นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 239 อากาศอุ่นแล้ว
“วันหน้ามีเงินเมื่อไร ข้าจะสร้างบันไดหินที่นี่ แบบนี้เวลาขึ้นลงจะได้สะดวกสบาย” ขณะโจวกุ้ยหลานวางแผน
“เจ้าคิดจะอยู่ที่นี่ไปทั้งชีวิต?”
“แน่นอน ไม่งั้นข้าจะสร้างบ้านดี ๆ แบบนี้ไว้บนภูเขาทำไม ถ้าไม่อยู่ก็เสียเปล่าแล้ว!” โจวกุ้ยหลานตอบกลับมา ลูบเหงื่อบนหน้าตัวเอง เมื่อกี้วิ่งเร็วไปหน่อย ร่างกายเลยร้อนไปหมด
ในใจสวีฉางหลินมีความสุข มุมปากโค้งขึ้นมา
โจวกุ้ยหลานกะพริบตามองสวีฉางหลินด้านหน้าที่กำลังยิ้ม ไม่รู้ว่าทำไมในใจนางก็มีความสุขขึ้นมา
“เท่านี้เจ้าก็วางใจใช่ไหม ชอบสงสัยว่าข้าจะจากไป เจ้าก็ไม่คิดบ้างว่าเจ้าเองก็ทั้งหน้าตาดี ทั้งดีต่อข้า ข้าคงบ้าแล้วถึงจะไปคิดถึงบุรุษผู้อื่น”
ฟังคำภรรยาตัวน้อย ใบหูของสวีฉางหลินแดงขึ้นมา โค้งมุมปากยิ่งเด่นชัดขึ้น
“ผู้อื่นล้วนกล่าวว่า บุรุษมีเงินแล้วจะเลว ถ้าหลังจากนี้บ้านพวกเรามีเงินแล้ว กลัวว่าเจ้าจะหาหญิงอื่นแล้ว” โจวกุ้ยหลานขึ้นเขาไปได้เล็กน้อย ก็กล่าวออกมาอย่าง สบาย ๆ
เพิ่งจะพูดจบ จู่ ๆ สวีฉางหลินที่อยู่ด้านหน้าก็หยุดเดิน โจวกุ้ยหลานไม่ทันได้หยุดเท้า เกือบจะชนกับสวีฉางหลิน
ในใจนางนึกหวาดกลัวอยู่ครู่หนึ่ง เพิ่งจะคิดถามสวีฉางหลินหยุดเดินทำไม ก็เห็นเขาหันหน้ามา ตาดำคู่นั้นจ้องมองนางอย่างเคร่งเครียด สายตาจริงจังอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน
“เป็นไปไม่ได้”
“แน่นอนว่าตอนนี้เจ้าย่อมไม่ทำ แต่รออีกห้าปีสิบปี นั้นก็ไม่แน่แล้ว” โจวกุ้ยหลานตอบตามใจ
แม้จะพูดอย่างนี้ แต่ในใจก็รู้ว่าสวีฉางหลินไม่ทำ
สวีฉางหลินไม่ใช่คนที่เข้าใจคนพูดไร้สาระอย่างนางเหมือนเหล่าไท่ไท่ ขณะนั้นแรงบนมือก็เพิ่มขึ้น ในตาดคู่นั้นสะท้อนเพียงเงาร่างเล็กของผู้หญิงตรงหน้า กล่าวอย่างสบาย ๆ และจริงจังอย่างยิ่ง “ชีวิตนี้ข้าสวีฉางหลิน จะดีแต่โจวกุ้ยหลานผู้หญิงเพียงคนเดียว ถ้านอกใจ จะต้องตายด้วยน้ำมือของโจวกุ้ยหลาน”
“เพ้ย เพ้ย เพ้ย ใครจะอยากฆ่าเจ้า พูดจาเหลวไหลอะไรกัน รีบเดิน ข้าจะกลับไปพักแล้ว!”
