นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 24 พี่ฉางหลินส่งข้าลงไปได้มั้ย
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่24 พี่ฉางหลินส่งข้าลงไปได้มั้ย?
เพิ่งวางถ้วยลง สวีฉางหลินก็เดินกลับไปที่หลังบ้านต่อ
โจวกุ้ยหลานทำท่าไม่พอใจ นี่คิดจะไม่พูดอะไรกับนางอีกแล้วเหรอ? นางยังไม่ได้โกรธเขาเลย เป็นผู้ชายที่ใจแคบจริงๆ!
ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ
ล้างถ้วยเสร็จแล้วก็นั่งพักผ่อน จากนั้นก็พาเจ้าก้อนน้อยไปนอนกลางวัน
พอตื่นขึ้นมาอีกที ก็เห็นสวีฉางหลินยังไม่กลับมา
นางลุกขึ้นจากเตียง ก็เห็นกระต่ายตัวนั้นถูกถลกหนังออกแล้วหมักเกลือตากไว้ด้านนอก
นางอดไม่ไหวเดินไปที่หลังบ้าน ก็เห็นว่าเขาพรวนดินเสร็จหมดแล้ว พื้นที่ใหญ่มากจนสามารถปลูกผักได้ทุกชนิด และด้านหลังยังมีเสาไม้หลายต้นตอกอยู่กับพื้น ตรงกลางระหว่างเสาไม้ยังมีหนามล้อมไว้อีกด้วย
นอกจากประตูที่พวกเขาเข้าออก ที่อื่นก็ถูกล้อมไว้หมดแล้ว
โจวกุ้ยหลานตกตะลึงอีกครั้ง ผู้ชายคนนี้เก่งมากจริงๆ!
ถ้านางทำเองทุกอย่างนะ น้อยสุดก็ต้องสิบวันไม่ก็ครึ่งเดือน แต่เขาทำครึ่งวันก็เสร็จแล้ว
นางกลับเข้าบ้านอีกครั้ง ก็เห็นธนูที่แขวนบนผนังหายไปแล้ว
ไปล่าสัตว์อีกแล้วเหรอ?
โจวกุ้ยหลานรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เรื่องเล็กๆน้อยๆก็เก็บมาคิด สวีฉางหลินทำงานหนักเลี้ยงครอบครัว นางยังจะทำให้เขาโกรธอีก
คิดแล้วก็เอาเกลือหยาบใส่ลงไปในกะละมังละลายช้าๆ เอาผ้าฝ้ายมากรองสิ่งสกปรกออกไปให้หมด
เกลือหยาบนี้สกปรกมากจริงๆ นางทำกับข้าวหลายมื้อแล้ว เกลือก็ทำให้ฟันเจ็บหลายครั้งแล้ว นางอยากทำแบบนี้ตั้งนานแล้วด้วย ตอนนี้มีโอกาสได้ทำสักที
รอนางละลายน้ำเกลือเสร็จแล้ว ก็เทลงไปต้มในหม้อ จากนั้นก็คัดเกลือละเอียดออกมา ใส่ไว้ในกล่องไม้
พอทำเสร็จแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้าก้อนน้อยตื่นมาเมื่อไหร่ เขายืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ มองดูสิ่งที่โจวกุ้ยหลานทำ
รอนางทำทุกอย่างเสร็จแล้ว ก็ไปให้อาหารไก่กับนกกระทา และได้ไข่นกกระทามาสองฟอง นางเอาไปย่างให้เจ้าก้อนน้อยกิน จากนั้นก็ถึงจูงแพะไปเปลี่ยนที่กินหญ้า
เก็บเสื้อผ้าและผ้าปูที่ตากแห้งแล้วพับให้เรียบร้อย สวีฉางหลินก็ยังไม่กลับมาอีก
รอนางทำอาหารเย็นเสร็จก็ใกล้มืดแล้ว สวีฉางหลินก็ยังไม่กลับมาอีก นางกำลังคิดว่าจะออกไปตามหาเขาดีไหม สวีฉางหลินก็ลากแพไม้กลับมา
บนแพมีหญิงสาวอายุประมาณสิบห้าสิบหก
ตอนที่เห็นหญิงสาวคนนั้น ใบหน้าของโจวกุ้ยหลานก็กระตุกเล็กน้อย นี่เป็นลูกสาวของลุงใหญ่โจวชิวเซียง
“เป็นอะไรหรือเปล่า?”
