นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 270 แต่งกาย
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 270 แต่งกาย
เมื่อเห็นนางเดินตรงเข้ามา เสี่ยวจิ่วก็หยุดพูด จากนั้นก็หันไปพูดบางอย่างกับเจ้าก้อนน้อย เจ้าก้อนน้อยหันมาสบตานาง แล้วหันไปมองทางแม่ของตน เขายิ้มขึ้นอย่างมีความสุข ลุกขึ้นจากเก้าอี้วิ่งไปหาโจวกุ้ยหลานด้วยขาน้อย ๆ ของตนแล้วกอดขาโจวกุ้ยหลานเอาไว้
“ท่านแม่!” เจ้าก้อนน้อยตะโกนเรียกอย่างมีความสุข
โจวกุ้ยหลานลูบไปที่ศีรษะของเขาแล้วกล่าวว่า “ท้องฟ้าใกล้จะมืดแล้ว แม่ส่งเจ้าเข้านอนดีหรือไม่?”
เจ้าก้อนน้อยพยักหน้า โจวกุ้ยหลานจับมือเขาเดินจูงเข้าไปในห้องนอนของเขา ก่อนจะหันหลังกลับมามองไปทางเสี่ยวจิ่ว แล้วพยักหน้าให้เสี่ยวจิ่วเล็กน้อย เสี่ยวจิ่วคิดมิถึงว่านางจะทักทายตน ผ่านไปพักใหญ่จึงได้พยักหน้ากลับ
นางอุ้มเจ้าก้อนน้อยวางไว้บนเตียง โจวกุ้ยหลานยังมิได้อาบน้ำจึงมิได้นอนลงพร้อมกับเขา ทำเพียงนั่งอยู่ด้านข้างแล้วเล่านิทานที่ยังเล่ามิจบในเรื่องก่อนหน้าให้เขาฟังต่อ
ผ่านไปมินานเจ้าก้อนน้อยก็หลับสนิท โจวกุ้ยหลานจึงกลับมาที่เรือน พบว่ามิมีใครอยู่ นางจึงตักน้ำขึ้นมาอาบก่อนจะกลับไปที่ห้องของตน พบว่าสวีฉางหลินยังมิกลับมา
นางครุ่นคิดและตัดสินใจที่จะมิไปรบกวนสวีฉางหลิน จึงเอนกายลงนอน
แม้ว่าบัดนี้จะข่มตาลงแต่นางก็นอนมิหลับ
นางจึงลุกขึ้นเดินทางไปหาสวีฉางหลิน เมื่อเปิดประตูออกไปก็พบว่าสวีฉางหลินกำลังขนดิน ที่บ่าของเขามีตะกร้าอยู่สองใบและหาบ ส่วนด้านข้างเสี่ยวจิ่วกำลังขุดดินด้วยจอบ
“เจ้ามาทำไมกัน?” สวีฉางหลินขมวดคิ้วน้ำเสียงของเขาดูแข็งกระด้าง
เสี่ยวจิ่ว เหลือบมองนางแล้วก้มหน้าตาทำงานของตนต่อไป
“มีอะไรค่อยทำพรุ่งนี้เถิด นี่ก็มืดมากแล้ว พวกเจ้าไปพักผ่อนเถิด” โจวกุ้ยหลานอดมิได้ที่จะรู้สึกมิสบายใจและกล่าวกับทั้งสอง
“เจ้านอนหลับไปก่อนเถิด” สวีฉางหลินตอบอย่างใจเย็น ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานของตนต่อ
โจวกุ้ยหลานอ้าปากค้างแต่นางก็มิได้กล่าวสิ่งใดออกมาทำเพียงหันหลังเดินกลับไป
นางกลับไปที่ห้องนอนของตนเองแล้วเอนกายลงบนเตียง พลิกไปพลิกมาแต่ก็นอนมิหลับ
สวีฉางหลิน ตาบ้านี่! เขาเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปเป็นเยือกเย็นและมิสนใจนางอีกต่อไป
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางเองก็มิจำเป็นต้องไปเสนอหน้าเอาอกเอาใจ ปล่อยให้เขาใช้ชีวิตของตนไปตามลำพังเถอะ
นางพลิกตัวไปมาอีกครั้งแล้วมองออกไปยังแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเปิดหน้าต่างออก พบกับพระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า
โจวกุ้ยหลานถอนหายใจออกมาอีกครั้งแล้วมองไปทางแสงจันทร์ เห็นร่างของใครคนหนึ่ง เดินไปรอบ ๆ ลานบ้าน เขาแบกดินเอาไว้ที่บ้า
มิรู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ ในที่สุดเขาก็หยุดลง