โจวกุ้ยหลานจับหน้าอกที่เต้นตึกตักไม่หยุดของตัวเอง ตะโกนใส่ชายตรงหน้า
แค่พูดก็พอแล้ว จะสาบานพิษทำไมกัน
นางก็ไม่ใช่พวกยึดติดขนาดนั้น ถ้าวันหน้ามีรักแท้ของตัวเองจริง ๆ ทุกคนเลิกลากันไปด้วยดีแล้วต่างคนต่างมีความสุข
เพียงแต่คิดอย่างนี้ ในใจก็รู้สึกเป็นทุกข์
โจวกุ้ยหลานลอบถอนหายใจ เข้าใจว่าตัวเองนั้นหลงสวีฉางหลินไปแล้ว ทั้งดวงใจทั้งดวงตาล้วนเป็นเขา
โดนนางแผดเสียงใส่อย่างนั้น ในใจสวีฉางหลินโล่งอก โค้งมุมปากยิ่งเด่นชัดขึ้น แรงจับมือโจวกุ้ยหลานแน่นขึ้นกว่าเดิม หันกาย ยกเท้าเดินไปข้างหน้าต่อ
เจ้าก้อนน้อยที่ถูกอุ้มอยู่ก็มองพ่อตัวเอง แล้วหันไปมองแม่ตัวเอง ในหัวแตงเล็ก ๆ อย่างไรก็ไม่เข้าใจความหมายคำพูดเมื่อกี้ของพ่อแม่เลย
“ท่านแม่จะฆ่าท่านพ่อ?”
“ไม่มีอะไร พ่อกับแม่รักใคร่กันอยู่ อย่าไปฟังคำพูดเหลวไหลของพ่อเจ้า!” โจวกุ้ยหลานรีบตอบกลับไป
อย่าเห็นว่าวันนี้เจ้าก้อนน้อยยังเด็ก ยังไม่ถึงสี่ขวบ แต่เขารู้สึกไวมาก การเปลี่ยนแปลงอารมณ์เล็กน้อยเขาล้วนรู้สึกถึงได้ ห้ามทำให้เขาไม่มีความสุข!
ล้วนโทษสวีฉางหลิน ช่างเป็นคำสาบบานที่พิษเสียนี่กระไร!
ขณะคิด นางก็จ้องสวีฉางหลินอย่างดุดัน
เจ้าก้อนน้อยก็ไม่รู่ว่าอะไรคือฆ่า แต่ท่านแม่บอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่
เขากอดคอพ่ออย่างเชื่อฟัง สองมือเล็กของตัวเองเขี่ยนิ้วมือเล่น
ทั้งสามคนกลับถึงบ้านตัวเอง โจวกุ้ยหลานหยิบไม้กวาดมา ตามพวกสวีฉางหลินมาทำความสะอาดทั้งนอกและในบ้านให้สะอาด แล้วเล้าหมูเล้าไก่ก็ทำความสะอาดแล้ว
ฤดูใบไม้ผลิมาแล้ว สรรพสิ่งฟื้นคืน งานใหญ่การเพาะชำของนางก็ต้องเริ่มแล้ว!
“วันหน้าพวกเราก็เอาถ่านไปขายที่ตำบล ตอนข้าไปตำบลจะได้ซื้อเป็ดไก่กลับมาด้วย” โจวกุ้ยหลานยืนทำความสะอาดอยู่ กล่าวยิ้ม ๆ
สวีฉางหลินพยักหน้า การเพาะชำที่ภรรยาตัวน้อยนึกคิด เขาย่อมต้องสนับสนุนแน่นอน
โจวกุ้ยหลานก็ไม่ปล่อยพวกเขาพัก ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ครอบครัวสามคนก็แบกตะกร้าหาหญ้าเนเปียร์แคระที่เต็มภูเขา ขุดได้สามตะกร้าแล้วจึงกลับมา พาสองพ่อลูกไปปลูกที่ว่างด้านหลังบ้านไม้สักหน่อย
หมดเดือนอ้าย อุณหภูมิก็กลับมาเพิ่มขึ้น ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ในหมู่บ้านก็เริ่มทำงานลงทุ่งนา โจวกุ้ยหลานกลัวความหนาว จนถึงตอนนี้จึงถอดเสื้อนวมแล้วเริ่มทำงาน
สวีฉางหลินรับผิดชอบขุดหลุม เจ้าก้อนน้อยช่วยวางหญ้าเนเปียร์แคระ โจวกุ้ยหลานนําดินไปฝัง ครอบครัวสามคนทํางานร่วมกันได้ดี เมื่อฟ้ามืดพวกเขาก็หยุดทํางานแล้ว โจวกุ้ยหลานทําขนมและครอบครัวของสามคนกินกันอย่างมีความสุด
รอจนเจ้าก้อนน้อยล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย โจวกุ้ยหลานก็พาเจ้าก้อนน้อยไปในห้องของเขา กล่อมจนเขาหลับ ก็กลับไปห้องของตัวเอง
เพิ่งเข้าไป เห็นสวีฉางหลินกำลังเปิดตามองกว้างนอนอยู่บนเตียงเตา ได้ยินเสียง ก็หันหน้ามามองนาง เห็นท่าทางนั้น ดูเหมือนจะรอนางนานมากแล้ว
โจวกุ้ยหลานล็อกประตู เดินไปที่เตียงเตา ถอดรองเท้า เพิ่งคิดจะหมุนตัว ก็ถูกสวีฉางหลินกอดจากด้านหลังเอาไว้แน่น
“เจ้าจะทำอะไร” โจวกุ้ยหลานเอียงตัวไปด้านข้าง
สวีฉางหลินที่อยู่ด้านหลังไม่ขยับสักนิด “อากาศอุ่นแล้ว”
เขาอดกลั้นตอนฤดูหนาวอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว?
