นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 247 เจ้าจะฆ่าลูกของข้า!
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 247 เจ้าจะฆ่าลูกของข้า!
ทันทีที่คิดแบบนี้ สายตาของเขาเลื่อนไปที่ใบหน้าของโจวกุ้ยหลาน เมื่อเห็นสีหน้าของนางดูปกติมาก ๆ ก็แอบถอนหายใจอย่างโล่องอกในใจ
เมื่อคิดว่าอย่างไรที่นี่ก็เป็นทางเดิน เขาก็รีบยิ้มแล้วพูดว่า “หรือไม่พวกเราเข้าไปในห้องส่วนตัวกันก่อน แล้วค่อยคุยกันดีหรือไม่?”
“เถ้าแก่ไป๋ ท่านไปทำงานเถอะ พวกเราจะกินข้าวกันก่อนแล้ว” โจวกุ้ยหลานตอบรับคำพูดของไป๋ยี่เซวียน ก่อนจะยกขาขึ้นแล้วก้าวเดินเข้าไปในห้องทันที
ระหว่างที่โจวชิวเซียงเพิ่งคิดจะก้าวขึ้นไปข้างหน้า โจวกุ้ยหลานก็ยกมือขึ้นปิดประตูทันที เร็วมากจนเกือบจะกระแทกโดนจมูกของนางอยู่แล้ว
โจวกุ้ยหลานถึงกับทำแบบนี้กับนางเลยรึ?
ด้วยความเร่งรีบ นางรีบยกมือขึ้นกุมท้องตัวเองทันที ปากก็คร่ำครวญว่า: “อั้ยหยา! ท้องของข้า! ลูกของข้า! โจวกุ้ยหลาน เจ้าคิดจะฆ่าลูกของข้ารึ!”
โจวกุ้ยหลานกระทั่งจะขมวดคิ้วก็ยังคร้านจะทำ ตะโกนออกไปที่ประตูประโยคหนึ่งว่า “เจ้าไม่ใช่ว่าเพิ่งจะแต่งงานรึ? ลูกมาจากไหน?”
คำพูดประโยคเดียว ทำให้โจวชิวเซียงโกรธจนแทบจะลงไปนอนดิ้นตายให้ได้แล้ว
นางก็ไม่มัวเสแสร้งอีกต่อไป เงื้อมือขึ้นตบ ๆ ประตูหลายต่อหลายครั้ง นางตั้งท้องแล้วจริง ๆ แต่แค่ตอนนี้ยังพูดออกมาไม่ได้เฉย ๆ เพราะไม่อย่างนั้นคนอื่นก็จะรู้กันหมดว่า นางยังไม่ทันได้แต่งงานก็มีลูกซะแล้ว
ที่หมู่บ้านต้าสือนั้นยังไม่เท่าไหร่ เพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่เห็นคนพวกนั้นในสายตาอยู่แล้ว แต่ในตำบลนี้ นางยังต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไปทั้งชีวิตนะ!
แต่น่าเสียดาย ไม่ว่านางจะแผลงฤทธิ์สักแค่ไหน คนในห้องก็ไม่สนใจที่จะตอบอะไรนางกลับมาอีก นางจึงทำได้แค่เตะประตูไปครั้งนึง แล้วเดินลิ่ว ๆ ออกไปภายใต้สายตาสอดรู้ของคนอื่น
โจวกุ้ยหลานเดินกลับมายังที่นั่งก่อนหน้านี้แล้วนั่งลง คีบปลาขึ้นมากินชิ้นหนึ่ง พลางเอ่ยปากทักทายเถ้าแก่โจวกับสวีฉางหลิน เชิญให้พวกเขานั่งลงกินข้าวด้วยกัน เมื่อทั้งสองคนเห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง ก็พากันนั่งลงในตำแหน่งที่นั่งเดิมก่อนหน้านี้
