นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 21 นมแพะ
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่21 นมแพะ
ทั้งสามคนกินเส้นทั้งหม้อจนหมด อิ่มมากไม่ไหว ท้องของเจ้าก้อนน้อยกลมดิกอย่างกับบอลยางเล็ก
สวีฉางหลินพาเขาเดินเล่นอยู่หน้าบ้าน โจวกุ้ยหลานล้างหม้อจนสะอาดแล้วก็ถึงตักน้ำลงไปต้มในหม้อ
รอนางต้มน้ำเสร็จแล้ว ตอนที่เรียกคนก็จึงเห็นว่าสวีฉางหลินลากต้นไม้ที่ตากไว้หน้าประตูไปไว้ที่หลังบ้านแล้ว
หลังจากที่สั่งให้สวีฉางหลินอาบน้ำให้เจ้าก้อนน้อยแล้ว นางก็ไล่ไก่เข้าไปในเล้า และเอานกกระทาเข้าไปในลังของนก แพะอีกสองตัวก็ไม่ต้องนอนกลางดงกินกลางทรายแล้ว
รอเจ้าก้อนน้อยอาบน้ำเสร็จ โจวกุ้ยหลานก็ตัดน้ำเข้าไปอาบในห้องตัวเอง
วันนี้ไม่ได้พักเลย ถึงแม้สิ่งที่นางทำจะน้อยกว่าสวีฉางหลิน แต่นางก็เหนื่อยมากไม่ไหว
แช่น้ำอุ่นๆในถังไม้ ยืดแขนยืดขาออก ความรู้สึกนี้สบายมากจริงๆ
รอนางอาบน้ำเสร็จแล้วออกมา ก็เห็นสวีฉางหลินตักน้ำราดตัวเอง ขัดเนื้อตัวอย่างตั้งอกตั้งใจ
ภายใต้แสงอาทิตย์ตกที่สาดส่องมา ผิวสีแทนของผู้ชายและเรือนร่างนั้น ทำเอาคนที่เห็นต้องกลืนน้ำลายไปตามๆกัน
ดูซิ แพคและหุ่นทรงสามเหลี่ยมนั่นสิ
โจวกุ้ยหลานรู้สึกหน้าแดงและร้อนฉ่าไปหมด นางรีบกลับหลังหันและนั่งลงข้างๆเจ้าก้อนน้อย
ตอนที่สวีฉางหลินมองมา ก็เห็นว่าภรรยาตัวเองอุ้มลูกชายเข้าห้องไปแล้ว
สวีฉางหลินที่เมื่อก่อนอาบน้ำอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาอาบน้ำช้าลงและละเอียดขึ้น
รอเขาอาบน้ำเสร็จแล้วกลับห้อง เจ้าก้อนน้อยก็นอนอยู่ตรงกลางและภรรยาของเขาก็นอนอยู่ข้างในเตียง
เขารีบเดินไปปิดประตูแล้วนั่งลงบนเตียง อุ้มเจ้าก้อนน้อยที่นอนอยู่ตรงกลางขึ้นมา วางไว้ที่ปลายเตียง
เพิ่งปล่อยมือลง เจ้าก้อนน้อยก็รีบคลานกลับมานอนตรงกลางอย่างรวดเร็ว สองมือกอดแม่ที่ตัวหอมไว้แน่น
สวีฉางหลินขมวดคิ้ว รู้สึกลูกชายตัวเองเกะกะครั้งแรก
โจวกุ้ยหลานก็เหนื่อยมาก หัวถึงหมอนก็หลับแล้ว
พวกเสื้อผ้าค่อยซักพรุ่งนี้ก็แล้วกัน นางไม่ไหวแล้วจริงๆ……
นางยื่นมือไปกอดเจ้าก้อนน้อยที่นุ่มนิ่มเข้ามาในอ้อมกอดแล้วหลับลงไป
เจ้าก้อนน้อยซบอกของแม่แล้วหลับลงไป
สวีฉางหลินมองดูสองแม่ลูก ไฟอันเร่าร้อนในตัวก็ต้องอดกลั้นเอาไว้ ทำอะไรไม่ได้ ก็เลยต้องนอนไปก่อน
ตอนที่โจวกุ้ยหลานตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็มีข้าวต้มวางไว้บนโต๊ะ ครั้งนี้เป็นข้าวต้ม น้ำในโอ่งก็เต็มแล้ว
ดูเหมือนสวีฉางหลินคงจะไปล่าสัตว์อีกแล้ว
นางมองดูท้องฟ้า ตอนนี้เพิ่งจะสว่าง ทำไมเขาขยันจัง?