โจวกุ้ยหลานจึงรีบปิดหน้าต่างแล้วเอนกายหลับตา หลังจากนั้นมินาน นางก็สัมผัสได้ว่าสวีฉางหลินขึ้นมานอนอยู่บนเตียง เพียงแต่ในวันนี้เขามิได้กอดนางเหมือนดั่งเคย
เช้าวันต่อมาตอนที่โจวกุ้ยหลานลุกขึ้นจากเตียง พบว่าสวีฉางหลินมิได้อยู่ที่นั่นแล้ว
โจวกุ้ยหลานลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง จัดการล้างหน้าหวีผม ขณะที่นางเพิ่งจะทำอาหารเช้าเสร็จ ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นที่ตรงประตู นางเดินออกไปและพบโจวต้าไห่ยืนอยู่ที่หน้าประตู
โจวกุ้ยหลานน้ำอาหารเช้าออกมาให้โจวต้าไห่กิน ส่วนโจวคายจือช่วยโจวต้าไห่แบกหมูป่าสองตัวนั้นหลงเข้าไปวางที่เกวียน โจวกุ้ยหลานก็ตามไปด้วย เมื่อขึ้นเกวียนไปแล้วพวกเขาก็ตรงไปที่ในเมือง ส่งเนื้อหมูป่าไปขายที่โรงเตี๊ยมของไป๋ยี่เซวียน เมื่อได้เงิน ไป๋ยี่เซวียนก็ได้สนทนากับโจวกุ้ยหลานอยู่สองสามประโยค และมิรู้ว่าเข้าไปเหยียบดอกไม้ที่ไหนออกมายื่นให้โจวกุ้ยหลาน
“เถ้าแก่ไป๋ ดอกไม้ของท่านนั้นจะว่าสวยก็สวยนัก แต่มันมิเหมาะสมกับข้า” โจวกุ้ยหลานยิ้มแล้วส่ายหน้ามิรับ
ไป๋ยี่เซวียนมองดูดอกไม้ในมือแล้วชะงักลง เข้าใจว่าโจวกุ้ยหลานหมายถึงสิ่งใด เขาจึงหัวเราะแล้วส่ายหน้า “ดอกไม้นี้ ลูกค้าเป็นคนให้มา ข้าเองที่ข้างกายก็มิมีสตรี จึงตั้งใจจะมอบให้ หากเจ้ามิเอา ข้าโยนทิ้งก็ได้”
โยนทิ้งงั้นหรือ คงน่าเสียดายยิ่งนัก
เมื่อคิดดังนั้นโจวกุ้ยหลานจึงยื่นมือไปรับมา “เช่นนั้นข้าจะนำกลับไปให้สตรีในหมู่บ้าน”
“ตามแต่เจ้าเถิด” ไป๋ยี่เซวียนเป็นคนว่าง่าย
โจวกุ้ยหลานเดินตามโจวต้าไห่ออกมาจากโรงเตี๊ยมเทียนเซียง ทั้งสองไปยังร้านขายเสื้อผ้า เถ้าแก่เห็นนางเดินทางมาก็ยิ้มให้ โจวกุ้ยหลานเงยหน้าขึ้นมองพบว่ากระโปรงสีเขียวนั้นมิอยู่ตรงนี้แล้ว คาดว่าคงจะถูกขายไป
บัดนี้โจวกุ้ยหลานมิสนใจเรื่องเงินทองอีกต่อไป เงินที่ได้มาจากการขายหมูนางจึงนำมาซื้อกระโปรงชุดหนึ่ง ราคาถึงสองตำลึงเชียว
เมื่อได้ยินราคา โจวต้าไห่ก็รีบดึงชายเสื้อของโจวกุ้ยหลาน แต่ท้ายที่สุดแล้วโจวกุ้ยหลานก็ยังคงควักเงินซื้อ
จากนั้นก็ยังไปที่ร้านขายเครื่องประทินโฉม และซื้อที่ทาแก้มมาสามกล่อง กล่องหนึ่งมอบให้กับโจวต้าไห่ ฝากไปให้ภรรยาของเขา ส่วนตัวนางคือกลับไปสองกล่อง
ระหว่างทาง โจวต้าไห่พยายามเกลี้ยกล่อมโจวกุ้ยหลานอยู่หลายหนว่าอย่าใช้เงินฟุ่มเฟือยเช่นนี้ แต่โจวกุ้ยหลานกลับเอ่ยขัดขวางเขา จึงทำได้เพียงเงียบปากลง
เมื่อกลับมาถึงบ้านโจวกุ้ยหลานก็ได้มอบเครื่องประทินโฉมกล่องหนึ่งให้แก่โจวคายจือ แล้วเปลี่ยนเป็นสวมชุดสีแดงที่เพิ่งซื้อมา นำเครื่องประทินโฉมทาลงบนแก้ม และทัดดอกไม้ที่ไป๋ยี่เซวียนมอบให้ ก่อนจะยุ่งอยู่กับการทำงานบ้าน
คนเราเมื่อแต่งกายงดงาม อารมณ์ก็ดีเป็นธรรมชาติ โจวกุ้ยหลานทำการถอนวัชพืชอยู่ที่ด้านนอกท่ามกลางแสงแดด
โจวคายจือมองเห็นโจวกุ้ยหลานที่เป็นเช่นนี้ก็รู้สึกเป็นห่วงกังวลใจ “กุ้ยหลาน เจ้ามิเป็นอะไรใช่หรือไม่?”
