นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 249 เป็นข้าที่ทำให้แม่ต้องพลอยลำบากไปด้วย
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 249 เป็นข้าที่ทำให้แม่ต้องพลอยลำบากไปด้วย
“ได้ ทางนี้ก็ต้องปรับเก็บหน้าดินพอดี เสียดายก็แต่รายได้ในอนาคตจะน้อยลงแล้ว….” เหล่าไท่ไท่ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าตรงอกเสื้อ ในนั้นมีเงินอยู่หลายตำลึงที่ลูกเขยเพิ่งเอามาให้นางเมื่อครู่
ไม่ง่ายเลยกว่านางจะมีรายได้ดี ๆ แบบนี้ แต่จู่ ๆ ก็จะไม่มีเสียแล้ว ในใจจึงเอาแต่รู้สึกอาลัยอาวรณ์ไม่หาย
แต่ผ่านไปเพียงครู่เดียว ก็คิดอีกว่าอย่างน้อยนางก็ยังมีเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ เข้ามาทุกเดือน รอให้ถึงฤดูหนาวก็จะสามารถทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ นางจึงใช้สิ่งนี้ปลอบใจตัวเองให้ผ่านพ้นไปได้
เหล่าไท่ไท่ก็ไม่ใช่คนที่ทำอะไรชักช้าเชือนแช ยกขาได้ก็เดินเข้าไปในครัวเพื่อทำอาหารทันที โจว คายจือรีบถอดเสื้อผ้าที่ใส่ไปทำงานออก รีบเดินตามเข้าไปในครัวเพื่อช่วยแม่ทำอาหาร ที่ด้านนอก สวีฉางหลินถูกเจ้าก้อนน้อยลากตัวไป รบเร้าให้ช่วยสอนเขาให้เขียนอักษรตัวอื่นบ้าง ซานญากับเสี่ยวหู่ต่างก็มีความสุขกันสุดขีด
ในห้องครัว โจวคายจือมองดูเหล่าไท่ไท่ที่กำลังจุดไฟอยู่ เผยท่าทางอึกอักลังเล
เหล่าไท่ไท่เห็นท่าทีของนาง ก็รู้แล้วว่านางต้องการจะพูดอะไร “พอดีช่วงนี้ต้องปรับดินให้สมดุลอยู่แล้ว ไม่มีรายได้ก็ต้องปล่อยให้ไม่มีไปนั่นแหล่ะ จะปล่อยให้ดินหมดสภาพไม่ได้”
“แม่ ถ้าอย่างนั้นค่าใช้จ่ายของบ้านนี้ก็จะสูงเกินไป….” โจวคายจือพูดไปได้ครึ่งเดียวก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะสุดท้ายแล้ว ตอนนี้ที่บ้านหลังนี้มีครอบครัวของนางเพิ่มเข้ามาอีกหลายปากท้อง พวกเขาต่างก็กินต่างก็ใช้ข้าวของในบ้านหลังนี้ไปราว ๆ เจ็ดแปดส่วนแล้ว
“อย่าไปคิดเรื่องพวกนั้นอีกเลย เข้าฤดูใบไม้ผลิแล้วพาลูก ๆ ลงนาให้หมด ตระเตรียมดินสำหรับเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิโดยเร็ว ให้ต้าญามาปลูกผักกับข้า ดูแลในบ้าน ” เหล่าไท่ไท่ไม่ยินดีที่จะพูดถึงเรื่องนี้ จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที
โจวคายจือเข้าใจความหมายที่แม่ต้องการจะสื่อ ในใจจึงรู้สึกว้าวุ่นสับสนไปหมด
การที่ลูกสาวที่แต่งออกไปแล้วคนหนึ่ง พาครอบครัวตัวเองมาอาศัยอยู่บ้านแม่ ถือว่าเป็นเรื่องที่ใช้ไม่ได้อย่างยิ่ง โจวคายจือเองก็ได้ยินคำซุบซิบนินทาของคนในหมู่บ้านด้วยเช่นกัน แต่ในเดือนนี้ ลูก ๆ ของนางต่างก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาก ใบหน้าก็ดูมีเลือดฝาดขึ้นมาได้ในที่สุด เริ่มอ้วนท้วนมีเนื้อมีหนัง ในใจนางจึงยิ่งไม่อยากให้ลูก ๆ ของตัวเองกลับไปพบเจอความทุกข์ยากลำบากอีก
“เป็นข้าที่ทำให้แม่ต้องพลอยลำบากไปด้วย”
โจวคายจือก้มหน้าลงต่ำ ทอดถอนใจอย่างเป็นทุกข์
เหล่าไท่ไท่ขมวดคิ้ว เริ่มรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาตงิด ๆ แล้ว: “แล้วไอ้เวรตะไลซุนโก่วต้านนั่นมันหมายความว่ายังไงล่ะ? ไม่ใช่ว่ามันแยกบ้านไปแล้วหรอกหรือ? เดือนนึงแล้วก็ไม่เห็นว่ามันจะเฉียดมาที่นี่เลยไม่ใช่รึ?”
พอพูดถึงเรื่องนี้ โจวคายจือก็ก้มหน้าลงต่ำ ไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว
เหล่าไท่ไท่แค่นเสียงเย็นชา: “ใครบอกให้เจ้าแต่งงานกับไอ้ตัวขี้ขลาดนั่นล่ะ! ความมุ่งมั่นแบบไม่ได้มีชีวิตอยู่ก็พร้อมยอมตายของเจ้ามันหายไปไหนแล้ว? ถึงได้มาทำสีหน้าซังกะตายแบบนี้ใส่แม่เจ้า!”
หัวของโจวคายจือยิ่งห้อยต่ำลงไปกว่าเดิมแล้ว
เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่นางยินดีที่จะทำมันเอง
เหล่าไท่ไท่คร้านจะด่านางแล้ว ถ้าคนของตระกูลซุนนั่นไม่ยอมมา เช่นนั้นก็ปล่อยให้ลูกสาวของนางใช้ชีวิตอยู่ต่อไปอย่างนี้นี่แหล่ะ!
มื้อค่ำโจวคายจือทำเซาปิ่งกุ้ยช่าย ทั้งยังต้มโจ๊กหม้อใหญ่ ทั้งครอบครัวนั่งล้อมวงกันกินอย่างมีความสุข สวีฉางหลินห่อเซาปิ่งกับโจ๊กไปนิดหน่อย แล้วพาเจ้าก้อนน้อยลัดเลาะฝ่าความมืดไปที่บ้านของโจวต้าซาน หลังจากบอกเรื่องนี้เสร็จแล้ว ก็ตรงกลับบ้านของตัวเองทันที
พอถึงบ้าน โจวกุ้ยหลานยังคงหลับอยู่ สวีฉางหลินเดินเข้าไปปลุกโจวกุ้ยหลานตื่น หยิบเอาโจ๊กกับเซาปิ่งที่ห่อมายื่นให้โจวกุ้ยหลาน
โจวกุ้ยหลานเองก็หิวแล้ว รับเซาปิ่งกับโจ๊กมาได้ก็เริ่มกินแบบคำโต ๆ แม้ว่าเซาปิ่งจะมีรสชาติธรรมดา ๆ แต่เพราะไม่ต้องให้นางเข้าครัวทำอาหารเอง นางเลยไม่มีอะไรจะบ่นเหมือนกัน
ตอนนี้เองค่อยนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ให้อาหารไก่กับเป็ด จึงเรียกสวีฉางหลินทันที ให้เขาไปให้อาหารพวกมัน ยังสั่งให้อีกเดี๋ยวต้องอาบน้ำให้เจ้าก้อนน้อยด้วย
ผู้ชายบางคนที่ได้รับความพออกพอใจอย่างเต็มที่ รีบไปทำตามคำสั่งของภรรยาอย่างเชื่อฟัง วิ่งวุ่นทำงานเข้านอกออกในไม่หยุด
หลังจากที่โจวกุ้ยหลานบ้วนปากเสร็จ ก็นอนลงผล็อยหลับไปก่อนแล้ว
ไม่ใช่ว่านางขี้เกียจ แต่นางเหนื่อยเกินไป จนถึงตอนนี้กระทั่งเปลือกตาก็ยังลืมไม่ขึ้นแล้ว
ชั่วขณะที่กำลังสะลึมสะลือ ก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวไปมาอยู่รอบ ๆ ตัวนาง นางไม่ได้ลืมตา เงื้อมือขึ้นได้ก็สะบัดฟาดออกไปทันที ฟาดเสร็จก็หลับตานอนหลับต่อ
สวีฉางหลินที่ถูกฟาดเข้าจนเต็มหน้าชะงักไปเล็กน้อย เงยหน้าขึ้น ก็เห็นว่าภรรยาตัวน้อยของตัวเองนอนหลับไปอีกแล้ว เขาแอบรู้สึกไม่พอใจนิด ๆ แล้วถอดเสื้อผ้าของภรรยาต่อ…..