นางลุกขึ้นแต่งตัว กินข้าวต้ม แล้วเอาเสื้อผ้าใส่ไว้ในกะละมังไม้ และยังสะพายตะกร้าไปด้วย ใส่ผ้าลงไปสองผืนและไข่หลายฟอง ก็ลงเขาและเดินไปที่บ้านแม่
ตอนเดินผ่านหน้าบ้านป้า นางก็ออกจากบ้านพอดี เห็นโจวกุ้ยหลานสะพายตะกร้า นึกถึงเนื้อกวางที่แบ่งได้เมื่อวาน ก็ยิ้มตาหรี่แล้วพูดว่า: “กุ้ยหลาน เอาของดีอะไรให้แม่เจ้าอีกเหรอ?”
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ แค่อยากถามท่านแม่ว่ามีเสื้อผ้าที่จะซักไหม ข้าจะได้ซักให้ท่านแม่ด้วยเลย” โจวกุ้ยหลานตอบด้วยรอยยิ้ม
ป้าคนนี้ก็ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน
เห็นได้ชัดว่านางไม่เชื่อ: “เจ้าหลอกป้าเหรอ? ทำไม กลัวว่าป้าจะแย่งของของเจ้าหรือไง?”
ก็ต้องกลัวน่ะสิ ท่าทางแบบนี้ของนาง ดูก็รู้แล้วว่ามาเอาของ!
คำพูดนี้ก็แค่คิดในใจเท่านั้น โจวกุ้ยหลานจะพูดออกไปตามตรงก็ไม่ได้ นางจึงยิ้มแล้วตอบว่า: “ที่ไหนกัน ก็คือว่าที่บ้านค่อนข้างยากจน เมื่อวานไปเอาของที่บ้านมาหมดแล้ว แค่อยากถามว่าท่านแม่มีเสบียงให้ข้ายืมหรือไม่ ถ้าป้ามี งั้นก็คงจะดีมากเลย”
พอได้ยินว่ามายืมเสบียง ใบหน้าของป้าก็ไม่มีรอยยิ้มอีกเลย: “ช่วงนี้ใครๆก็ขาดเสบียงกัน ครอบครัวข้ามีคนเยอะขนาดนั้น เสบียงก็ไม่พอแล้วเหมือนกัน เจ้าลองไปถามแม่เจ้าสิ”
พอพูดจบก็รีบเดินกลับเข้าบ้านตัวเองทันที กลัวว่าโจวกุ้ยหลานจะขอยืมเสบียงนางอีก
นางคิดว่านายพรานคนนี้จะมีเงินเก็บเยอะ ที่แท้เมื่อวานก็แค่ทำหน้าใหญ่นี่เอง เมื่อวานเอาเนื้อกวางมาให้ วันนี้ก็มายืมเสบียงเลย บ้านนี้ยังต้องให้บ้านพวกเขาช่วยอยู่เลย แบบนี้ก็ไม่ได้นะ!
โจวกุ้ยหลานเดินหน้าต่อไป นางรู้อยู่แล้วว่าป้าต้องเป็นแบบนี้ จากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ตั้งแต่พ่อของนางเสียไป ตอนที่หิวเกือบจะตาย ลุงใหญ่ก็จะมาช่วยครอบครัวนางเป็นบางครั้งบางคราว บ้านท่านป้าไม่ชอบพวกเขาเลย ชอบมาแซะมาแขวะบ้านของนางตลอด
พอพูดถึงเรื่องยืมเสบียง ป้าของนางก็หนีเร็วยิ่งกว่ากระต่ายเสียอีก
ตอนกลับถึงบ้าน ก็เห็นโจวเหล่าไท่ไท่รดน้ำผักอยู่หลังบ้าน
ล้างมือแล้วก็พานางเข้าบ้านไป
โจวกุ้ยหลานเอาผ้าในตะกร้าออกมา แล้วพูดกับโจวเหล่าไท่ไท่ว่า: “ท่านแม่ ผ้าสองผืนนี้ ท่านแม่เอาไปทำเป็นเสื้อให้สวีฉางหลินกับเสี่ยวเทียนก่อน พวกเขาไม่มีเสื้อผ้าใส่แล้ว”
โจวเหล่าไท่ไท่มองตาค้อน: “ทำไมทำให้แค่สองพ่อลูก เจ้าไม่เอาเสื้อใหม่เหรอ?”