ใจโจวกุ้ยหลานอ่อนลง ร่างกายก็อ่อนลงเช่นกัน
พูดขึ้นมาแล้ว พวกเขาแต่งงานใกล้จะครึ่งปีแล้ว แต่ก่อนหน้านี้เกิดเหตุไม่คาดคิดหลายอย่าง ทำให้พวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างสามีภรรยาเลย ต่อมาถึงฤดูหนาว นางแทบจะสวมเสื้อผ้ามิดตัวทั้งวัน สวีฉางหลินก็รู้นางกลัวหนาว จึงอดทนมาตลอด พอวันนี้ใส่เสื้อผ้าตัวเดียวแล้ว เกรงว่าเขาจะอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
ขณะคิด ใบหน้าของนางก็เริ่มแดง ยืนนิ้วมือออกมา สะกิดไหล่ชายด้านหลัง ไม่พอใจเล็กน้อย “งั้นเจ้าก็ให้ข้าขึ้นเตียงเตาก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะนะ”
ยังไม่ทันขาดคำ นางก็รู้สึกว่าทั้งตัวลอยขึ้น กำลังจะอุทาน แผ่นหลังก็สัมผัสผ้านวม ริมฝีปากของสวีฉางหลินก็กดลงมาทันที
โจวกุ้ยหลานยังไม่ทันได้ตอบสนอง สวีฉางหลินก็ฉกฉวยขึ้นนำ เกี่ยวลิ้นของนางตวัดพัน
หลังนางถูกจูบจนมึนงง ก็เริ่มตอบสนองโดยไม่รู้ตัว
สำหรับผู้ชายที่อดกลั้นมาแล้วยี่สิบกว่าปี การตอบสนองเพียงเล็กน้อยก็เหมือนสะเก็ดไฟติดกองไม้แห้ง ตอนนั้นเองก็เกิดเปลวเพลิงโหมกระหน่ำขึ้นมา
เขาฉีกเสื้อผ้าของนางออก มือล้วงเข้าไปในเสื้อผ้านาง ร่างกายของนางทุกส่วนถูกจุดไฟ
โจวกุ้ยหลานรู้สึกว่าตัวเองไร้แรงต่อต้าน ถูกบังคับให้ยอมรับ ร่างกายก็ยิ่งออกอาการทรมาน นางอดไม่ได้จะครวญครางออกมา
ทั้งร่างสวีฉางหลินแข็งค้าง แค่ครู่เดียว เขาก็รู้สึกว่าทั้งร่างตนเองแข็งทื่อ อีกแค่ก้าวเดียว ภรรยาก็จะกลายเป็นผู้หญิงของเขาแล้ว
คิดมาถึงตรงนี้ ริมฝีปากของเขาค่อย ๆ โลมเลียไปบนร่างของภรรยา ทำให้โจวกุ้ยหลานเหลวกลายเป็นน้ำ
รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายตัวเอง โจวกุ้ยหลานก็แต่คิดว่าร่างกายของตัวเองว่างเปล่ามาก เพียงคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ใจของนางก็ตีระรัว ทั้งชาติก่อนและชาตินี้ นางไม่เคยทำถึงขั้นนี้เลย ที่นั่นสำหรับนางเป็นที่ที่ไม่คุ้นเคยแล้ว