นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 212 หมูสามตัว
โจวกุ้ยหลานเองก็ใช้โอกาสนี้เรียนรู้คำศัพท์มาได้ไม่น้อย แต่หิมะด้านนอกก็ไม่ยอมหยุดตกสักที ลมหนาวก็พัดโชยมา นางก็ยังเตรียมของสำหรับใช้ในวันตรุษจีนไม่ได้ แล้วจะฉลองตรุษจีนยังไงหล่ะ?
โจวกุ้ยหลานหุงข้าวหนึ่งหม้อ และเอาหัวผักกาดกับหัวไชเท้าที่สวีฉางหลินเอามาจากบ้านของเหล่าไท่ไท่มาผัดจนเสร็จแล้ว ก็เรียกให้เจ้าก้อนน้อยกับสวีฉางหลันมากินข้าว
ทั้งสามนั่งกินข้าวอยู่ข้างๆโต๊ะอาหาร ข้างๆ มีอ่างเผาถ่านอยู่ แบบนี้โจวกุ้ยหลานถึงได้รู้สึกอบอุ่น
“ถ้าหิมะยังตกอยู่แบบนี้หละก็พวกเราคงไม่มีอาหารกินกันแล้วล่ะ คงต้องไปเอาอาหารที่บ้านแม่อีก” โจวกุ้ยหลานกินข้าวกับหัวผักกาดและหัวไชเท้า รู้สึกว่ามันจืดชืดมากๆ เลย
หลายวันมานี้ นางมองดูน้ำหนักของครอบครัวทุกคนลดลงไปไม่น้อย
สวีฉางหลินกินข้าวคำหนึ่ง คีบไชเท้ามากินชิ้นหนึ่ง
“ตอนบ่ายข้าจะไปหาของป่า”
“ไม่ได้สิ! หิมะตกหนักขนาดนี้มองไม่เห็นทางหรอก ถ้าเจ้าหลงทางไปจะทำยังไง? อีกอย่าง สัตว์มันจำศีลตอนฤดูหนาว หิมะตกแบบนี้ เจ้าหาเจอก็แปลกแล้ว” โจวกุ้ยหลานห้ามปรามอย่างทันควัน
แม้ว่าอาหารจะไม่น่ากินขนาดไหน แต่ก็ไม่ปล่อยให้สวีฉางหลินต้องไปตกอันตรายแบบนั้น
ถ้าหากเกิดอะไรขึ้น นางจะไปตามหาเขาที่ไหนหล่ะ?
บอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้!
สวีฉางหลินรู้ว่าโจวกุ้ยหลานเป็นห่วงเขามาก เลยไม่ได้พูดอะไรมาก
“ไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเรายิ่งไม่ต้องคิดถึงเรื่องฉลองวันตรุษจีนเลย!ไม่มีเนื้อเลย นี่เป็นฉลองตรุษจีนที่ไหนกันล่ะ นี่คือไปปล้น”
โจวกุ้ยหลานพูดจบก็วางชามข้าวลง
นางเป็นคนที่ชอบกินเนื้อมาก หลายวันแล้วที่ไม่ได้กินเนื้อเลย ช่างรู้สึกไม่มีความสุขเลยจริงๆ!
ไม่ได้ ฉลองตรุษจีนยังไงก็ต้องมีเนื้อสัตว์
นางคิดพลาง แววตาก็เป็นประกาย หันหน้าไปมองสวีฉางหลิน “ไม่งั้นพวกเราไปซื้อหมูตัวหนึ่งจากในหมู่บ้านดีไหม? หิมะตกหนักไปถึงยอดเขาแบบนี้ พวกเขาขายหมูไม่ได้หรอก พวกเราไปซื้อกัน!”
