นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 264 นี่คือวิถีชีวิตของผู้คน
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 264 นี่คือวิถีชีวิตของผู้คน
พูดถึงขนาดนี้แล้ว โจวกุ้ยหลานคิดว่าไม่มีอะไรต้องพูดมากไปกว่านี้แล้ว จึงพูดขึ้นว่า “เจ้ารีบไปพักผ่อนเถอะ ทำงานยุ่งมาทั้งวัน คงเหนื่อยมากแล้ว”
“ได้ กุ้ยหลาน เจ้าเองก็พักผ่อนไวหน่อย ข้า….ข้าก็…ข้าก็จะไปแล้ว” โจวคายจือพูดพร้อมก้มหน้าลง
โจวกุ้ยหลานมองดูแล้วก็ขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่พูดอะไร หลังจากโจวคายจือกลับไปแล้ว นางก็ล็อกประตู แล้วหันเดินไปยังห้องของตนเอง เมื่อเปิดประตู ก็เห็นสวีฉางหลินกำลังนั่งรอนางอยู่ตรงหน้าประตู ส่วนตรงหน้าของเขา ยังมีกะละมังอันใหญ่ บนนั้นยังมีไอร้อนลอยขึ้นมา
“ยังจะต้องแช่เท้าหรือ?” โจวกุ้ยหลานพูดขึ้นมายังไม่พอใจ
แช่เท้าในฤดูหนาวนั้นมีความสุข แช่เท้าในฤดูถือเป็นการทรมาน
สวีฉางหลิน อืม ตอบ พร้อมพูดขึ้นว่า “ต้องแช่ทุกวัน”
โจวกุ้ยหลานเม้นริมฝีปาก รู้ดีว่าเรื่องนี้ตนเองเถียงสู้สวีฉางหลินไม่ไหว จึงจำเป็นต้องนั่งอยู่ด้านข้าง แล้วก็ถอดรองเท้าของตนเอง เอาเท้าทั้งสองวางลงไปแช่ในน้ำร้อน
สีของน้ำร้อนนี้น่าแปลกมาก ดูแล้วก็น่าจะเป็นน้ำต้มยาสมุนไพรที่เอามาจากหมอหวัง
“สวีฉางหลิน เจ้าว่าข้าโง่ไหม?” โจวกุ้ยหลานคิดถึงเรื่องโจวคายจือ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามสวีฉางหลิน
“ไม่โง่” สวีฉางหลินมีความรู้จักเอาตัวรอดค่อนข้างแรง
“ที่จริงเรื่องนี้ทำไมข้าต้องเอามาใส่ใจ พี่สาวใหญ่ยังไม่พูดว่าอะไร เราก็แค่ให้นางยืมอาศัยอยู่ นางเองก็ช่วยพวกเราทำงานก็พอแล้ว เฮ้ย”
โจวกุ้ยหลานพูดเสร็จก็รีบก้มหน้ามองดู เห็นสวีฉางหลินใช้นิ้วมือกดนวดฝ่าเท้าให้นาง
“เจ็บ เจ็บ เจ็บ”
“ยิ่งเจ็บยิ่งต้องนวด” สวีฉางหลินพูดพร้อมกับออกแรงบีบแรงขึ้น
โจวกุ้ยหลานเจ็บจนร้องพูดออกมาอีกครั้งว่า “ไม่ได้ ไม่ได้ เจ็บเกินไป เจ้าเบาหน่อย เบาหน่อย”
“หมอหวังบอกว่า ปกติจะไม่เจ็บ” สวีฉางหลินไม่มีท่าทีจะผ่อนแรงเลย
“เจ็บ เจ็บจริงๆ” โจวกุ้ยหลานพูดขึ้นถึงน้ำตา พร้อมหดเท้ากลับมา
นางทนไม่ไหวแล้ว สวีฉางหลินใช้แรงมากเกินไป
มือข้างหนึ่งของสวีฉางหลินคว้าจับขาโจวกุ้ยหลานไว้ มืออีกข้างหนึ่งกดจุดฝังเข็ม
โจวกุ้ยหลานพูดขึ้นพร้อมน้ำตาไหลว่า “สวีฉางหลิน เบาหน่อย ปล่อยข้าดีไหม? ไม่งั้น….ไม่งั้นพรุ่งนี้….พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน? อ้าก”
“พรุ่งนี้ต้องทำอย่างอื่น” สวีฉางหลินพูดขึ้นมาด้วยเสียงชัดเจน
“งั้นเจ้าเบาหน่อยได้ไหม?”
