นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 241 ทำธุรกิจที่คุ้นเคย ดีกว่าเริ่มทำธุรกิจใหม่
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 241 ทำธุรกิจที่คุ้นเคย ดีกว่าเริ่มทำธุรกิจใหม่
จากนั้นรับโจ๊กถ้วยโจ๊กใบนั้นมา และยกโจ๊กขึ้นดื่มจนหมด ทั่วทั้งร่างกายอบอุ่นขึ้น นางเริ่มรู้สึกดีขึ้นบ้างแล้ว
ร่างกายอบอุ่น จิตใจย่อมดีขึ้นมาก ตำหนิสวีฉางหลินเองก็น้อยลง
แต่ก็ยังคิดว่าจะให้บทเรียนกับเขาสักหน่อย ไม่อย่างนั้น ถ้าหลังจากนี้เขายังทำแบบนี้กับนางอีก เกรงว่านางจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปี
“วันนี้ตั้งใจว่าจะไปขายถ่าน แต่กลายเป็นว่าขายถ่านเหล่านี้ไม่สำเร็จ ในเมื่อเป็นอย่างนี้ งั้นเจ้าก็ไปปลูกหญ้าเนเปียร์แคระเถอะ” โจวกุ้ยหลานมอบหมายหน้าที่
สวีฉางหลินช่วงนี้ไม่กล้าแหย่หาเรื่องภรรยานัก แบกตะกร้าสานของตัวเองไว้บนหลังแล้วเดินออกไป โจวกุ้ยหลานลุกขึ้นด้วยความยากลำบาก พาเจ้าก้อนน้อยไปขุดไส้เดือนด้านนอก
แน่นอนว่าตอนนี้นางนั่งคุกเข่าลงไม่ไหว จึงทำได้แต่นั่งอยู่ข้าง ๆ มองดูเจ้าก้อนน้อยขุดดิน
เจ้าก้อนน้อยขุดไส้เดือนด้วยความรวดเร็ว ท่านแม่ชอบไส้เดือน ตอนนี้ท่านแม่กำลังป่วยอยู่ ถ้าขุดไส้เดือนได้ท่านแม่ก็จะดีใจ หลังจากที่ดีใจอาการป่วยก็จะหาย……
โจวกุ้ยหลานไม่เข้าใจความคิดของเจ้าก้อนน้อย แต่เมื่อเห็นเจ้าก้อนน้อยขุดดินอย่างมีความสุข จิตใจของนางก็มีความสุขไปด้วย ปล่อยให้เขาทำมันต่อไป
ไม่ทันไร สวีฉางหลินก็กลับมา บนหลังแบกหญ้าเนเปียร์แคระอยู่เต็มตะกร้า
เขาวางตะกร้าลงบนแปลงผักผืนนั้น เนื่องจากโจวกุ้นหลานนั่งอาบแดดอยู่ข้างแปลงผัก เขาจึงพาเจ้าก้อนน้อยไปปลูกหญ้าเนเปียร์แคระด้วยกัน เพียงไม่นาน เขาก็ไปตักน้ำอีกครั้ง นำมารดเมล็ดหญ้าเนเปียร์แคระที่เพิ่งหว่านลงไป
ตลอดช่วงบ่าย โจวกุ้นหลานได้แต่นั่งลง ไม่ได้ขยับไปไหน อาบแสงแดดด้วยความสบายใจ โจวกุ้ยหลานแหงนหน้ามองพระอาทิตย์ รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า
สวีฉางหลินเงยหน้าขึ้น เห็นแม่นางกำลังยิ้มมาที่เขา ในใจก็รู้สึกดีใจ ความเร็วในการทำงานยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก
กระทั่งเขาทำงานจนเสร็จ ท้องฟ้ายังคงเป็นเวลาเช้าอยู่ เขาทำตามคำสั่งของโจวกุ้ยหลาน เก็บหญ้าเนเปียร์แคระของเมื่อวานที่ไม่สดใหม่ไปให้เหล่าไท่ไท่ที่อยู่ในหมู่บ้าน
“มีใครอยู่ไหม ?” ประตูห้องข้าง ๆ มีเสียงเด็กคนหนึ่งดังขึ้น
โจวกุ้ยหลานยกหัวขึ้น ตอบขานรับไปว่า “อยู่นี่ !”
เสียงนั้นเงียบลง เพียงไม่นาน ร่างอันผอมบางก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าโจวกุ้ยหลาน
“ที่แท้ก็หลิวอ้ายนี่เอง มีธุระอะไรงั้นหรือ ?” โจวกุ้ยหลานยิ้ม ขณะที่คิดจะลุกขึ้น ก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของตนเองนั้นปวดร้าวจนแทบทนไม่ไหว แต่ว่าตอนนี้มีคนมาหา จะให้นางนั่งอยู่ตลอดไปไม่ได้ จึงทำได้แต่ฝืนลุกขึ้นด้วยความเจ็บปวด
หลิวอ้ายที่แบกตะกร้าไว้รีบเดินเข้ามา ถามนางด้วยความเกรงใจว่า “พี่กุ้ยหลาน พี่ยังรับหนังสืออยู่หรือเปล่า ?”
