิ่งฟัง สีหน้าของสวีฉางหลินก็ยิ่งดำคล้ำลง เพียงแต่ในห้องนี้ก็มืดอยู่แล้ว คนอื่นๆจึงมองไม่เห็น
เสร็จแล้ว เหล่าไท่ไท่ก็พูดด้วยความเกรี้ยวกราดว่า “ให้นางหนาวตายอยู่ข้างนอกก็ดีแล้ว กุ้ยหลานนี่เจ้าใจอ่อนหรืออย่างไร ยังจะให้นางเข้ามาในเรือนอีก ไม่แน่ว่านางจะทำร้ายเจ้าอีกเมื่อไหร่ก็ได้ คนอกตัญญูที่เลี้ยงไม่เชื่อง ”
ว่าแล้ว เหล่าไท่ไท่ก็ถ่มน้ำลายไปที่พื้นอีกแล้ว
โจวกุ้ยหลานรู้สึกว่าผิงไฟได้ครู่หนึ่งร่างกายก็อบอุ่นขึ้นมาบ้าง ลูบแขนของตนเอง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ ถ้าหากนางตายอยู่ที่หน้าบ้านพวกเราคงเป็นเรื่องอัปมงคลไม่น้อย พวกเรายังต้องช่วยจัดการเรื่องศพอีก อีกอย่าง ข้าเสียเงินตั้งห้าตำลึงเพื่อซื้อนางกลับมา จะให้เสียเงินปะเปล่าๆได้อย่างไร”
ส่วนเรื่องที่บอกว่าใจอ่อนจนยอมให้อภัยหลิวเซียงนั้น จะเป็นไปได้อย่างไร นางไม่ใช่พระโพธิสัตว์ที่กลับชาติมาเกิดเสียหน่อย
เมื่อได้ยินคำพูดของโจวกุ้ยหลาน เหล่าไท่ไท่ก็ตาสว่างวาบขึ้นมา “แล้วเจ้าคิดจะทำอย่างไร”
โจวกุ้ยหลานหันไปมองโจวต้าไห่ เห็นเขายังคงยืนอยู่กลางโถงบ้านไม่พูดไม่จา
“ท่านพี่ ท่านจะยืนอยู่คนเดียวอีกนานแค่ไหน มาผิงไฟเถอะ”
“จะไปสนใจเขาทำไม ให้เขาหนาวซะบ้าง จะได้มีสติขึ้นมาบ้าง ถูกผู้หญิงดึงดูดวิญญาณไปแล้ว”เหล่าไท่ไท่พูดเสียงเย็น
นึกถึงเรื่องนี้ทีไรนางก็รู้สึกโมโหขึ้นมา ก็เพราะเจ้าทึ่มไม่มีสมองคนนี้ ต้องการจะรับผิดชอบผู้หญิงคนหนึ่ง สุดท้ายเป็นอย่างไร เอาผู้หญิงกลับมาที่บ้านด้วย ตอนนี้กลายเป็นตัวหายนะ จะทำร้ายลูกสาวของนาง
โจวต้าไห่เองก็รู้สึกเสียใจ แต่น้องสาวของตนเองเป็นคนเอ่ยปาก เขาจึงเดินเข้าไป นั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ข้างเตาผิง
ก้มหน้าก้มตา ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะเอ่ยขึ้นมาว่า “กุ้ยหลาน พี่ต้องขอโทษเจ้าด้วย”
“ถ้าเช่นนั้นท่านต้องจำไว้ให้ดี ท่านทำผิดต่อข้า และท่านแม่”โจวกุ้ยหลานตอบ ยังใช้มือทำท่ากรีดที่หน้าอกของเขาด้วยหนึ่งที
ประโยคนั้นพูดอย่างไรนะ ความอ่อนโยนก็เป็นความผิดอย่างหนึ่ง เขาดูต่อหลิวเซียงขนาดนี้ แม้หลิวเซียงจะทำร้ายเขาก็ไม่สนใจ ภายหน้าหากต้องเจอกับเรื่องเช่นนี้อีก นางคงไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่โทษเขาเหมือนครั้งนี้อีก
โจวต้าไห่พยักหน้า ตอบรับเสียงหนึ่ง
ข้างกันนั้นสวีฉางหลินมองเตาผิงอย่างสงบ ไม่ได้พูดอะไรออกมา และไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“ข้าสร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมาจนไม่มีเงินเหลือแล้ว เรือนหลังนี้สร้างให้ใหญ่ขึ้น เสียเงินไปมาก ไม่เหลือเงินเก็บเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อข้าซื้อนางมาในราคาห้าตำลึง เช่นนั้นก็ขายนางเพื่อเอาเงินห้าตำลึงนั่นกลับมาดีกว่า”