ไป๋ยี่เซวียนที่อยู่ข้างนอก หลังจากไปส่งพระโพธิสัตว์เฒ่าเจ้าปัญหาออกไปด้วยตัวเองเสร็จ เขาก็กลับมาที่ห้องส่วนตัว หลังจากเข้าไปนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ก็ทำท่าทางอึกอักลังเลคล้ายอยากจะพูดอะไรสักอย่างกับโจวกุ้ยหลาน
สวีฉางหลินที่อยู่ข้าง ๆ เห็นท่าทางแบบนี้ของเขา ในใจก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาตงิด ๆ ขณะที่เพิ่งคิดว่าจะลุกขึ้นไปเชิญให้เขาออกไป คิดไม่ถึงว่าภรรยาตัวน้อยจะเป็นฝ่ายชิงพูดขึ้นมาก่อน
“เถ้าแก่ไป๋ น้ำแกงไก่ในโรงเตี๊ยมของเจ้าทำได้ไม่เลวเลย” พูดจบ โจวกุ้ยหลานก็ดื่มน้ำแกงไก่เข้าไปอีกคำ
เมื่อได้รับคำชมจากโจวกุ้ยหลานขนาดนี้ ไป๋ยี่เซวียนย่อมปลาบปลื้มยินดีมากเป็นธรรมดา: “ได้รับคำชมจากฮูหยินสวีเช่นนี้ อีกประเดี๋ยวข้าจะรีบไปขึ้นค่าแรงให้พ่อครัวเลยล่ะ”
สวีฉางหลินที่เมื่อครู่ยังรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจอยู่น้อย ๆ พอได้ยินคำเรียกขานว่า “ฮูหยินสวี”คำนี้ของไป๋ยี่เซวียนเข้าไป ในใจก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายขึ้นมาไม่น้อย เห็นหน้าไป๋ยี่เซวียนก็รู้สึกว่าไม่ถึงกับขัดนัยน์ตาเท่าไหร่แล้ว
เมื่อรู้สึกว่าการสายตาที่จ้องมองมาอย่างน่าสะพรึงกลัว ได้สูญสลายหายไปจากร่างของเขาแล้ว ไป๋ยี่เซวียนก็ถอนหายใจออกมาด้วยความปลอดโปร่งโล่งอกในที่สุด
โชคดีที่เขาเดิมพันได้ถูกต้องแล้ว
โจวกุ้ยหลานกลับไม่ได้สังเกตเห็นกระแสคลื่นใต้น้ำระหว่างพวกเขาเลย พูดกลับไปด้วยรอยยิ้มทันทีว่า: “เถ้าแก่ไป๋ เจ้าไปจัดหาไก่พวกนี้มาจากไหนรึ?”
“ส่วนใหญ่จะกระจายซื้อจากบรรดาพ่อค้ารายย่อย มีเกษตรกรบางคนที่บ้านเลี้ยงไก่จะนำไก่มาขายในตำบลน่ะ” ไป๋ยี่เซวียนผู้นี้ก็ตอบกลับอย่างไม่ปิดบัง
โจวกุ้ยหลานลอบยินดีในใจ ดูเหมือนว่าในอนาคต นางจะมีโอกาสจัดหาไก่เหล่านี้ไปได้อีกนานเลยทีเดียว
โจวกุ้ยหลานปรายตามองไปที่เถ้าแก่โจวที่อยู่ข้าง ๆ ไม่ได้คุยประเด็นนี้ต่อ แต่ยังคงดื่มน้ำแกงต่อไป
คำพูดเหล่านี้กลับทำให้ไป๋ยี่เซวียนคิดไตร่ตรองขึ้นมาทันที เมื่อเขาคิดถึงความร่วมมือในอนาคตที่โจวกุ้ยหลานเอ่ยถึงก่อนหน้านี้ ก็พอจะเข้าใจอะไรได้คร่าว ๆ แล้ว จึงยิ้มแย้มยินดี สายตาปรายมองไปที่เถ้าแก่โจวคล้ายตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่ตั้งใจ แต่ก็เบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาไปอีกประเด็นหนึ่ง
“ฮูหยินสวี ท่านมากินข้าวที่โรงเตี๊ยมข้า ฮูหยินเฉียนแห่งโรงเตี๊ยมไป่เว่ยจะไม่พอใจหรือไม่?”