โจวกุ้ยหลานกะพริบตาเงยหน้ามองนาง “ข้าจะเป็นอะไรไปได้เล่า?”
“เจ้า……วันนี้เจ้า……สวมเสื้อผ้าอะไรกัน ทั้งยังแต่งหน้าแต่งตา ช่างน่ามองยิ่งนัก” โจวคายจือกล่าว
“งดงามงั้นหรือ?”
โจวกุ้ยหลานหรี่ตาแล้วยิ้มขึ้น “ข้าสวยแล้ว เจ้าจะยังกังวลข้า พี่สาวใหญ่ ข้าเองก็ชื่นชอบความสวยงาม แต่ก่อนหน้านี้ข้ามิมีเงิน ดังนั้นจึงมิได้แต่งกายแต่งหน้า ดูบัดนี้สิ สวีฉางหลินออกไปล่าสัตว์มาได้ คาดว่าคงจะได้เงินจำนวนมิน้อยทีเดียว ข้าจะปล่อยให้ตนเองต้องลำบากทำไมกัน”
อืม ก็แลดูมีเหตุผล
แม้โจวคายจือจะรู้สึกว่าดูมีบางอย่างผิดปกติไป แต่เมื่อเห็นโจวกุ้ยหลานท่าทางเช่นนี้ก็ดีกว่าเมื่อก่อนนัก นางจึงมิได้เอ่ยสิ่งใดอีก
ทั้งสองคนกำลังจัดการกับสวนผัก พี่สะใภ้ซิ่วเหลียนก็เดินทางมากล่าวว่าผู้ใหญ่บ้านให้พวกนางไปที่บ้าน
โจวกุ้ยหลานต้องการที่จะไปเพียงลำพัง แต่ซิ่วเหลียนรีบกล่าวขึ้นว่า “เจ้าจะไปคนเดียวหรือ?”
“ใช่น่ะสิ ทำไมงั้นหรือ?” โจวกุ้ยหลานเอ่ยถามนาง
ซิ่วเหลียนเหลือบมองดูนาง “ที่บ้านข้ามีคนมามากมายทีเดียว เกรงว่าจะมาหาเรื่องน่ะสิ ข้าว่าเจ้าควรจะตามคนในบ้านไปให้หมดแล้วค่อยว่ากัน”
หาเรื่อง?
โจวกุ้ยหลานเหลือบมองไปที่โจวคายจือแล้วคิดเดาอยู่ในใจ ขณะที่นางกำลังจะกล่าวบางอย่างออกมา ก็ได้ยินซิ่วเหลียนกล่าวขึ้นว่า “กุ้ยหลาน วันนี้เจ้าดูงดงามยิ่งนัก”
ดูกระโปรงตัวนี้สิ แลดูดอกไม้ที่ทัดอยู่บนศีรษะของเจ้าสิ โอ้ เครื่องประทินโฉมที่ใบหน้า นางมิเคยมีของเหล่านี้มาก่อนเลย
“หากท่านชอบ ข้าเพิ่งจะซื้อเครื่องประทินโฉมมากล่องหนึ่ง ข้าจะไปนำมาให้” โจวกุ้ยหลานกล่าวจบก็เดินตรงเข้าไปในเรือน
“เจ้าเด็กคนนี้ ข้าอายุปาเข้าไปปูนนี้แล้ว……” แม้ว่าปากของซิ่วเหลียนจะกล่าวเช่นนั้น แต่รอยยิ้มก็ยากที่จะหุบลง
โจวกุ้ยหลานมิได้สนใจกับประโยคอันอ้อมค้อมนั้นของนาง แล้วรีบกลับไปที่ห้องของตนเพื่อนำเครื่องประทินโฉมกล่องที่เพิ่งใช้ไปเพียงเล็กน้อยออกมา เมื่อเดินมาถึงปากประตูก็พบกับโจวคายจือที่ยืนอยู่หน้าประตูอย่างเก้ๆกังๆ