รู้ว่าโจวเหล่าไท่ไท่กำลังปกป้องนาง นางจึงรีบพูดว่า: “ท่านแม่ดูสิ สีไม่ค่อยสวยเลย เป็นผ้าที่เอามาทำเสื้อผู้ชาย ข้าจะเอาไปทำไม?”
“ตอนที่เจ้าซื้อผ้า ทำไมไม่ซื้อผ้าสวยๆมาสองผืนล่ะ?”
โจวเหล่าไท่ไท่ไม่ได้หลอกง่ายขนาดนั้นนะ นางรีบตอบกลับไป
โจวกุ้ยหลานหัวเราะแล้วพูดว่า: “พวกเขาสองพ่อลูกไม่มีเสื้อผ้าใส่เลย สวีฉางหลินมีแค่เสื้อขาดๆสามชุด เสี่ยวเทียนก็มีเสื้อใส่อยู่ตัวเดียว แต่ข้ายังมีเสื้อที่ท่านแม่ทำให้ข้าอีกสองชุด จะแย่งกับพวกเขาเรื่องนี้ก็คงไม่ดีเท่าไหร่ รอสวีฉางหลินล่าสัตว์แล้วหาเงินได้อีก ข้าจะไปซื้อผ้ามาทำเสื้อให้ตัวเองนะ”
ได้รับนางรับปาก โจวเหล่าไท่ไท่ก็ไม่ได้เถียงเรื่องนี้อีก
“ข้าจะบอกเจ้าให้นะ เจ้าเป็นลูกของข้า ข้าเลี้ยงดูเจ้าจนเติบใหญ่ ไม่ได้แต่งงานไปแล้วก็ลำบากตนเองนะ คิดเพื่อผู้ชายเป็นเรื่องที่ดี แต่เด็กนั่นไม่ใช่ลูกแท้ๆของเจ้าเสียหน่อย ทำดีกับเขาแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์หรอก ต่อไปก็คิดว่าเจ้าเป็นแม่เลี้ยงอยู่ดี เจ้าคอยระวังไว้หน่อยก็ดีนะ!”
“เด็กคนนั้นดีมากเจ้าค่ะ……” โจวกุ้ยหลานพึมพำเสียงเบา
แต่หูของโจวเหล่าไท่ไท่ดีมาก ได้ยินทั้งหมดที่นางพูดมา
“ตอนนี้เขายังเด็กก็ต้องดีอยู่แล้ว ข้าให้เจ้าระวังไว้ อย่าเอาใจมากเกินไป! ทำไม! แต่งงานแล้วก็ไม่ฟังคำแม่แล้วหรือไง?”
โจวกุ้ยหลานรีบพูดว่า: “เจ้าค่ะๆ ข้าจะจำเอาไว้ ต่อไปจะทำดีกับตัวเองมากๆเจ้าค่ะ!”
โจวเหล่าไท่ไท่ก็ถึงพึงพอใจ แล้วพูดต่อว่า: “เจ้าต้องจริงใจต่อสามีของตัวเอง หัวใจของคนมีเลือดเนื้อกันทั้งนั้น เจ้าทำดีกับเขา ใช้ชีวิตกับเขาดีๆ ขอแค่ทำดีมากๆ เขาก็จะใช้ชีวิตกับเจ้าดีๆเหมือนกัน”
ฟังคำสั่งสอนของท่านแม่ โจวกุ้ยหลานก็พยักหน้าตอบ
ต่อมาก็เอาไข่ไก่สามสิบฟองในตะกร้ามาให้นาง แล้วเล่าเรื่องที่ตัวเองอยากเลี้ยงไก่ให้แม่ฟังอย่างละเอียด จากนั้นก็ถึงพูดว่า: “ที่บ้านไม่มีที่ฟักไข่ ข้าอยากให้แม่ลองช่วยจุดเตียงเตาให้อุ่น ท่านแม่เก็บไว้กินสิบฟอง ที่เหลือยี่สิบฟองลองช่วยข้าฟักไปก่อนนะ ส่วนฟืนข้าจะให้สวีฉางหลินส่งมาทีหลัง”
โจวเหล่าไท่ไท่ลูบไข่นั้น แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้ามีแผนการก็ดีแล้ว แม่จะลองช่วยเจ้าดูนะ ไข่ที่เจ้าส่งมาเมื่อวานยังเหลืออยู่เลย สามสิบฟองนี้ก็ฟักทั้งหมดเลยแล้วกัน”