คำพูดประโยคนี้ทำให้เถ้าแก่โจวถึงกับหัวใจเต้นโครมคราม สายตาพลันจับจ้องไปที่โจวกุ้ยหลานโดยไม่รู้ตัว
โจวกุ้ยหลานวางช้อนในมือลง มองไปที่ไป๋ยี่เซวียน ก่อนจะยิ้มด้วยรอยยิ้มที่สดใสเต็มใบหน้า: “ก็ที่โรงเตี๊ยมไป่เว่ยไม่ได้มีน้ำแกงไก่ที่อร่อยขนาดนี้นี่”
ไป๋ยี่เซวียนถูกรอยยิ้มนี้ของนางทำให้มึนงงหลงใหลไปชั่วขณะ เมื่อฟื้นคืนสติกลับมารู้ตัว ก็รู้สึกเย็นยะเยือกที่แผ่นหลังขึ้นมาอีกระลอก
คราวนี้เขาไม่นั่งต่อแล้ว กล่าวลาคนทั้งสาม แล้วรีบเผ่นออกจากห้องส่วนตัวห้องนั้นไปทันที
จนเดินไปถึงบันไดแล้ว หัวใจของเขาก็ยังเต้นปึงปังไม่หยุด โจวกุ้ยหลานผู้นี้ยิ่งนับวันก็ยิ่งงดงามขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ทั้งยังมีกริยาท่าทางที่ดูไม่เหมือนสาวบ้านนอกเลยสักนิด แต่น่าเสียดายที่ดันแต่งงานไปซะแล้ว…..
คิด ๆ ไป เขาก็ส่ายหัว เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีกเล็กน้อย เมื่อหวนนึกถึงคำใบ้เมื่อครู่ของโจวกุ้ยหลาน เขาก็อารมณ์ดีอย่างยิ่ง
อย่างน้อย ๆ เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าโรงเตี๊ยมไป่เว่ยจะได้สูตรลับที่เขาซื้อมา เท่านี้…ก็เพียงพอแล้ว
แต่ในอนาคต จะอย่างไรก็ต้องสร้างความสัมพันธ์อันดีกับพวกเขาไว้….
สามคนในห้องกินข้าวไปพลาง พูดคุยกันไปพลาง ผ่านไปไม่นานก็อิ่ม ทั้งสามกล่าวคำอำลากับไป๋ ยี่เซวียน แล้วเดินตามโจวกุ้ยหลานออกมา เห็นโจวชิวเซียงยืนสองมือเท้าเอวอยู่หน้าประตู ถ่มน้ำลายใส่นางที่อยู่ทางนี้อย่างกักขฬะ โจวกุ้ยหลานแสร้งทำเป็นว่าตัวเองตาบอดมองไม่เห็น เดินตรงไปทางร้านขายของชำของเถ้าแก่โจว ทิ้งโจวชิวเซียงไว้ข้างหลัง ปล่อยให้นางโกรธจนกระทืบเท้าเร่า ๆ
เมื่อคนทั้งสามมาถึงร้านขายของชำ โจวกุ้ยหลานกับสวีฉางหลินปฏิเสธน้ำใจของเถ้าแก่โจวไม่ไหว จึงทำได้แค่ปล่อยให้เขาช่วยขนทุกอย่างขึ้นไปวางบนรถม้า แล้วให้ผู้ช่วยขับรถม้าตรงไปยังหมู่บ้านต้าสือ
เมื่อมาถึงเชิงเขา พวกโจวกุ้ยหลานสองคนก็ลงจากรถ ช่วยสวีฉางหลินขนของทั้งหมดลงมา จากนั้นสวีฉางหลินก็ให้โจวกุ้ยหลานหอบหิ้วพวกลูกไก่ลูกเป็ดไป ในขณะที่เขาเลือกแบกหามพวกข้าวของหนัก ๆ ที่โจวกุ้ยหลานซื้อมาจากร้านขายของชำของเถ้าแก่โจว
ทั้งสองต้องแบ่งขนกันสองรอบ จึงสามารถขนย้ายทุกอย่างขึ้นเขาได้ครบหมด
โจวกุ้ยหลานวางลูกไก่ลงไปในเล้าของพวกแม่ไก่แก่ ๆ ในเล้าไก่จึงเกิดเสียงร้องเอะอะอื้ออึงดังลั่นไม่หยุด
ต่อให้ร้องดังแค่ไหนนางก็ไม่สน เพราะถึงยังไงหลังจากที่พวกมันพบว่าให้ร้องเสียงดังเอะอะแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ เดี๋ยวพวกมันก็จะยอมแต่โดยดีเองนั่นแหล่ะ
