นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 251 พวกเจ้ารังแกกันชัด ๆ!
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 251 พวกเจ้ารังแกกันชัด ๆ!
โจวคายจือกัดริมฝีปากล่างจนแน่น สีหน้าตื่นตระหนก ซุนโก่วต้านเห็นดังนั้น ก็รีบเดินตรงเข้าไปข้าง ๆ นาง แล้วใช้มือหนึ่งผลักนางแรง ๆ “ยังไม่รีบเข้าไปยอมรับผิดกับแม่อีกรึ?”
“แม่ของข้าทำอะไรผิดล่ะ?” ต้าญาโกรธจนเกินระงับ พูดสอดปากขึ้นมาจากอีกด้าน
“นังเด็กน่าตายนี่ ผู้ใหญ่เขาคุยกันเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสอดปากแบบนี้?” ป้าซุนตวาดด่าด้วยน้ำเสียงโกรธจัด
ต้าญาถูกนางทำให้ตกใจจนผงะ เพราะถูกย่าตีบ่อย ๆ จนกลัวฝังใจไปแล้ว
“รีบไปขอโทษแม่เร็วเข้าสิ ขอให้แม่ยกโทษให้เจ้า พวกเรากลับบ้านกันเถอะ แปลงดินที่บ้านยังไม่ได้เริ่มเพาะปลูกเลยนะ!” ซุนโก่วต้านผลักโจวคายจืออีกครั้ง
ภรรยาคนนี้ทำไมตอนนี้ถึงได้ไม่เชื่อฟังเสียแล้วนะ? จนต้องเตรียมที่นาเพื่อปลูกข้าวช่วงฤดูใบไม้ผลิแล้วก็ยังไม่ยอมกลับไป แปลงนาที่บ้านทุกคนก็เอาแต่โบ้ยมาให้เขาปลูกอยู่คนเดียว เขาเหนื่อยจนแทบจะขาดใจอยู่แล้ว นอกจากนี้ ทั้งที่ผ่านไปนานขนาดนี้แล้วนางก็ไม่ยอมกลับไป พวกเสื้อผ้าทั้งหมดของคนในบ้าน ก็ต้องเป็นหน้าที่ของแม่กับพวกพี่สะใภ้ที่ต้องซักกันเอง พวกนางต้องเหนื่อยกันขนาดไหนล่ะ?
“แล้วลูกสาวของข้าทำอะไรผิดล่ะ?” เหล่าไท่ไท่วางจานชามที่เก็บมาหมดแล้วลงบนโต๊ะ ตัดสินใจไม่ออกไปแล้ว แต่ยืนจ้องไปที่ยายแก่ตรงหน้านิ่ง ๆ แทน
มันใช้ได้ที่ไหนกัน? ถึงกับมาข่มเหงรังแกลูกสาวที่ไม่ได้เรื่องคนนี้ต่อหน้านาง สวีเหมยฮวา คนนี้เชียวรึ? มันใช่เรื่องไหม?
กับสวีเหมยฉวาคนนี้ ป้าซุนก็ยังนับว่าขยาด ๆ นางอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะก่อนหน้านี้เคยไปเอะอะอาละวาดที่บ้านของนางมาก่อน แต่ก็เพราะสาเหตุนี้เอง นางจึงรู้สึกโกรธสวีเหมยฮวามากด้วย เพราะแต่ไหนแต่ไรมา เวลาที่นางอยู่บ้านจะตั้งตนเป็นใหญ่พูดคำไหนต้องคำนั้นมาตลอด เคยต้องถูกคนรังแกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
“ทำผิดอะไรน่ะรึ?” นางเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง พาหลานชายหลานสาวตระกูลซุนของข้ามาอยู่บ้านแม่ตัวเอง มาอยู่ครั้งนึงก็อยู่เป็นเดือน ๆ มันสมควรไหม? ตอนนี้จนเข้าช่วงเพาะปลูกฤดูใบไม้ผลิแล้ว คนอื่นเขาก็ไปทำไร่ทำนากันหมดแล้ว นางไม่รู้จักกลับไปช่วยงานที่บ้านบ้างล่ะ? ยังมีพวกงานในบ้านในเรือนพวกนั้นอีก จะมาโยนให้แม่ผัวแก่ ๆ อย่างข้าทำมันใช้ได้ที่ไหน?”