“ตกลง”สวีฉางหลินตกปากรับคำ
โจวกุ้ยหลานยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าซื้อหัวหมูน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
อย่างบ้านอื่นเขามีที่นา ในบ้านก็มีอาหาร ต่อให้หิมะตก เขาก็ไม่มีทางอดอยาก อย่างทุกบ้านก็เลี้ยงหมูไว้ตั้งสองสามตัว เพื่อไว้ขายตอนช่วงตรุษจีน หิมะตกหนักขนาดนี้ เกรงว่าจะขายไม่ออก ถ้านางอยากจะซื้อล่ะก็ ต้องมีคนยอมขายให้
พอกินข้าวเสร็จ โจวกุ้ยหลานก็ให้เงินสองตำลึงกับสวีฉางหลินลงเขาไปหาเหล่าไท่ไท่ เหล่าไท่ไท่คนนั้นเลี้ยงหมูไว้สองตัว ซื้อหมูจากนางอ่ะดีที่สุดแล้ว
ช่วงบ่ายโจวกุ้ยหลานกับเจ้าก้อนน้อยอยู่ในบ้าน แข่งกันเขียนหนังสือลงบนพื้นว่าใครเขียนสวยกว่า
โจวกุ้ยหลานผู้ที่เรียนหนังสือมาหลายปีแล้ว แต่ตอนนี้รู้ตัวหนังสือยังไม่ถึงร้อยตัว ยังไงก็ต้องเขียนได้สวยกว่าเจ้าก้อนน้อยแน่นอนอยู่แล้ว
เจ้าก้อนน้อยมองดูตัวหนังสือที่บิดบิดเบี้ยวเบี้ยวที่อยู่ตรงหน้า แล้วก็หันไปดูตัวหนังสือที่สวยกว่าของแม่ ก้มหน้าอย่างนอยด์ๆ”เสี่ยวเทียนโง่จัง ท่านแม่ฉลาด”
คำนี้ทำให้โจวกุ้ยหลานหน้าแดงขึ้น อายุนางจวนจะสามสิบแล้ว แถมยังจะแข่งกับเด็กอายุสามขวบ ช่างเป็นชัยชนะที่ไม่ยุติธรรมเอาซะเลย
คิดพลาง โจวกุ้ยหลานก็เม้มปากเผยรอยยิ้มอันเคอะเขิน ตอบเจ้าก้อนน้อยไปว่า “แม่เป็นผู้ใหญ่แล้ว มือนี้เลยมีแรงมากกว่าเสี่ยวเทียนยังไงล่ะ! เสี่ยวเทียนฝึกเขียนบ่อยๆ ฝึกกำลังมือเยอะๆ เดี๋ยวก็เขียนสวยแล้ว”
ได้รับกำลังใจจากแม่แล้ว เสียวเทียนก็พยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง และไปหยิบกิ่งไม้มาฝึกเขียนลงบนพื้นอย่างมีความสุขต่อไป
พอเห็นว่าเจ้าก้อนน้อยโดนตัวเองหลอกแล้ว โจวกุ้ยหลานก็รู้สึกว่าใบหน้าของนางไม่ร้อนอีกแล้ว
นางย้ายเก้าอี้มานั่งดูเจ้าก้อนน้อยบรรจงลากเขียนหนังสือทีละตัวทีละตัว แม้ว่าจะไม่ค่อยสวยนัก แต่ก็ดูได้
หลายวันมานี้ตอนที่สวีฉางหลินสอนเขาอยู่นั้น โจวกุ้ยหลานก็เห็นถึงความฉลาดของเจ้าก้อนน้อย ตัวหนังสือที่สวีฉางหลินเขียนและสอนเขาอ่านอยู่สองรอบ เจ้าก้อนน้อยก็จำได้แล้ว แม้ว่าจะเขียนไม่สวย แต่ความจำถือว่าไม่เลวเลยจริงๆ
“เสี่ยวเทียน แม่ส่งเจ้าไปเรียนส่วนตัวดีไหม?”โจวกุ้ยหลานปรึกษากับเจ้าก้อนน้อย
เด็กที่ฉลาดแบบนี้ มันน่าเสียดายมากถ้าอยู่แต่ในบ้าน เรียนเยอะๆ ถ้าอีกหน่อยเขาอยากจะเป็นขุนนาง จะได้ไปลองสอบดูได้ ถ้าเขาไม่อยากเป็นขุนนาง ก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้อย่างมีความสุขได้ นางเสนอทางเลือกให้เขามากมาย
“เสี่ยวเทียนจะอยู่กับแม่ครับ”เจ้าก้อนน้อยเงยหน้า กะพริบตาปริบปริบตอบโจวกุ้ยหลาน
เขาไม่เข้าใจว่าโรงเรียนส่วนตัวเป็นยังไง แต่เขาเข้าใจดีว่าถ้าไปโรงเรียนส่วนตัว ก็จะไม่ได้อยู่กับพ่อและแม่อีก
เมื่อครู่โจวกุ้ยหลานไม่ทันได้คิดถึงเรื่องนี้