ส่วนพวกลูกเป็ดกับลูกห่านนั้น เพราะว่าสุดท้ายแล้วยังไงมันก็ดูแตกต่างกันเกินไป โจวกุ้ยหลานกลัวว่าพวกแม่ไก่แก่เหล่านั้นจะจิกพวกมันจนบาดเจ็บ จึงนำพวกมันไปเลี้ยงไว้ด้วยกันในเล้าที่อยู่ข้าง ๆ แทน
เพิ่งจะทำเรื่องพวกนี้เสร็จ ก็หันไปเห็นสวีฉางหลินถือถังอาหารหมูใบหนึ่งเข้ามาโรงเลี้ยงหมู แล้วเอาไปป้อนให้หมูผอมโซที่เขาซื้อมาเมื่อก่อนปีใหม่
เมื่อเห็นหมูตัวนั้นกินด้วยท่าทางสุดแสนจะมีความสุข โจวกุ้ยหลานก็อดส่ายหน้าไม่ได้
เลี้ยงจนหมูตัวหนึ่งผอมกระหร่องขนาดนี้ได้ บ้านนั้นก็ลำบากน่าดูเลยสินะ
หลังจากทำงานทางนี้เสร็จ สวีฉางหลินก็ไปที่ทุ่งหลังเรือนไม้ไผ่ด้านนอกเพื่อปลูกหญ้าเนเปียร์แคระต่อ (*หญ้าเนเปียร์แคระมีอีกชื่อว่าหญ้าบาน่า เป็นอาหารสัตว์ที่มีโปรตีนสูง ทั้งยังให้ผลผลิตสูงที่นิยมปลูกกันในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน มีลักษณะการปรับตัวที่แข็งแกร่ง ขยายพันธุ์เร็ว ให้ผลผลิตสูง คุณภาพดีและอายุยืนยาว แต่ละปีสามารถเก็บเกี่ยวได้ 6-8 ครั้ง) โจวกุ้ยหลานจัดเก็บข้าวของทั้งหมดที่ซื้อมาเรียบร้อย ก็กลับไปต้มน้ำร้อนดื่ม พอมองดูในบ้าน ก็เอาแต่รู้สึกว่ายังมีของอีกมากที่ต้องซื้อมาเพิ่ม แต่วันนี้พวกเครื่องปรุงรสในครัวถูกนางซื้อมาใส่จนเต็มแน่นครบถ้วนทั้งหมดแล้ว
เมื่อเป็นแบบนี้ หลังจากนี้ไปก็สามารถทำอาหารอร่อย ๆ กินได้แล้ว
ระหว่างที่คิดแบบนั้น ก็หวนนึกถึงกระเป๋าคาดเอวที่แฟบลง ๆ ไปทุกขณะ ก็ได้แต่ส่ายหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า พลางถอนหายใจเฮือก ๆ
ดูแล้วเหมือนว่า ในอนาคตยังต้องหาเงินอีกมากเลยล่ะนะ แถมตอนนี้ที่บ้านตัวเองก็มีอีกหลายปากที่รอกินอยู่ด้วย!
จากนั้นก็เหลือบมองไปที่เล้าไก่ นึกลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังไม่ปล่อยพวกไก่ออกมา วันนี้พวกเขาเข้าตำบลแต่เช้า นางกลัวว่าไก่จะเดินพลัดหลงหายไป จึงขังพวกมันไว้ตลอด ตอนนี้ก็เอาลูกไก่ใส่เข้าไปหมดแล้วด้วย อีกเดี๋ยวพอให้อาหารพวกมันเสร็จ ค่อยปล่อยออกมาทีหลังแล้วกัน
เมื่อคิดแบบนี้ โจวกุ้ยหลานก็เดินไปที่แปลงผักด้านหลัง เห็นว่าสวีฉางหลินกำลังค่อย ๆ ปลูกหญ้าเนเปียร์แคระทีละเล็กทีละน้อย โจวกุ้ยหลานก็เดินเข้าไปหา ช่วยเขาปลูกด้วยอีกแรง
“หรือไม่พวกเราก็ไปรับเสี่ยวเทียนกลับมาก่อนเถอะนะ ไม่อย่างนั้นอีกเดี๋ยวฟ้าก็จะมืดแล้ว” โจวกุ้ยหลานปลูกหญ้าเนเปียร์แคระเสร็จ ก็เงยหน้ามองสวีฉางหลินที่กำลังทำงานอย่างขะมักเขม้นอยู่
“วันนี้ไม่ไปรับกลับแล้วล่ะ” สวีฉางหลินยังคงขุดหลุมต่อ ตอบกลับมาอย่างไม่ใส่ใจนัก
โจวกุ้ยหลานรู้สึกประหลาดใจ: “เสี่ยวเทียนไม่ใช่หลานชายแท้ ๆ ของแม่ข้านะ”