พอคิดว่านางต้องมานั่งซักผ้าเองตลอดหนึ่งเดือนมานี้ จนปวดทั้งหลังปวดทั้งเอวไปหมด นางก็โมโหจนโทสะพวยพุ่ง
“พวกลูกสะใภ้พวกนั้นของเจ้ามันอยู่ว่าง ๆ ไม่ต้องทำงานก็มีกินรึ? ถึงได้ไม่ต้องทำงานน่ะ? ยังมีพวกลูกชายบ้านเจ้าที่โตเป็นควายกันขนาดนั้นแล้ว ก็ไม่ต้องทำงานอะไรก็มีกินเหมือนกันงั้นสิ? กะอีแค่นาไม่กี่ผืนยังไม่มีปัญญาดูแลให้ดี” ในใจของเหล่าไท่ไท่คิดตามความคิดของยายแก่ซุน จึงยิ่งพาลไม่สบอารมณ์ขึ้นเรื่อย ๆ
นี่มันใช้ได้ที่ไหน? ไม่เห็นลูกสาวของนางเป็นคนไม่พอ มาตอนนี้ยังไม่เห็นนาง สวีเหมยฮวา คนนี้ในสายตาอีก กล้ามารังแกคนถึงในบ้านเลย?
เมื่อได้ยินคำพูดที่แม่ยายพูดออกมา ซุนโก่วต้านก็รู้ทันทีว่าตอนนี้แม่ของตัวเองต้องโกรธแน่ หัวใจจึงยิ่งเต้นกระหน่ำขึ้นมาอีกระลอก
แม่ยายเองก็ไม่ใช่คนที่สมควรจะไปหาเรื่องยั่วโมโหนัก ถ้าหากว่าแม่ยายกับแม่ของของเขาเกิดตีกันขึ้นมาจริง ๆ แบบนั้นน่ากลัวว่าแม่ของเขาต้องเสียเปรียบแน่
พอคิดแบบนั้น เขาก็รีบผลักโจวคายจืออีกครั้ง: “เจ้ารีบพูดอะไรสักหน่อยสิ พวกเราจะได้กลับบ้านกัน แม่อุตสาห์มารับเจ้าด้วยตัวเองแล้วนะ เจ้าจะเอายังไงอีก? ทำไมถึงได้อกตัญญูแบบนี้?”
เป็นประโยคนี้อีกแล้ว ทำไมนางถึงเป็นคนอกตัญญูอีกแล้วล่ะ?
โจวคายจือขอบตาร้อนผ่าว ในใจยิ่งรู้สึกทรมานขึ้นเรื่อย ๆ ทันใดนั้นก็ได้ยินต้าญาเอ่ยปากขึ้นอย่างเหลืออดว่า: “แม่ของข้าอกตัญญูตรงไหน? นางก้มหน้าก้มตาทำงานทั้งวันทั้งคืน กระทั่งเสื้อผ้าของบ้านลุงใหญ่ ลุงรอง อาสี่ก็ยังซักให้ ทั้งยังต้องทำกับข้าวกับปลาเก็บกวาดโต๊ะอีก ยุ่งตลอดวันตั้งแต่เช้ายันค่ำ พ่อเคยสงสารเห็นใจนางบ้างสักนิดไหม? ถ้าจะบอกว่าแม่อกตัญญู ถ้าอย่างนั้นทั้งป้าใหญ่ ป้ารอง อาสะใภ้สี่ไม่ยิ่งอกตัญญูกว่ารึ!”
“อะไรนะ? เจ้าเป็นผู้หญิงคนนึง ต้องซักผ้าให้พี่ชายคนโตกับอาผู้ชายอย่างนั้นรึ?” เหล่าไท่ไท่ตะโกนอย่างโกรธจัด
ในใจของโจวคายจือรู้สึกอุ่นวาบ แต่จมูกของกลับแสบร้อนอย่างหนัก
“ต้าญา เจ้ามันก็แค่เด็กผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานคนหนึ่ง อย่ามาสอดปากพูดมากเหมือนรู้ดีไปหน่อยเลย!” ป้าซุนตะโกนด่าต้าญาไปประโยคหนึ่ง
นังเด็กน่าตายนี่มันพูดอะไรของมัน? งานพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่ลูกสะใภ้ควรทำอยู่แล้วหรอกรึ?