“เจ้าอยากจะแลกอะไรงั้นหรือ ?” โจวกุ้ยหลานเอ่ยปากถามอย่างไม่รีบร้อน
หลิวอ้ายดวงตาเกิดประกายแวววาว รีบวางตะกร้าที่ตนแบกมาลง จากนั้นหยิบหนังสือที่อยู่ด้านในออกมา พลางพูดด้วยความดีใจว่า “ข้าอยากจะแลกกับแป้งหมี่สักหน่อย !”
แป้งหมี่น่ะ…….
โจวกุ้ยหลานครุ่นคิดถึงแป้งหมี่ในบ้าน แต่ว่ามันเหลืออยู่ไม่มากแล้ว
“ที่เจ้าแลกไปคราวนั้นกินหมดแล้วหรือ ?”
“ช่วงนี้ท่านพ่ออยากอาหารขึ้นมากแล้ว ร่างกายก็แข็งแรงขึ้นมาก ข้าแค่อยากจะถามว่า…..” พูดได้เพียงเท่านี้ หลิวอ้ายก็เกิดความเกรงใจขึ้นมา
ก่อนหน้านี้เขากำลังคิดว่าตนเองกำลังเอาเปรียบที่เอาแป้งหมี่กลับไปมากขนาดนั้น แล้ววันนี้ยังกลับมาเอาอีก
“มีอยู่ เจ้าเข้าไปในห้องกับข้าแล้วกัน” โจวกุ้ยหลานพูด จากนั้นพาเด็กทั้งสองเดินเข้าไปในห้องด้านใน
ร่างกายไม่สบาย ท่าทางการเดินของนางจึงแปลกไปสักนิด หลิวอ้ายที่เดินตามมาด้านหลังย่อมสังเกตเห็น
“พี่กุ้ยหลาน ขาพี่เป็นอะไรงั้นหรือ ?”
โจวกุ้ยหลานชะงัก รู้สึกละอายใจ ยกมุมปากขึ้น ยิ้มออกมาด้วยความขัดเขิน “ขาชาน่ะ”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ถามอะไรอีก โจวกุ้ยหลานก็รู้สึกสบายใจขึ้น
เข้าไปในห้องครัวของตนเอง หยิบหมี่ขาวออกมาสองจิน ส่งให้กับหลิวอ้าย จากนั้นพูดอย่างยิ้มแย้มว่า “เอาพวกนี้กลับไปกินก่อน อีกสองวันข้าจะไปคุยอะไรกับพ่อเจ้าสักหน่อย”
หลิวอ้ายหยิบหนังสือในตะกร้าออกมาสองเล่มวางไว้บนเตา จากนั้นหยิบแป้งหมี่เก็บเข้าไป และเดินออกไปอย่างมีความสุข
มองเห็นร่างผอมแห้งจนเห็นกระดูกของเด็กคนนั้น นางยังอดที่จะเห็นใจไม่ได้
ในกลางดึกคืนนั้น สวีฉางหลินดูแลเจ้าก้อนน้อยจนหลับแล้ว เขาจึงกล้าลุกจากเตียงของเจ้าก้อนน้อยกลับไปยังเตียงของโจวกุ้ยหลาน
ผ่านไปสองวัน สวีฉางหลินก็ออกไปเผาฟืนอีกครั้ง โจวกุ้ยหลานพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ร่างกายไม่ได้ไม่สบายขนาดนั้นแล้ว
กระทั่งถึงเช้าวันที่สาม สวีฉางหลินไปหาเหล่าหม่าโถว ทิ้งเกวียนวัวของเขาให้รออยู่ที่ตีนเขา แบกฟืนลงจากเขา ไปใส่ไว้ในรถ จากนั้นตามโจวกุ้ยหลานเข้าไปในตำบลด้วยกัน
ในขณะเดียวกันก็นำเจ้าก้อนน้อยไปส่งให้เหล่าไท่ไท่ดูแลด้วย
ก่อนที่จะเดินเข้าตำบลไป
พวกเขานำฟืนทั้งหมดไปชั่งกับเถ้าแก่โจวก่อน แลกมาได้ทั้งหมดยี่สิบสองยี่สิบสามตำลึง
พอคิดเงินเสร็จ เถ้าแก่โจวก็เชิญสองสามีภรรยาเข้าไปนั่งในห้องด้านใน จากนั้นต้มชาอย่างดีให้แก่พวกเขา พูดคุยกับโจวกุ้ยหลานสักพัก ก่อนจะเอ่ยปากพูดลองเชิงพวกเขาว่า “กุ้ยหลาน ได้ยินว่าน้องสาวของนางไปแต่งงานกับเถ้าแก่เฉียนโรงเตี๊ยมไป่เว่ยแล้วหรือ ?”
“ลูกพี่ลูกน้องน่ะ” โจวกุ้ยหลานตอบตามจริง
ได้ยินดังนั้น สีหน้าของเถ้าแก่โจวก็แข็งทื่อทันที
ในที่สุดก็กลายเป็นญาติกันแล้ว……
“งั้น…..ธุรกิจค้าฟืนนี้……เจ้าก็ให้เขาไปแล้วงั้นหรือ ?” เถ้าแก่โจวลองถามนาง
โจวกุ้ยหลานเอ่ยปากถามอย่างยิ้มแย้มไปว่า “ทำไมเถ้าแก่โจวถึงถามเรื่องนี้ล่ะ ?”
เมื่อเห็นว่านางไม่ปฏิเสธ เถ้าแก่โจวก็ทายว่านางยอมรับแล้ว ถอนหายใจออกมา “ข้าเทียบกับเถ้าแก่เฉียนไม่ได้หรอก อย่างแรก เขามีเงินมากกว่าข้า ย่อมจ่ายเงินได้มากกว่า อย่างที่สอง เขามีเส้นสายมากกว่าข้า รู้จักคนมากมาย ยิ่งพวกเจ้าเป็นญาติกัน ก็น่าจะทำธุรกิจกับเขา ฉันไปโทษอะไรเจ้าไม่ได้หรอก……”
พูดเสร็จ เถ้าแก่โจวก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
ธุรกิจค้าฟืนในช่วงฤดูหนาวนี้ของเขาดีที่สุด ทั้งหมดล้วนถูกส่งขายเข้าไปในอำเภอ ยากที่จะมีธุรกิจอื่นขยายมาได้ ใครจะคิดว่าเถ้าแก่เฉียนจะแต่งงานกับน้องสาวของกุ้ยหลานกันล่ะ ?
โจวกุ้ยหลานไม่คิดว่าเถ้าแก่โจวจะดีขนาดนี้ ที่ไม่ได้ต่อว่านาง แน่นอนว่านี่คือคนทำธุรกิจที่แท้จริง
“เถ้าแก่โจว นี่ท่านไม่คิดจะทำธุรกิจกับข้าแล้วหรือ ?” โจวกุ้ยหลานถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ซะเมื่อไหร่กันล่ะ ? แต่ทางด้านนั่นไม่ใช่ญาติของเจ้าหรือไง ?” เถ้าแก่โจวพูด พลางส่ายหัวไปมา
จริงอย่างที่ว่าคนคำนวณไม่สู้ลิขิตฟ้า
เรื่องนี้จะว่านางไม่ได้ สุดท้ายแล้วการทำธุรกิจที่คุ้นเคยย่อมดีกว่าการเริ่มใหม่ หากระหว่างเครือญาติไม่ทำธุรกิจกัน ก็คงไม่ต้องเป็นญาติกันแล้ว
“งั้นก็เรียบร้อยแล้วนี่ ? หลังจากนี้ ฉันยังส่งถ่านให้พวกท่านอยู่” โจวกุ้ยหลานตอบรับด้วยเสียงที่คมชัด
“อืม เกรงว่าหลังจากนี้พวกเรา……เจ้าพูดว่าอะไรนะ ?” เถ้าแก่โจวพูดออกมาได้เพียงครึ่งเดียว ทันทีที่นึกถึงคำพูดของโจวกุ้ยหลาน เขาก็มองนางอย่างไม่เชื่อสายตา
เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าเขาฟังผิดไปหรอกหรือ ?
โจวกุ้ยหลานยิ้มพลางส่ายหัวไปมา “เถ้าแก่โจว ธุรกิจของพวกเรากำลังไปได้สวย ทำไมข้าจะไม่ทำธุรกิจกับท่านแล้วไปทำกับคนอื่นล่ะ ? ท่านก็เพิ่งบอก ทำธุรกิจที่คุ้นเคยย่อมดีกว่าไปเริ่มต้นใหม่ งั้นข้ายิ่งคุ้นเคยกับท่าน แน่นอนว่าต้องทำกับท่านสิ”
“ตะ….แต่……”
“ญาติก็ส่วนญาติ ธุรกิจก็ส่วนธุรกิจ จำเป็นด้วยหรือที่เป็นญาติกันแล้วต้องบังคับซื้อบังคับขายน่ะ ?” โจวกุ้ยหลานตอบคำพูดของเถ้าแก่โจว ยกน้ำชาขึ้นดื่ม