“เบาไป เจ้าจะไม่มีความรู้สึก”
“รู้สึก ข้าอ่อนไหวอย่างมาก….เจ้า….อ้าก ข้าจะทำให้ข้าตายหรือ?”
ด้านนอกห้อง โจวคายจือหน้าแดงไปหมด
เดิมนางกลับไปใกล้จะถึงห้องของตนเองแล้ว แต่กลัวว่ากุ้ยหลานจะโกรธไม่หาย จึงคิดว่าจะกลับมาพูดคุยกับนางอีก ที่ไหนได้….ใครจะไปรู้ว่าพวกเขากำลังทำเรื่องแบบนั้น…..
กุ้ยหลานยัง…..ยังเสียงดังขนาดนั้น…..
นางหน้าแดง แล้วก็รีบกลับไปยังห้องของตนเอง ปิดประตูห้องหลักไว้ สูดลมหายใจเข้าออกอยู่หลายที เมื่อสงบสติอารมณ์ตนเองได้แล้ว ค่อยเข้าไปในห้องของตนเอง
เวลานี้ พวกเด็กๆล้วนอยู่ในห้องของนาง
ต้าญาเห็นนางกลับมา ก็รีบขยับที่นั่งให้นาง พร้อมถามขึ้นว่า “แม่ เป็นไงบ้าง?”
โจวคายจือคิดถึงเรื่องเมื่อกี้แล้วก็หน้าแดงขึ้นมาอีก รีบส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “น้ากับน้าเขยพวกเจ้านอนแล้ว ข้าจึงไม่เรียกพวกเขา”
“นอนไวขนาดนี้เลยหรือ?” ต้าญาพูดขึ้นมาอย่างตกใจ
โจวคายจืพยักหัวอย่างขอไปที แล้วก็ไปนั่งลงบนเตียง
พวกเด็กๆหน้าละห้อย ก้มหน้าก้มตาเงียบ
โจวคายจือเอาคำพูดก่อนหน้านี้ของโจวกุ้ยหลาน ถามพวกเขาว่า “พวกเจ้ามีความคิดเห็นยังไง?”
“ไม่ ไม่มีความคิดอะไร” ต้าญาพูดตอบ
“แม่ วันนี้น้าเขยทำร้ายพ่อรุนแรงเกินไป ถึงแม้พ่อจะทำร้ายพวกเรา แต่…แต่ก็ไม่ควรใช้เท้าเตะพ่อมั้ง?” ต้าหู่พูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
เมื่อพูดเสร็จ พวกเด็กๆต่างก็เงียบ
“หากพวกเจ้าทำใจไม่ได้ งั้น….งั้นพวกเรากลับไปไหม?” โจวคายจือพูดขึ้นมาอีกครั้ง
ยังไงคนเป็นแม่ ไม่อยากให้ลูกตนเองไม่มีพ่อ?
หากเป็นความต้องการของลูก นาง….นางยอมเสียสละ ก็…ก็ไม่เป็นไร
“ข้าไม่กลับไป ชีวิตในตอนนี้ต่างหากที่เป็นวิถีชีวิตของคน หากพวกเจ้าอยากกลับไป พวกเจ้าก็กลับไปเองเถอะ” ต้าญาเถียงกลับ
เอ้อร์ญาก็ขยับริมฝีปาก พูดขึ้นมาว่า “ข้าก็ไม่อยากกลับไป”
“แต่ยังไงที่นี่ก็ไม่ใช่บ้านของเรา พ่อตัวคนเดียว น่าสงสารมาก?” ต้าหู่มองดูพี่สาวสองคนที่ไม่อยากกลับบ้านอย่างไม่พอใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “และวันนี้พ่อก็มารับพวกเรากลับบ้านแล้ว แต่….แต่น้ากับน้าเขยทำร้ายพ่อถึงขนาดนั้น……”
“พ่อไม่ทำร้ายพวกเราหรือ? ไม่ทำร้ายแม่หรือ? น้าทำไปก็เพื่อพวกเรา เจ้าพูดแบบนี้ น้าจะไม่เสียใจหรือ?” ต้าญาพูดเถียงต้าหู่
ช่วงที่ผ่านมา น้าดีกับพวกเขาขนาดไหน ให้พวกเขาได้กินอิ่มนอนอุ่น ยังซื้อผ้ามาทำเสื้อผ้าใหม่ให้พวกเขา พวกเขายังได้ร่ำเรียน แบบนี้ไม่ดีกว่าคนตระกูลซุนหรือ? ทำไมจะต้องใจอ่อนให้กับคนที่ทำร้ายก่นด่าพวกเขา ทำไมจะต้องโทษคนที่หวังดีต่อเราอย่างจริงใจ?