โจวกุ้ยหลานเดินเข้าไปถาม
โจวชิวเซียงเหลือบมองสวีฉางหลินอย่างเขินอาย แล้วตอบว่า: “ข้าขาแพลงตอนอยู่บนเขา บังเอิญเจอกับพี่ฉางหลิน เขาเลยลากข้ากลับมาด้วยกัน”
ที่แท้ก็เจ้าชายขี่ม้าขาวนี่เอง โจวกุ้ยหลานก็ถึงวางใจ
“เจ้าดูแลนางดีๆนะ” สวีฉางหลินพูดจบก็เดินกลับเข้าบ้านไป
เขาหิวน้ำมาก ต้องการดื่มน้ำด่วนๆ
โจวชิวเซียงมองดูเขาเข้าไปในบ้าน อยากจะตะโกนเรียกเขาแต่ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกยังไง
โจวกุ้ยหลานพยุงตัวนางลุกขึ้นมา แล้วถามว่า: “เจ้าขึ้นไปบนเขาทำไม?”
ในป่ามีสัตว์ร้ายเยอะแยะ ก็มีแต่นายพรานที่จะอาศัยอยู่บนเขา หลายปีก่อนเกิดวิกฤตแห้งแล้ง ตอนที่คนใกล้อดตาย พวกเขาก็เข้ามากัดกินเปลือกต้นไม้ น้อยมากที่เห็นหญิงสาวเข้าป่า
“เจ้าเข้าป่าได้ ทำไมข้าจะเข้าไม่ได้บ้าง?” โจวชิวเซียงจับมือโจวกุ้ยหลานแล้วลุกขึ้นมา มองค้อนแล้วตอบอย่างไม่สบอารมณ์
พูดดีๆกับเขาด้วย ยังจะมาประชดประชันกันอีกเรอะ?
โจวกุ้ยหลานพยุงนางไปนั่งแล้ว ก็ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับนางอีก
ตอนนี้ก็เริ่มทำเนื้อกวาง สวีฉางหลินดื่มน้ำเสร็จแล้วก็ออกมาจากบ้าน โจวชิวเซียงก็ทำท่าน่าสงสาร: “พี่ฉางหลิน ข้าจะทำยังไงดี?”
สวีฉางหลินเหลือบมองภรรยาตัวเองที่กำลังทำกับข้าว คิดแล้วก็พูดว่า: “ข้าลงเขาไปเรียกพ่อแม่เจ้าให้มารับเจ้ากลับไปนะ”
โจวชิวเซียงพูดอย่างไม่พอใจ: “พี่ฉางหลินส่งข้ากลับไปไม่ได้เหรอ? พ่อแม่ข้าอายุมากแล้วมาไม่ไหวหรอก?”
“งั้นก็เรียกให้พี่ชายเจ้ามาแบกเจ้ากลับ” ถึงสวีฉางหลินจะเป็นคนหยาบๆ เขาก็รู้ว่าชื่อเสียงของผู้หญิงสำคัญมาก
เมื่อกี้อยู่ในป่า เขาก็หาไม้กับเถาวัลย์มามัดเป็นแพ ก็เพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายที่ไม่จำเป็น
โจวชิวเซียงไม่รู้จะตอบยังไง จึงต้องนั่งงอนอยู่คนเดียว
โจวกุ้ยหลานที่ทำอาหารอยู่ก็พึงพอใจกับการกระทำของสวีฉางหลินมาก ตัดสินใจทำเนื้อให้เขากินเยอะหน่อย
เห็นว่าสวีฉางหลินจะลงเขาแล้ว โจวชิวเซียงก็รีบตะโกนออกไปว่า: “ให้ข้ากินข้าวก่อนค่อยกลับได้หรือไม่? ข้ามาบ้านพี่สาวแล้ว จะให้ข้ากลับบ้านท้องเปล่าเหรอ?”
สวีฉางหลินหันไปมองโจวกุ้ยหลาน เรื่องนี้ต้องให้ภรรยาเขาตอบแทน
โจวกุ้ยหลานหนังตากระตุก สุดท้ายก็ห้ามสวีฉางหลิน: “รอกินข้าวเสร็จแล้ว ค่อยส่งนางกลับก็ได้”
เพราะหลายปีมานี้ลุงใหญ่ก็ดูแลครอบครัวนางเหมือนกัน ถ้าตอนนี้ไม่ให้โจวชิวเซียงกินข้าว ก็คงจะดูไม่ดีเท่าไหร่
สวีฉางหลินเดินกลับมาอีกครั้ง โจวชิวเซียงกำลังจะพูดอะไรกับเขา ก็เห็นเขาเดินไปหลังบ้าน ลากไม้ออกมาแล้วเริ่มตัดฟืน
เจ้าก้อนน้อยก็วิ่งเข้าไปช่วยพ่อยกฟืนเข้าไปในครัว
โจวกุ้ยหลานใส่เครื่องเทศเข้าไปในหม้อแล้วตุ๋นเนื้อไปช้าๆ ไม่นาน กลิ่นเนื้อก็โชยอบอวลไปทั่ว ทำเอาโจวชิวเซียงแอบกลืนน้ำลายไปหลายอึกทีเดียว
บ้านนางก็มีเนื้อกวางเหมือนกัน ช่วงนี้แม่ก็ทำให้กิน แต่ไม่ได้หอมขนาดนี้
ไม่คิดว่าพี่สาวขี้เหร่ของนางจะทำอาหารเป็นด้วย
พอคิดแล้ว ก็อดไม่ได้เหลือบมองสวีฉางหลิน หลังจากที่เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาแล้ว ใบหน้าของนางก็แดงระเรื่อและก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว
โจวกุ้ยหลานไม่รู้ว่าสามีตัวเองถูกจับจ้องแล้ว พอทำเนื้อกวางเสร็จแล้วก็เริ่มหุงข้าว วันนี้มีคนเพิ่มมาคนหนึ่ง นางก็ต้องเพิ่มข้าวสารไปอีกสองกำมือ
รอทำอาหารเสร็จแล้ว เจ้าก้อนน้อยก็ช่วยยกเข้าไปในบ้าน โจวกุ้ยหลานพยุงโจวชิวเซียงเข้าไปในบ้าน ทั้งสี่เริ่มกินข้าวกัน
แต่ในบ้านมีตะเกียบแค่สามคู่ สวีฉางหลินเลยเอาตะเกีอบของตัวเองให้โจวชิวเซียง เขาก็เอาทัพพีในบ้านมาตักข้าวกิน ดูแล้วก็มีความอาจหาญอยู่เหมือนกัน
“พี่ฉางหลิน พี่ลองชิมเนื้อกวางนี่ดูสิ” โจวชิวเซียงว่าแล้ว ก็เอาตะเกียบของตัวเองคีบเนื้อให้สวีฉางหลิน โจวกุ้ยหลานที่เห็นแล้วก็ถึงกับเลิกคิ้วขึ้น
โจวชิวเซียงเหมือนจะลืมไปแล้วนะว่าตัวเองเป็นแขก
สวีฉางหลินตอบ ‘อืม’ สั้นๆคำเดียว แล้วพูดต่อว่า: “เจ้าก็กินด้วย”
โจวกุ้ยหลานเลิกคิ้วสูงกว่าเดิม สองคนนี้หมายความว่ายังไงกัน
เจ้าก้อนน้อยที่ก้มหน้ากินข้าวก็สัมผัสได้ว่าแม่ไม่มีดีใจ ก็ใช้ตะเกียบตัวเองคีบเนื้อให้แม่ แล้วพูดออดอ้อนว่า: “แม่กินสิ……”
พอเจ้าก้อนน้อยออดอ้อนแบบนี้ โจวกุ้ยหลานก็เลิกคิดเรื่องอื่นทันที นางรีบพูดว่า: “ในถ้วยยังมีอยู่เลย แม่มีกินนะ เสี่ยวเทียนกินเองเลย”
เจ้าก้อนน้อยมองดูแม่ตัวเองอย่างจริงจัง ดูนางเหมือนจะไม่ได้โกหก ก็ถึงกินข้าวและเนื้อในถ้วยตัวเองต่ออย่างพอใจ
โจวกุ้ยหลานก็ก้มหน้ากินข้าวตัวเอง น้องสาวคนนี้วุ่นวายจริงๆ รีบกินข้าวให้เสร็จแล้วให้สวีฉางหลินไปตามคนมารับนางกลับบ้านดีกว่า ไม่งั้นเดี๋ยวฟ้าได้มืดกันพอดี
โจวชิวเซียงที่อยู่ข้างๆก็แอบตกใจ ไม่คิดว่าบ้านพวกเขาจะมีชีวิตที่ดีแบบนี้! มีทั้งเนื้อและข้าวสวย!
ถึงว่าทำไมถึงอร่อยขนาดนี้ ที่บ้านนางมื้อเช้าได้กินธัญพืชต้ม มื้อเที่ยงกับเย็นได้กินแค่มันเทศ
พอคิดแบบนี้แล้ว นางก็กินข้าวเร็วขึ้น ข้าวสวยนี้อร่อยมากจริงๆ! เนื้อกวางก็อร่อยมากด้วย!