นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 271 ผู้นำตระกูลซุน
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 271 ผู้นำตระกูลซุน
เมื่อเดินตรงเข้าไปข้างหน้า นางก็ยัดเครื่องประทินโฉมลงไปในมือของป้าซิ่วเหลียน ซิ่วเหลียนปฏิเสธแต่โจวกุ้ยหลานจับมือนางเอาไว้แน่น
“หาใช่สิ่งของมีค่าแต่อย่างใด ท่านป้าจงรับเอาไว้เถิด หากมีคนมาเห็นเข้าจะมิดี”
เมื่อโจวกุ้ยหลานกล่าวดังนั้น นางจึงมิได้ปฏิเสธอีก
มือของนางถือกล่องประทินโฉมไว้ด้วยความรู้สึกดีใจ
แม้ว่าครอบครัวของนางจะมีชีวิตการเป็นอยู่ดีกว่าคนในหมู่บ้าน แต่ก็มิได้มีเงินมากพอที่จะไปซื้อของไร้ประโยชน์เหล่านี้ใช้ หลายปีมานี้นางเคยใช้เครื่องประทินโฉมในวันแต่งงานแค่วันเดียวเท่านั้น ทั้งยังยืมของผู้อื่นมา
ในใจของนางมีความสุขยิ่ง รู้สึกถูกชะตากับโจวกุ้ยหลานกว่าเดิม นางยื่นใบหน้าเข้าไปกระซิบว่า “ไอ้ซุนโก่วต้านพาคนจากหมู่บ้านซุนมามากมาย รอพวกเจ้าอยู่ที่บ้านข้า ข้ารู้สึกว่าเขาน่าจะมาหาเรื่อง เจ้าจงระวังเอาไว้”
เป็นซุนโก่วต้านจริง ๆ ด้วย
โจวกุ้ยหลานเข้าใจได้ในทันที จึงยิ้มและขอบคุณนาง ก่อนจะหันหลังกลับไปกำชับกับโจวคายจือให้นางกลับไปเรียกเหล่าไท่ไท่ ท่านลุงและคนอื่น ๆ มา ส่วนตนเองกลับไปที่บ้าน เรียกให้ลูกของโจวคายจือติดตามซิ่วเหลียนไปที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน
เมื่อตรงเข้าปากประตูไป โจวกุ้ยหลานก็พบว่าข้างในห้องเต็มไปด้วยผู้คน ป้าซุนก็อยู่ข้างในด้วย และยังมีผู้อาวุโสอีกหลายคน ทุกคนนั่งอยู่บนเก้าอี้พร้อมกับไม้ค้ำ ส่วนคนหนุ่มสาวอายุสามสี่สิบปียืนอยู่ในห้อง
ส่วนหวังโหยวเกินก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านข้างสูบบุหรี่ เมื่อได้ยินว่ามีคนมาจากด้านนอกจึงหันหน้าไปมองดู พบสตรีนางหนึ่งสวมชุดสีแดงติดดอกไม้ประดับศีรษะเดินตรงเข้ามา
เขาเหลือบมองไปจนตาแทบจะพร่ามัว แต่เมื่อพิจารณามองดูอีกทีก็พบว่าเป็นกุ้ยหลานนั่นเอง
“ลุงโหยวเกิน เหตุใดจึงมีแขกมาที่บ้านทานมากมายเพียงนี้?” โจวกุ้ยหลานเดินตรงเข้ามาเมื่อเห็นพวกเขาจึงได้เบ้ริมฝีปากแล้วเอ่ยถาม
เมื่อคนจากหมู่บ้านซุนได้ยินจึงหันกลับมา พบร่างที่เสมือนนางฟ้าเดินตรงเข้ามาข้างใน ชายหนุ่มหลายคนถึงกับตกตะลึง
“นางคนชั้นต่ำ ยังกล้าถามเช่นนี้อีกหรือ เจ้าลักพาตัวบุตรหลานของตระกูลเราไป และในวันนี้ข้ามาเพื่อสะสางบัญชีกับเจ้า!”
ป้าซุนเอ่ยร้องด้วยน้ำเสียงแหลมคม ทำให้ทุกคนในที่นั้นได้สติกลับคืนมา
ชายหนุ่มหลายคนได้ยินป้าซุนเอ่ยด่าสตรีชุดแดงนั้นเป็นคนชั้นต่ำ ในใจของพวกเขาก็รู้สึกมิสบายเท่าไหร่นัก สตรีที่งดงามเพียงนี้เหตุใดจึงต้องโดนดุด่าว่าต่ำช้า?
“เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้เล่า กุ้ยหลานของเราลักพาตัวลูกหลานของพวกเจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ลูกหลานของพวกเจ้าก็อยู่ที่นี่มิใช่หรือ?” ซิ่วเหนียงเอื้อมมือไปลูบคลำกล่องประทินโฉมที่อยู่ในแขนเสื้อด้วยความพึงพอใจและมั่นอกมั่นใจ
หวังโหยวเกินหันไปจ้องมองนางเป็นความหมายว่าอย่าเอ่ยให้มากความนัก ซิ่วเหลียนจึงเบ้ริมฝีปากแล้วหันหน้าไปทางอื่น ตบไหล่ของโจวกุ้ยหลานเบา ๆ “กุ้ยหลาน อย่าได้กลัวไป หากมีลุงโหยวเกินอยู่ที่นี่ เขาจะมิยอมให้ใครจากหมู่บ้านอื่นมารังแกเจ้าแน่ และอีกอย่างป้าก็อยู่ที่นี่ด้วย ป้าจะช่วยยืนหยัดเพื่อเจ้าเอง”
คำเหล่านี้ช่างกินใจเหลือเกิน
แม้จะเป็นเพราะเครื่องประทินโฉมกล่องนั้น แต่ซิ่วเหลียนก็เอ่ยเตือนนางอยู่แล้วก่อนหน้า โจวกุ้ยหลานจึงรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นที่สุด
“ข้าเข้าใจแล้วท่านป้า”
“ทำอะไรอยู่เล่า ยังมิรีบไปต้มน้ำให้กับทุกคนดื่ม!” หวังโหยวเกินเห็นว่าซิ่วเหลียนยังคงจะกล่าวบางอย่างออกมา จึงกระแอมแล้วขึ้นเสียง
ซิ่วเหลียนตอบรับและตบมือโจวกุ้ยหลานเบา ๆ ก่อนจะไปยังห้องครัว
เด็ก ๆ พากันเข้าไปในห้อง เมื่อพบว่าคนของตระกูลซุนมีจำนวนมากมายจึงพากันตื่นตกใจเล็กน้อย
ต้าญามีอายุมากกว่าคนอื่น ทำให้สามารถสงบอารมณ์ได้ดีกว่าคนอื่น
ซุนโก่วต้านเหลือบมองดูลูกของตนแล้วจึงรีบวิ่งเข้ามากอดต้าหู่และเสี่ยวหู่ไว้ในอ้อมแขน เด็กทั้งสองก็มิได้ดิ้นรนและปล่อยให้เขาอุ้มอยู่อย่างนั้น
โจวกุ้ยหลานเห็นภาพนี้ แต่ก็มิได้กล่าวอะไรมากความ ทำได้เพียงมองดูพ่อลูก
ซานญายืนอยู่ด้านข้างเพียงลำพังมิมีใครสนใจ
“เด็กทุกคนอยู่ที่นี่ เช่นนั้นเราจะขอพาตัวกลับ ส่วนโจวคายจือ ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นสะใภ้ของตระกูลซุนเรา เจ้าคิดจะไปเมื่อไหร่ก็ได้หรือ? มิกลัวว่าผู้คนจะหัวเราะเยาะเอาหรือไรกัน” ป้าซุนเหลือบมองไปยังเด็ก ๆ ทั้งหลาย คิดว่าโจวกุ้ยหลานมิอาจทำอะไรพวกเขาได้ เดี๋ยวก็คงต้องยอมแพ้
“ข้ามิไป ข้าจะอยู่ที่หมู่บ้านต้าสือ!” ต้าญาส่งเสียงตะโกนออกมาดังลั่นแล้วเอื้อมมือไปจับโจวกุ้ยหลานเอาไว้
โจวกุ้ยหลานก้มศีรษะลงไป พบกับสายตาอ้อนวอนร้องขอของต้าญา
โจวกุ้ยหลานตบหลังมือของนางเป็นความหมายว่ามิต้องตื่นเต้นกังวลไป แล้วหันศีรษะมาทางป้าซุน
โดยมิรอให้เอ่ยปาก ป้าซุนก็ตะโกนออกมาว่า “นังเด็กคนนี้เก่งกาจนักใช่หรือไม่ มิไปหรือ! ตระกูลซุนของเราเลี้ยงเจ้าเสียข้าวสุกจริงเชียว วันนี้อย่างไรเจ้าก็ต้องกลับไปกับข้า”
ปีนี้นางอายุสิบสี่ปีแล้ว สามารถออกเรือนได้ เมื่อถึงเวลาคาดว่าคงจะได้ค่าสินสอดทองหมั้นสักสองสามตำลึง หากปล่อยนางไป ก็เท่ากับให้นางกินข้าวเสียเปล่านะสิ
“ป้าซุนรีบร้อนเกินไปหรือไม่? มีผู้อาวุโสมากมายอยู่ที่นี่ ท่านจะรีบตะโกนทำไมกัน?” โจวกุ้ยหลานตอบกลับด้วยน้ำเสียงมิเบาและมิแรงจนเกินไป
ป้าซุนมิได้สนใจเรื่องเหล่านี้ “นังสารเลว เจ้ากล้าเถียงกับข้าอีกหรือ ที่นี่เจ้ามีสิทธิ์เอ่ยหรือไร จงรีบไปเรียกโจวคายจือมา พวกเราจะกลับแล้ว!”