ต้าหู่พูดขึ้นว่า “พ่อก็เป็นพ่อที่เลี้ยงดูพวกเรามา ทำไมพวกเจ้าถึงใจดำทอดทิ้งพ่อ? เขาเป็นพ่อของพวกเรานะ”
เอ้อร์ญากับเสี่ยวหู่ต่างก้มหน้าเงียบ วันนี้เห็นพ่อถูกทำร้าย พวกเขาก็ไม่สบายใจ
“พวกเจ้ายินยอมถูกเข้าตี? งั้นพวกเจ้ากลับไปเถอะ ต่อไปข้าจะอยู่กับน้า” ต้าญาโกรธจนไม่อยากคุยกับพวกเขา นอกลงหลับตาไม่สนใจพวกเขา
โจวคายจืออยากห้ามพวกลูกๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดกล่อมพวกเขายังไง ทำได้แต่ถอนหายใจ ให้ต้าหู่พาเสี่ยวหู่ไปนอนในห้องของพวกเขา นางกับต้าญา เอ้อร์ญากลับซานญานอนด้วยกัน แต่ค่ำคืนนี้ล้วนนอนไม่หลับ จนฟ้าเริ่มสลัว นางค่อยหลับไปอย่างสะลึมสะลือ
เช้าตรู่ โจวกุ้ยหลานก็ตื่นแล้ว เมื่อตื่นมาก็เห็นสวีฉางหลินยังกอดนางหลับอยู่
นางขยับตัวอยากลุกขึ้น สวีฉางหลินกอดไว้แน่น พร้อมพูดขึ้นว่า “ฟ้ายังไม่สว่าง”
“วันนี้พวกเราจะไปเที่ยว รีบตื่นเถอะ” โจวกุ้ยหลานสะกิดเขา พร้อมพูดขึ้นอย่างดีใจ
เมื่อคิดถึงว่าวันนี้จะได้ออกไปเที่ยวด้วยกันทั้งครอบครัว นางก็ดีใจอย่างมาก
สวีฉางหลินเห็นน้องนางนอนไม่หลับแล้ว จึงลุกขึ้นมา
ทั้งสองคนจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อย โจวกุ้ยหลานกำลังจากไปปลุกเจ้าก้อนน้อยที่นอนอยู่ แต่สวีฉางหลินดึงนางไว้ แล้วพาออกมาเพียงลำพัง
“เสี่ยวเทียนยังไม่ตื่นเลย” โจวกุ้ยหลานอดไม่ได้ที่จะพูดเตือนสวีฉางหลิน
สวีฉางหลินแบกกวางบนพื้นตัวนั้นขึ้นมา มือข้างหนึ่งดึงพาโจวกุ้ยหลานเดินออกไป พร้อมพูดขึ้นว่า “เดี๋ยวหลิวซิ่วฉายก็จะมาสอนหนังสือแล้ว ไม่เห็นเสี่ยวเทียน เขาจะคิดยังไง?”
“ใช่ เมื่อวานข้าลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร?” โจวกุ้ยหลานแอบเสียใจ
เมื่อวานกลับมาค่อนข้างค่ำ ลืมบอกเรื่องนี้ให้กับหลิวเกา
สวีฉางหลินพูดขึ้นว่า “ให้เขาตั้งใจเรียนหนังสือ อายุยังน้อยไม่เพียรพยายาม ตอนแก่จะมีแต่ความลำบาก”
“สวีฉางหลิน เจ้าเป็นคนอัศจรรย์หรือ? พรสวรรค์ด้านวรรณกรรมนี้ ไปสอบเป็นขุนนางได้แล้วมั้ง?” โจวกุ้ยหลานพูดหยอกล้อ แล้วก็พูดขอโทษลูกชายตนเองอยู่ในใจ