นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 217 แลกสิ่งของ 2
“ออกไข่ ออกไข่ได้ทุกวัน แต่หิมะตกหนักไม่รู้จักจบจักสิ้นแบบนี้ ไก่ที่เลี้ยงในบ้านกินอาหารของที่บ้านก็ไม่รู้จะเอาไปขายที่ไหนได้ อาหารก็กำลังจะหมดแล้ว” หลินซงคนนั้นพูดพลาง ก็มีท่าทีเคอะเขินจนต้องเกาท้ายทอย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าคิดจินละหกอีแปะแล้วกัน ข้าให้เจ้าแลกข้าวโพดได้ จินละสามอีแปะ เจ้าดูเอาเองนะว่าจะแลกไหม”
ก่อนที่หลินซงจะมาได้ยินมาว่า กุ้ยหลานรับแลกอาหารจะยึดราคาหนึ่งอีแปะ ก็ไม่ได้เอาเปรียบอะไรเขา เขาเลยรีบตกลงทันที
เอาไก่ทั้งสองตัวจับเอาไว้ ทั้งหมดห้าจิน คำนวณออกมาก็ได้ข้าวโพดยี่สิบ หลินซงได้ยินดังนั้นก็ดีใจมาก ไก่พวกนี้ขายไม่ออก อยู่บ้านเขาก็ต้องเลี้ยงด้วยอาหาร ช่วงนี้อากาศหนาวไก่ก็ไม่ออกไข่ด้วย เอามาแลกอาหารได้แบบนี้ก็ดีสิ
“ที่บ้านข้ายังมีไก่อีกสิบตัว เดี๋ยวข้าเอามาแลกเป็นอาหารกับเจ้าทั้งหมดเลย” หลินซงพูดพลางก็เอาข้าวโพดที่โจวกุ้ยหลานชั่งเรียบร้อยแล้วใส่ตะกร้าที่สะพายด้านหลังไป
“เจ้าจะแลกทั้งหมดเลยหรือ? เดี๋ยวอากาศอุ่นขึ้น ไก่พวกนั้นก็ออกไข่ได้แล้ว” โจวกุ้ยหลานอดไม่ได้เลยถามขึ้นมา
หลินซงยิ้มอย่างฝืนๆ “ปีนี้เลี้ยงไก่เยอะแล้ว หมดอาหารที่บ้านไปไม่น้อย เดิมคิดว่าปลายปีนี้จะขายออกไปให้ได้ราคาดี ใครจะคิดว่าหิมะตกหนักจนถึงยอดเขาแบบนี้ จะเลี้ยงมันต่อไป พวกข้าคงไม่อาหารจะกินแล้วหล่ะ ที่บ้านมีเด็กหกคน ก็จะผ่านฤดูหนาวนี้ไปไม่ไหวอยู่แล้ว”
“งั้นก็ตกลง เจ้าเอามาเถอะ ถ้าที่บ้านยังมีหมู ข้าก็ให้เจ้าแลกเป็นอาหาร หรือไม่ก็ผ้า หรืออะไรก็ได้ ข้ามีหมด” โจวกุ้ยหลานตอบ
หลินซงรีบกล่าวคำขอบคุณ แบกอาหารและกลับบ้านไป
โชคดีที่กุ้ยหลานแลกให้ล่ะ ไม่งั้นครอบครัวเขาคงไม่รอดฤดูหนาวนี้แน่ๆ …
เหลือบมองเขาเดินไป โจวกุ้ยหลานกับสวีฉางหลินข้างผิงไฟอยู่ข้างเตาเผา
“คนพวกนี้ทำไมมีชีวิตที่ลำบากจัง? ทำงานมาตลอดทั้งปี พอถึงปลายปีกลับไม่มีข้าวกิน” โจวกุ้ยหลานอดไม่ได้ที่จะถอนใจ
เมื่อวานนางก็เห็นคนจำนวนไม่น้อยที่เสื้อผ้าขาดๆ เห็นแบบนี้แล้วชีวิตดูช่างลำบาก มีคนจำนวนไม่น้อยที่แลกเนื้อได้เพียงเล็กน้อย เลยต้องเปลี่ยนเป็นแลกเครื่องในหมูกับกระดูกหมูกลับไปแทน แถมยังมีบางคนแลกแค่หมูจินหนึ่ง คนที่แลกได้สองจินหรือสามจินกลับมีอยู่ไม่เยอะเลย
“ภาษีที่แพงเกินไป สงคราม แรงงานและความขาดแคลนทางการเงิน” สวีฉางหลินพูดพลางเติมเชื้อไฟไปพลาง
โจวกุ้ยหลานเงยหน้าขึ้น ภายใต้กองไฟนั้น ใบหน้าของสวีฉางหลินเดี๋ยวก็สว่าง เดี๋ยวก็มืด
นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “สวีฉางหลิน เจ้าก็เป็นคนที่มีปูมหลังคนหนึ่งนะ”
สวีฉางหลินเงยหน้าขึ้นมองโจวกุ้ยหลาน เติมเชื้อไฟอีกที และจับมือทั้งสองข้างของโจวกุ้ยหลานขึ้นไว้ในมือ ช่วยเขาถูมือเพิ่มความอุ่น
“ข้าเป็นเพียงผู้ชายของเจ้าเท่านั้น”
คำพูดนี้…ทำให้นางรู้สึกแทบทนไม่ไหวในทันที…
“เจ้าไปเรียนคำพูดหวานๆ พวกนี้มาจากไหน? หรือเคยพูดแบบนี้กับคนอื่นมาก่อนใช่ไหม?” โจวกุ้ยหลานระงับอารมณ์ของตนเอาไว้ และถามสวีฉางหลิน
สวีฉางหลินขมวดคิ้ว “คำพูดหวานๆ อะไรหรือ?”
“ก็คำพูดที่เจ้าพูดเมื่อครู่นี้ไง” โจวกุ้ยหลานตอบ
“ข้าก็แค่คิดแบบนี้จริงๆ” สวีฉางหลินตอบอีกครั้ง
เขาจะไปเข้าใจคำพูดหวานๆ อะไรที่ไหนกันเล่า?
คำพูดนี้ยิ่งทำให้โจวกุ้ยหลานหวั่นไหวแทบตายเข้าไปใหญ่ นางแทบอยากจะกอดและจุ๊บสวีฉางหลินอย่างดูดดื่ม
ชายผู้นี้เป็นคนความฉลาดทางอารมณ์ต่ํา แต่ก็ทำให้คนเคลิ้มได้มากเลยทีเดียว ช่างน่ารักอะไรแบบนี้นะ!
“งั้นคำพูดพวกนี้เจ้าห้ามไปพูดกับใครที่ไหนอีกนะ ได้ยินไหม?” โจวกุ้ยหลานคุมมุมปากของตนให้หงายขึ้น จงใจจะข่มสวีฉางหลิน
“ทำไมต้องไปพูดกับคนอื่นหล่ะ?” สวีฉางหลินถามกลับอย่างแปลกใจ
เขามีภรรยาเพียงคนเดียว ของแบบนี้มันไปพูดกับคนอื่นได้ด้วยหรือ?
โจวกุ้ยหลานได้ยินแล้ว ในใจก็รู้สึกมีความสุขล้นพ้น มุมปากนั้นยิ่งเชิดขึ้นไปใหญ่ “ข้าเข้าใจผิดเองแหละ เจ้าก็คิดซะว่าไม่เคยได้ยินแล้วกันนะ”
ได้ยินคำพูดของภรรยาแล้ว สวีฉางหลินก็ไม่ถามต่อ แค่รีบช่วยกุมมือของโจวกุ้ยหลาน จนมือของนางอุ่นขึ้น เขาก็ช่วยโจวกุ้ยหลานถอดรองเท้านวมของนาง พอเอามือไปจับก็รู้สึกว่าเท้าคู่นั้นเย็นมาก เขาขมวดคิ้ว เอาขาของโจวกุ้ยหลานขึ้นมาวางบนขาของตน และใช้สองมือถูขาเท้าของนาง
“ภรรยา เจ้าหนาวไหม?”
“หนาว! หนาวจะตายอยู่แล้ว!ข้ารู้สึกราวกับมีน้ำเย็นมาเทราดที่หลัง!” โจวกุ้ยหลานบอกสวีฉางหลิน
วันนี้พึ่งเริ่มจะหนาว นางก็หนาวจนทนไม่ไหวแล้ว ขนาดที่ตอนนอนก็ยังแทบอยากจะใส่เสื้อบุนวมนอน ไม่ว่าจะสุ่มไฟเพิ่มแค่ไหนนางก็ยังรู้สึกหนาวอยู่ ถ้าไม่ได้สวีฉางหลินช่วยทำให้ร่างกายของนางอุ่น กลัวว่านางจะหนาวจนนอนไม่หลับแน่
สวีฉางหลินขมวดคิ้วหนักขึ้น ยิ่งเร่งการถูมือให้เร็วขึ้น
จนฟ้าใกล้จะสว่าง โจวกุ้ยหลานถึงลุกไปทำกับข้าว สวีฉางหลินปลุกเจ้าก้อนน้อยให้ตื่น หลังจากที่ทั้งสามคนกินอาหารเช้าอันอุ่นๆ กันอิ่มแล้ว คนของตระกูลโจวก็มาช่วยทำงานกันแล้ว
ทั้งวันนั้นมีผู้คนมากมายทยอยเข้ามาแลกเปลี่ยนสิ่งของไม่หยุด หลินซงเอาไก่ในบ้านของตนใส่ตะกร้าสองใบแบกใส่หลังมาแลกอาหารกลับไปร้อยจิน คนพวกนั้นต่างพากันตกตะลึง และถามโจวกุ้ยหลานว่าแลกเปลี่ยนเป็นอาหารได้ด้วยหรือ
พอโจวกุ้ยหลานตอบไปแล้ว ช่วงบ่ายคนก็มากันเยอะมากขึ้น
มีคนจำนวนไม่น้อยที่เอาไก่ตัวผู้ในบ้านมาแลกเป็นอาหาร หรือจะแลกอะไรก็มีทั้งนั้น
วันนี้ยิ่งยุ่งมากขึ้นกว่าเดิมอีก จวนใกล้จะเย็นแล้วก็มีเด็กอายุสิบขวบคนหนึ่งเดินเข้ามาที่บ้านของโจวกุ้ยหลาน
มองดูผู้คนที่กำลังสาละวนกันอยู่นั้น เขาก็มีท่าทีลุกลน แบกตะกร้าที่หลังยืนรออยู่ด้านข้าง รอจนกระทั่งคนที่มาก่อนหน้าแลกเปลี่ยนสิ่งกันเสร็จแล้ว เขาถึงเดินเข้ามาและเอ่ยอย่างสุภาพว่า “พี่กุ้ยหลาน พวกพี่รับหนังสือไหม?”
หนังสือ?
โจวกุ้ยหลานหันไปมอง ก็เห็นเด็กคนนั้นยืนอยู่ข้างหลังของนาง
“อ่อ ลูกชายบ้านเหลิวซิ่วฉาย ชื่อเหลิวอ้ายใช่ไหม พ่อของเจ้าอาการดีขึ้นหรือยัง?” มีอาสะใภ้คนหนึ่งรู้จักเด็กคนนั้นเลยกล่าวทักทาย
เด็กคนนั้นก้มหน้าลง “ยังนอนอยู่บนเตียงเตาอยู่เลย”
“ไอหยา อ่านหนังสือพวกนี้จนทำให้เสียสุขภาพแล้ว ลำบากเจ้าเด็กคนนี้เสียจริงๆ” หญิงชราอีกคนพูด
พอมีคนพูดเตือนขึ้นมา โจวกุ้ยหลานเลยนึกขึ้นได้ว่า ในหมู่บ้านต้าสือยังมีเหลิวซิ่วฉาย ได้ยินมาว่าฉลาดมาตั้งแต่เด็ก อายุยี่สิบเก้าก็สอบได้เป็นบัณฑิต ตอนนั้นที่หมู่บ้านก็ครึกครื้นขึ้นมา เขายังได้ลูกสะใภ้ที่หน้าตาสวยอีกด้วย หนึ่งปีต่อมาให้กำเนิดบุตรชายมาหนึ่งคนและลูกสะใภ้ของเขาก็เสียชีวิต พ่อและแม่ของเขาก็จากไปเช่นกัน เหลือไว้เพียง เหลิวซิ่วฉายและลูกของเขา เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำงานหาเงินเลี้ยงชีพ
ร่างกายอ่อนแอเช่นนี้สามารถเลี้ยงดูลูกของตนให้มีเสื้อผ้าพอใส่มีอาหารพอกินไปวันวันเท่านั้น เมื่อปีที่แล้วก็ล้มป่วยล้มหมอนนอนเสื่อขึ้นมาอีก เหลิวอ้ายเองก็ไปทำนาแต่ว่าเก็บเกี่ยวได้ไม่ดี กลัวว่าอาหารจะไม่พอกิน
“รับสิ หนังสืออะไรข้าก็รับทั้งนั้น ข้าให้เจ้าเล่มละสามสิบอีแปะ” เมื่อโจวกุ้ยหลานคิดเรื่องนี้ได้ก็เอ่ยปากตอบกลับ
“อะไรนะ? สามสิบอีแปะหรือ? เท่ากับไก่พวกข้าสามตัวเลยนะ!” ผู้ชายด้านข้างพูดด้วยความตกใจ
คนที่อยู่ข้างๆ เริ่มถกเถียงขึ้นมาแต่รู้สึกว่าโจวกุ้ยหลานจะไม่ได้สนใจอะไรที่จะแลกของพวกนี้ด้วยราคาสูงเช่นนี้
เหล่าไท่ไท่ก็ดึงชายเสื้อของโจวกุ้ยหลาน และส่ายหน้าให้นาง ครอบครัวของพวกเขาไม่รู้หนังสือเลยสักนิด จะเอาหนังสือพวกนี้มาทำอะไร? เอามากินก็ไม่ได้ เอามาดื่มก็ไม่ได้ มากสุดก็เอาทำเชื้อเพลิงแค่นั้น
โจวกุ้ยหลานบีบมือของเหล่าไท่ไท่ ให้เขามั่นใจ ยิ้มและพูดว่า “หนังสือพวกนี้ซื้อมาราคาน่าจะแพงอยู่ ความรู้ในหนังสือพวกนี้ก็วัดเป็นตัวเงินได้ ข้าเองเป็นคนชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้หรอก ก็เลยรับในราคาถูกๆ แบบนี้แหละ”