“เอะอะโวยวายอะไรกัน?” ชายชราวัยเจ็ดสิบปีที่นั่งอยู่ตรงกลางโต๊ะ ตะโกนใส่ป้าซุนจนนางพูดมิออก
ป้าซุนตกอกตกใจจนนิ่งเงียบ
ชายหนุ่มที่เดินทางมาด้วยกันอย่างนั้นก็มิกล้าเอ่ยสิ่งใดเช่นกัน “ผู้นำตระกูลยังมิได้กล่าวสิ่งใดสักคำ พวกเจ้าโต้เถียงกันทำไม?”
เมื่อกล่าวจบก็อดมิได้ที่จะเหลือบไปมองดูโจวกุ้ยหลาน
โจวกุ้ยหลานจึงเข้าใจว่าชายชราผู้นี้ก็คือผู้นำตระกูลซุน นางจึงหันกลับไปมองเจ้าหมอนั่นแล้วพยักหน้าแก่เขา ชายผู้นั้นหน้าแดงขึ้นทันทีก่อนจะรีบก้มหน้าลงมิกล้ามอง
ผู้นำตระกูลซุนเห็นป้าซุนมิได้กล่าวสิ่งใดออกมาแล้วจึงหันหลังกลับไปมองดูโจวกุ้ยหลาน กล่าวด้วยน้ำเสียงอันเย็นชาว่า “ผู้อาวุโสของพวกเจ้าเหล่าอยู่ที่ใด ให้เขามาสนทนาเถิด”
โจวกุ้ยหลานก็มิได้มีท่าทีอึดอัดใจ นางตอบว่า “อีกประเดี๋ยวพวกเขาก็จะมา ข้าเกรงว่าพวกท่านจะรอนานจึงได้เดินทางมาบอกก่อน”
ซุนโก่วต้านที่อยู่ด้านข้างดูมิพอใจนัก เขาจูงมือต้าหู่และเสี่ยวหู่เหลือบมองไปทางโจวกุ้ยหลานก่อนจะกล่าวอย่างไร้ความอดทนว่า “พวกเจ้าเกรงกลัวพวกเราจนหลบซ่อนอยู่สินะ? ข้าเดินทางมาพาลูกข้ากลับบ้าน ต้องรอให้คนของพวกเจ้ามาด้วยหรือพวกเจ้าเป็นใครกัน แต่พวกเขาทั้งหลายล้วนแซ่ซุน!”
รอยยิ้มของโจวกุ้ยหลานชะงักลงแล้วเหลือบมองด้วยความเย็นชา “ตระกูลซุนของพวกเจ้าทำให้พวกเขาสามารถกินอิ่มนอนหลับได้หรือไม่ พวกเขากินอาหารการเป็นอยู่เช่นไรก่อนหน้านี้ และตอนนี้เป็นเช่นไร?”
เมื่อกล่าวจบ โจวกุ้ยหลานก็มิอยากจะสนใจพวกเขาอีก ได้แต่จูงมือต้าญาไปที่ตรงประตู ส่วนซานญาและเอ้อร์ญาจับมือกันเดินตรงไปที่ประตูอย่างสงบนิ่งด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง
หวังโหยวเกินยังคงนิ่งเงียบดังเดิม
รอจนกระทั่งโจวต้าซานและคนอื่น ๆ เดินทางมาถึง เนื่องจากภายในห้องมิมีที่นั่งให้พวกเขาแล้ว จึงจำเป็นต้องยื่นเท่านั้น
โจวคายจือเดินทางมาด้วยพร้อมกัน เมื่อเห็นคนจากตระกูลซุนขาของนางก็อ่อนล้า โจวกุ้ยหลานที่อยู่ด้านข้างเข้าไปพยุงนางเอาไว้จึงยืนได้มิล้ม