หมู่บ้านต้าสือไม่มีใครเรียนหนังสือ ชาวไร่ชาวนาพอถึงวัยก็ออกไปทำงานกันหมด เขียนชื่อตัวเองเป็นก็เก่งมากแล้ว สำหรับพวกเขาการเรียนหนังสือไม่มีประโยชน์อะไร หมู่บ้านใหญ่ขนาดนี้แต่ไม่มีโรงเรียนกวดวิชา ถ้าอยากจะเรียน เกรงว่าจะต้องส่งเจ้าก้อนน้อยไปเรียนที่หมู่บ้านอื่น ซึ่งไกลมาก และกลัวว่าจะต้องอยู่แต่ในโรงเรียนกวดวิชา
พอคิดได้ดังนี้ ในใจของโจวกุ้ยหลานก็ไม่ยอมห่างแล้ว
“งั้นเรียนหนังสือกับท่านพ่อไปก่อนแล้วกัน รอเสี่ยวเทียนโตก่อนค่อยไปเรียนหนังสือดีไหม?” โจวกุ้ยหลานเปลี่ยนหัวข้อสนทนาและถามเจ้าก้อนน้อย
เจ้าก้อนน้อยพยักหน้าตอบรับอย่างทันควัน ยิ้มอย่างมีความสุข
ตราบใดที่ได้อยู่ข้างๆ ท่านแม่ เขาก็ยินดีเสมอ
โจวกุ้ยหลานลูบหัวของเจ้าก้อนน้อย และสอนหนังสือเจ้าก้อนน้อยต่อ
แต่ในใจก็หมายมั่นปั้นมือไว้แล้วว่า จะต้องอบรมสั่งสอนเจ้าก้อนน้อยให้ดี ทางที่ดีที่สุดคือต้องหาเงินเยอะๆ อนาคตถ้าเขาอยากจะทำอะไร นางจะได้มีกำลังช่วยเหลือเขาได้
ถ่านที่อยู่ในเตาถ่านดับมอดหมดแล้ว ความอบอุ่นในบ้าน กาต้มน้ำเหล็กที่อยู่ข้างบนคือไอน้ำที่เดือดมา เจ้าก้อนน้อยที่อยู่ข้างเตากำลังก้มบรรจงเขียนหนังสือลงบนพื้น โจวกุ้ยหลานยืนอยู่ข้างๆ สอนเขาเขียนหนังสือ
รอจนถึงเวลาที่สวีฉางหลินเอาหมูกลับมาถึง ก็ป่าเข้าไปครึ่งค่อนบ่ายแล้ว
ตอนที่โจวกุ้ยหลานเปิดประตูออกนั้น ก็เห็นในมือของสวีฉางหลินมีหมูสามตัว หมูพวกนั้นยังร้องครวญครางอยู่เลย
“เจ้าเอาหมูกลับมาทำไมเยอะขนาดนี้?”
พูดพลางก็ช่วยปัดหิมะที่ติดอยู่บนตัวของสวีฉางหลินออก สวีฉางหลินเหลือบมองหมูที่อยู่ด้านหลังเขา ก็ไม่รู้จะทำยังไง “ท่านแม่เอาหมูในบ้านสองตัวให้ข้า ท่านป้าขอให้ข้าเก็บไว้หนึ่งตัว เพราะพวกเขาต้องจัดงานมงคล ในบ้านไม่มีเงินเหลือแล้ว”
“ดีนะที่เล้าหมูหน้าบ้านซ่อมเสร็จแล้ว เจ้ารีบเอาหมูพวกนี้เข้าเล้าไปก่อนค่อยกลับมา จะได้ไม่ต้องออกไปอีกรอบ” โจวกุ้ยหลานพูดพลาง ควันสีขาวก็พวยพุ่งลอยออกมาจากปาก
สวีฉางหลินตอบตกลงและลากหมูสามตัวนั้นไปที่ลานกว้าง
โจวกุ้ยหลานรีบเข้าบ้าน ปิดประตูและวิ่งไปนั่งยองข้างๆ เตาเผา
ไม่นาน สวีฉางหลินก็ผลักประตูเข้ามา
พอเข้าบ้าน เขาก็หันหลังปิดประตู รับเดินเข้ามา ถอดเสื้อคลุมบุนวมหนาแขวนไว้บนราวแขวนผ้า แล้วรีบเดินเข้ามาข้างๆ เตาเผา และนั่งลงอย่างรวดเร็ว
“จ่ายไปเงินเท่าไร?” โจวกุ้ยหลานมองดูเขานั่งลงเสร็จก็รีบถามเขาทันที
เนื้อหมูนี้ปกติราคาหกถึงเจ็ดหรือแปดอีแปะหนึ่งจิน หมูตัวหนึ่งไม่ถึงหนึ่งตำลึง
สวีฉางหลินพูดว่า “แม่บอกว่าหมูสองตัว ตัวละสี่ร้อยเหวิน ป้าบอกว่าตัวนั้นสามร้อยเหวิน”
“ทำไมถูกแบบนั้นหล่ะ?” โจวกุ้ยหลินร้องถามด้วยความตกใจ
หมูตัวนี้ถูกกว่าสองสามร้อยเหวิน!
สวีฉางหลินคิดอยู่ครู่หนึ่งและตอบว่า “หมูมันก็หนักเพิ่มได้อีกแค่หนึ่งร้อยกว่าจิน และถ้ายังขายไม่ได้ ก็อยู่บ้านแบบสิ้นเปลืองอาหารไปเปล่าๆ”