คืนนั้นทั้งคืนโจวกุ้ยหลานไม่ได้นอนหลับดี เพราะโดนคนลักหลับไม่หยุด
รอจนนางตื่นขึ้นมา ก็รู้สึกเหมือนกับว่าเอวแทบจะหักให้ได้แล้ว
ครั้งนี้บนเตียงเตาไม่มีคนอยู่แล้ว โจวกุ้ยหลานฝืนอดทนต่อความปวดเมื่อย ลุกขึ้นสวมเสื้อผ้า ขณะที่พับผ้าห่มขึ้น ก็พบว่าทั้งผ้าปูที่นอนและผ้าห่มต่างก็ตกอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้ไปแล้ว
หน้าของนางพลันร้อนฉ่า สุดท้ายก็จำต้องแข็งใจ เลิกบรรดาผ้าห่มออก นำไปรวมกับผ้าปูที่นอนแล้วม้วนจนเป็นก้อนกลม ๆ ไปวางไว้ในอ่างไม้ อุ้มเดินตรงไปที่บ่อน้ำที่อยู่ในสวน ตักน้ำขึ้นมา แช่พวกผ้าปูที่นอนเหล่านี้ไว้ในอ่าง ตัวเองก็แยกไปล้างเนื้อล้างตัว เมื่อเดินมาถึงห้องครัว ก็พบว่ามีโจ๊กข้าวชามหนึ่งตั้งอุ่นอยู่ในหม้อ
“นับว่ารู้จักเอาตัวรอดนะ!” โจวกุ้ยหลานพูดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ยกชามโจ๊กที่ยังอุ่น ๆ อยู่ชามนั้นขึ้นมาดื่ม ค่อยรู้สึกว่าร่างกายอบอุ่นขึ้นบ้าง ทั้งยังมีเรี่ยวแรงขึ้นมานิดหน่อย
หลังจากนั่งได้ครู่หนึ่ง นางก็ลุกขึ้นยืน หยิบจ้าวเจี่ยว(นำมาอาบน้ำหรือซักผ้า)ที่อยู่ในบ้าน แล้วเดินออกไปที่ลานเพื่อซักเสื้อผ้า
ตอนนี้ไม่มีใครอยู่บ้าน แปลว่าสวีฉางหลินต้องกำลังไปปลูกหญ้าเนเปียร์แคระแน่ ๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าก้อนน้อยไปอยู่ที่ไหนแล้ว
เพิ่งจะซักผ้าปูที่นอนเสร็จ ก็ได้ยินเสียงเหล่าไท่ไท่ตะโกนอยู่ข้างนอก โจวกุ้ยหลานตอบรับไปประโยคหนึ่ง เดินไปเปิดประตูเรือน เห็นว่าในมือของเหล่าไท่ไท่ยังหิ้วตะกร้ามาด้วยใบหนึ่ง กวาดสายตามองไว ๆ ก็เห็นว่าในนั้นมีไข่อยู่หลายสิบฟอง
“แม่ มาทำไมรึ?” โจวกุ้ยหลานพูดพลาง ก็เอื้อมมือไปรับตะกร้ามาจากมือของเหล่าไท่ไท่ แล้วเชิญนางเข้าไปในบ้าน
เหล่าไท่ไท่มองสำรวจสีหน้าของโจวกุ้ยหลาน: “ทำไมเจ้าถึงทำหน้านิ่วขมวดคิ้วแบบนั้น? หรือว่าจะไม่สบายเข้าแล้ว?”
“ไม่หรอก แค่ไม่ค่อยมีแรงเฉย ๆ”
โจวกุ้ยหลานพูดพลาง ยื่นมือไปปิดประตูเรือนเข้ามา
“เมื่อวานนี้ข้าเห็นว่าฟ้ายังไม่ทันมืดเลย เจ้าก็นอนหลับเสียแล้ว พอวันนี้เช้ามา ฉางหลินก็เอาลูกมาส่งให้ข้าอีก ก็เลยแวะมาหาเจ้านี่แหล่ะ”
เหล่าไท่ไท่พูดพลาง ตาก็เหลือบไปเห็นอ่างไม้ข้างบ่อน้ำ จึงถกแขนเสื้อแล้วเดินตรงไปที่นั่น
“เจ้าป่วยอยู่แท้ ๆ จะซักเสื้อผ้าทำไม?”
เมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นของนาง ก็รู้เลยว่านางจะช่วยซักผ้าแน่ โจวกุ้ยหลานรีบหยุดนางไว้ รู้ว่านางเองก็ไม่ค่อยเต็มใจนัก: “แม่ พวกเราไปนั่งคุยกันสักครู่เถอะ พวกเสื้อผ้าเดี๋ยวข้าซักเองก็ได้”
“ข้ามาจนถึงที่นี่แล้ว แค่ช่วยเจ้าซักผ้าแค่นี้จะเป็นไรไป ? เจ้าจะมายื้อ ๆ ยุด ๆ อยู่ทำไมล่ะ?” ขณะที่เหล่าไท่ไท่พูดอยู่ นางก็ถูกโจวกุ้ยหลานผลักให้เดินเข้าไปข้างใน
“แม่ ข้าไม่เป็นไรหรอก ซักผ้าเองได้อยู่ แม่เข้าไปนั่งในบ้านก่อนเถอะนะ” โจวกุ้ยหลานพูดพลาง มือก็ดึงเหล่าไท่ไท่เดินไปข้างหน้าไม่หยุด
ถ้าให้แม่ไปเห็นร่องรอยสารพัดบนผ้าปูที่นอน นางยังจะมีหน้าอยู่สู้ใครได้อีกล่ะ?
เหล่าไท่ไท่ขมวดคิ้ว: “ในเมื่อเจ้าไม่เป็นอะไร ทำไมถึงได้ขี้เกียจแบบนี้ล่ะ? เรื่องเตรียมดินสำหรับเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิล่ะ? เจ้ายังนอนไม่ยอมลุกอีก? เสียดายที่บ้านของเจ้าไม่มีที่ดิน ไม่อย่างนั้นข้าจะรอดูเลยว่าเจ้าจะทำยังไง! ยังมีลานว่างขนาดใหญ่ของเจ้าตรงนี้อีก จะปลูกผักให้รอบ ๆ นี้เลยไม่ใช่รึ? เจ้าควรต้องลงมือปลูกให้มันเร็ว ๆ หน่อยสิ ไม่อย่างนั้นพอถึงเวลา จะกินทีเจ้าก็ต้องออกไปซื้อทีแล้วนะ!”
โจวกุ้ยหลานปวดหัวแทบระเบิด แต่เมื่อเทียบกับการถูกเหล่าไท่ไท่มาเห็นของพวกนั้นเข้า นางยอมถูกเหล่าไท่ไท่ก่นด่าสักหลาย ๆ ประโยคก็ยังจะดีเสียกว่า
เนื่องจากที่บ้านมีงานเยอะ เหล่าไท่ไท่เห็นว่าทางโจวกุ้ยหลานไม่ได้เป็นอะไร หลังจากก่นด่านางไปสี่ห้าประโยค ก็เดินลิ่ว ๆ กลับลงจากภูเขาไป
รอจนนางไปแล้ว โจวกุ้ยหลานก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็ประคองเอวของตัวเองที่จวนเจียนจะหักอยู่แล้ว ไปนั่งลงข้างบ่อน้ำต่อ แล้วค่อย ๆ ขัดถูผ้าปูที่นอนไปทีละเล็กทีละน้อย
ร่างกายของคนผู้นี้อ่อนแอบอบบางมาก นางใช้เวลาตลอดช่วงเช้า ทุ่มเทจนสุดกำลังถึงซักผ้าห่มผ้าปูเสร็จ เมื่อนำไปตากในลานแล้ว พอกลับมานั่งเก้าอี้นางก็ลุกไม่ไหวอีกเลย
ขณะที่กำลังพักผ่อนและอาบแดดอยู่ ผู้กระทำผิดก็ตะโกนเข้ามาจากข้างนอกว่า “น้องนาง เปิดประตูหน่อย”
โจวกุ้ยหลานกลอกตามองบนจนตาแทบพลิก: “ปวดเอวลุกไม่ไหว มีปัญญาเจ้าก็ปีนเข้ามาเอง”