“ข้าจะสอดปากพูดมากอย่างนี้นี่แหล่ะ อย่างมากก็แค่เป็นสาวเทื้อขึ้นคาน ไม่แต่งงานไปตลอดชีวิต ข้าไม่อยากเป็นเหมือนแม่ ที่วัน ๆ ต้องเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานรับใช้คนในบ้านทั้งซักผ้า ทั้งทำกับข้าวให้ทุกคนกิน ก็ยังไม่เคยได้รับคำพูดดี ๆ แม้แต่ประโยคเดียว ทั้งยังต้องมาโดนด่าว่าอกตัญญูอีก!” ทันทีที่ต้าญาเพิ่งจะพูดจบ ใบหน้าก็ถูกตบเข้าอย่างแรงฉาดหนึ่ง
นางรู้สึกแค่ว่าใบหน้าของนางชาดิก พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ก็เห็นว่าพ่อของนางมาอยู่ข้าง ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วไม่รู้
“นี่เจ้าพูดกับย่าแบบนี้เชียวรึ?”
โจวคายจือพุ่งเข้าไปคว้าตัวต้าญาเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน มองดูรอยตบสีแดงก่ำบนใบหน้าของนาง ความโกรธเคืองขมขื่นที่นางฝืนข่มกลั้นมานานปะทุออกมาในที่สุด รีบกางแขนกางขาทั้งสี่ กำบังร่างของลูกสาวเอาไว้จนมิดชิด
นางช้อนตาขึ้นมอง ส่วนหัวสั่นเทาน้อย ๆ ในดวงตาปรากฏแววเกลียดชังขึ้นมาสายหนึ่ง
จู่ ๆ ซุนโก่วต้านก็ถูกนางทำให้ตกใจจนผงะ รีบเบนดวงตาออกไป ไม่กล้ามองสบตานางตรง ๆ
“นี่คงจะเคยตัวแล้วสิท่า? น่ากลัวว่าวันหลังกระทั่งพ่อตัวเองก็คงจะจำไม่ได้แล้วใช่ไหม!” ป้าซุนชำเลืองมองโจวคายจือที่กำลังตัวสั่นเทิ้ม กับต้าญาที่ถูกตบจนหน้าชา แค่นเสียงพูดใส่อย่างเย็นชา ในดวงตาฉายแววเหลืออด
ถ้าไม่เพราะงานในบ้านไม่มีคนทำ นางจะถ่อมาหานังลูกสะใภ้ที่ไม่เชื่อฟังคนนี้เองรึ?
เหล่าไท่ไท่ที่เห็นภาพฉากนี้ ในหัวใจบังเกิดความโกรธเกรี้ยวอย่างมาก นี่ยังถึงกับต่อหน้าต่อตานางด้วยซ้ำ คนพวกนี้มันกล้าดียังไงมาทำกับลูกสาวและหลานสาวของนางแบบนี้?
ในขณะที่กำลังจะอ้าปากพูด ก็ได้ยินโจวคายจือผู้อ่อนแอไม่กล้าสู้คนมาตลอดพูดขึ้นว่า: “เคยตัวรึ? พวกลูก ๆ ของข้าเคยมีคนสนใจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? แม่ ตระกูลซุนของแม่เคยมองลูก ๆ ของข้าเป็นคนด้วยรึ? พวกเขาก็เป็นหลานชายหลานสาวแท้ ๆ ของแม่เหมือนกันนะ! ยังมีเจ้าอีก ซุนโก่วต้าน ข้ามันตาบอดจริง ๆ ถึงได้อยากแต่งงานกับเจ้า!”
ขณะที่โจวคายจือพูด นางก็ตัวสั่นเทิ้มไม่หยุด ต่อให้ตอนนี้นางกล้าพูดคำพูดเหล่านี้ออกจากปากแล้ว แต่นางก็ยังกลัว เพราะตลอดหลายปีมานี้ นางถูกกดขี่มานานจนกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว
ต้าญากลับมามีสติรู้สึกตัวอีกครั้ง ยื่นมือออกไปเช็ดน้ำตาที่ไหลพรากจากสองตาของแม่ที่กอดนางไว้แน่น ในใจรู้สึกอึดอัดทรมานเกินบรรยาย
เมื่อได้ยินที่ลูกสาวพูด เหล่าไท่ไท่ก็เกิดความประหลาดใจ กระทั่งความโกรธเกรี้ยวเมื่อครู่ก็ยังสลายหายไปไม่น้อย เป็นครั้งแรกที่ลูกสาวคนโตผู้นี้ของนางกล้าพูดอะไรที่ฟังดูแข็งกร้าวขนาดนี้!
ซุนโก่วต้านถูกคำพูดของโจวคายจือแฉจนไม่เหลือหน้าไว้เจอใครแล้ว ทั้งกลัวว่าแม่ของตัวเองจะนึกดูถูก ในใจคิดอยากจะกลบฝังเรื่องนี้ลงไปให้เร็วที่สุด จึงเงื้อมือขึ้นทำท่าจะตบโจวคายจืออีกคน ใครจะรู้ว่ายังไม่ทันได้ตบลงไป ก็มีคนคว้าแขนเขาไว้ พอหันหน้ากลับไปดู ก็เห็นกำปั้นของโจวต้าไห่เหวี่ยงมากระแทกใส่หน้าของเขาเต็ม ๆ ใบหน้าพลันเจ็บแปลบ ฟันกัดโดนเนื้อในปากโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็รู้สึกว่ามีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งอยู่ในปาก
ในที่สุด หลังจากฝืนทรงตัวจนนิ่งได้อย่างลำบาก เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ก็เห็นว่าโจวต้าไห่ได้เข้ามายืนขวางอยู่ตรงหน้าโจวคายจือแล้วเรียบร้อย พลางจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาเย็นชา
ป้าซุนหวีดร้องเสียงดัง รีบลุกขึ้นจากที่นั่งแล้ววิ่งขึ้นไปข้างหน้าสามสี่ก้าว จึงได้เห็นว่าซุนโก่วต้านเลือดกบปากไปแล้ว
“พวกเจ้ารังแกกันชัด ๆ ! คิดจะฆ่ากันให้ตายใช่ไหม?” ป้าซุนแผดร้องตะโกนเสียงดังลั่น
“เจ้าตบตีลูกสาวของเจ้า ข้าเข้าไปยุ่งไม่ได้ แต่เจ้ากล้าตบตีคนในบ้านข้าต่อหน้าต่อตาข้า เรื่องนี้ข้าจะแสร้งทำเป็นไม่เห็นไม่ได้!” โจวต้าไห่พูด เป็นน้ำเสียงที่อ่อนโยนใจดีเหมือนเช่นที่เคยเป็นมาตลอด ถึงขั้นที่ว่าพอเขาพูดประโยคนี้ออกมา แทบจะไม่รู้สึกถึงความโกรธเคืองใด ๆ เลยด้วยซ้ำ
เหล่าไท่ไท่ที่อยู่ข้าง ๆ พยักหน้าถี่ ๆ แม้ว่าลูกชายคนนี้จะโง่ไปหน่อย แต่เวลาแบบนี้ก็นับได้ว่ามีความสามารถอยู่ไม่น้อย
เวลานี้นางไม่สนใจเรื่องวุ่นวายตรงหน้า หันกลับไปถามพวกเด็ก ๆ ที่ยืนอยู่ข้างหลังนางว่า: “พวกเจ้าอยากจะกลับไปบ้านตระกูลซุนหรือไม่?”
พวกเด็ก ๆ พากันส่ายหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสี่ยวหู่ถึงกับเอ่ยปากพูดออกมาตรง ๆ เลยว่า “อยู่บ้านยายได้กินข้าวอิ่ม ข้าไม่อยากกลับไป!”
คำพูดเหล่านี้ทำให้โจวคายจือใจเจ็บแปลบ ความคับแค้นขุ่นเคืองที่ฝืนเก็บกดเอาไว้ในใจมานานนับสิบ ๆ ปีค่อย ๆ ผุดออกมาทีเล็กทีละน้อย ไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไป