นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 274 ไร้ประโยชน์จริง
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 274 ไร้ประโยชน์จริง
หากเป็นบุตรสาวก็ยังมิเท่าไร เหตุใดบุตรชายคนนี้จึงได้เหมือนสตรีนัก
ในขณะที่เขาตั้งใจจะเอ่ยว่ามิได้ โจวกุ้ยหลานก็หันไปเอ่ยถามบุตรสาวทั้งสามคนว่า “พวกเจ้าอยากจะอยู่กับพ่อหรืออยู่กับแม่?”
“ข้าจะอยู่กับแม่”
“ข้ามิอยากกลับตระกูลซุน นับแต่นี้ข้าจะแซ่โจว!”
“ข้าอยากอยู่กับท่านน้าและท่านยาย” ซานญาเอ่ยตอบอย่างไร้เดียงสา
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงมีเพียงต้าหู่คนเดียวที่เลือกอยู่กับซุนโก่วต้าน
โจวคายจือกอดเด็ก ๆ เอาไว้แล้วหันไปมองทางต้าหู่ อย่างอาลัยอาวรณ์ ท้ายที่สุดแล้วนางก็ก้มหน้าลง
ต้าหู่เป็นบุตรชายคนโตของซุนโก่วต้าน เขาคงมิปฏิบัติต่อลูกชายคนโตอย่างเลวร้าย นางเองก็มิมีอะไรต้องกังวล
“ตระกูลซุนของพวกเจ้าได้เอ่ยไว้แล้วก่อนหน้า ในเมื่อเด็ก ๆ เลือกพี่สาวข้า นับแต่นี้ไปพวกเขาก็จะใช้ชีวิตอยู่กับพี่สาวของข้า”
โจวกุ้ยหลานยิ้มขึ้น
ช่างดีเหลือเกินนับแต่นี้ไปก็มิต้องเผชิญหน้ากับคนตระกูลนี้อีกแล้ว
ผู้นำตระกูลซุนเอ่ยปากถาม “หากพวกเขามีชีวิตที่มิดีเล่า?”
“หากพวกเขาอยากกลับไปที่ตระกูลซุน พวกเราจะแจ้งให้คนมารับพวกเขาไปทันที” โจวกุ้ยหลานกล่าวขึ้นขัดจังหวะ ผู้นำตระกูลซุนด้วยรอยยิ้ม
“มิได้ เด็ก ๆ เหล่านี้เป็นลูกหลานของตระกูลซุน จะให้นางโจวคายจือสารเลวนั่นไปได้อย่างไร!” ป้าซุนมิรู้ว่าเหตุใดเรื่องราวถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ เมื่อได้สติกลับคืนมานางก็รีบตะโกนโหวกเหวกโวยวาย
ผู้นำตระกูลซุนฟังแล้วช่างรู้สึกอึดอัดใจ จึงตะโกนใส่นางว่า “หุบปากเสีย มิได้ยินหรือว่าซุนโก่วต้านเป็นคนตกลงด้วยตนเอง”
“มิได้ เขาต้องฟังข้า ข้ามิเห็นด้วย ลูกหลานตระกูลซุนเหล่านี้จะต้องกลับไปกับเรา ข้ามิเห็นด้วยแน่ ซุนโก่วต้านจงรีบไปอุ้มเด็ก ๆ มาที่นี่”
ป้าซุนตะโกนใส่ซุนโก่วต้านเสียงดัง
บัดนี้ตระกูลโจวร่ำรวยมั่งคั่งขึ้นแล้ว นางจะปล่อยมือได้อย่างไร ก่อนหน้านั้นเมื่อหย่าร้างกันได้มิกี่วัน โจวคายจือก็ร้องจะกลับมาที่บ้าน นางวางแผนว่าเมื่อถึงเวลาจะเรียกเก็บเงินจากเหล่าไท่ไท่นั้นสักหน่อย ใครจะคิดเล่าว่าผ่านไปเป็นเดือนแล้วก็มิเห็นนางกลับมา บัดนี้หากว่าเอาลูกให้นาง อนาคตจะให้นางกลับไปที่ตระกูลซุนอย่างว่าง่ายได้อย่างไร ทำอย่างไรจึงจะได้เงินจากตระกูลโจเล่า?
อีกอย่างช่วงนี้ที่โจวคายจือมิอยู่ กระดูกกระเดี้ยวของนางก็แทบจะปวดร้าวไปจนสิ้น
มิได้ จะยอมให้โจวคายจือมีความสุขเช่นนี้มิได้!
“โอ้ คำพูดผู้นำตระกูลซุนของพวกเจ้าไร้ประโยชน์งั้นหรือ พูดออกมายิ่งกว่ากำตด เจ้าบอกว่ามิได้ก็คือมิอย่างนั้นหรือไร?” บัดนี้เหล่าไท่ไท่เต็มไปด้วยพลัง และตะโกนออกมา
นางในฐานะสตรีแต่ก็มิกลัวสิ่งใด
เมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินดังนั้นก็พากันมองไปยังผู้นำตระกูลซุน
ผู้นำตระกูลซุนเคยแต่ได้รับคำสรรเสริญเยินยอจากผู้อื่น เขามิเคยถูกใครกล่าวหาเช่นนี้มาก่อน
เขาเงยหน้าขึ้นมองไปทางเหล่าไท่ไท่และโจวกุ้ยหลานก่อนจะกล่าวว่า “แน่นอนว่าพวกเราพูดคำไหนคำนั้น”
“ท่านผู้นำตระกูล!” เดิมทีป้าซุนตั้งใจจะเอ่ยบางอย่างออกมาอีก แต่ถูกผู้นำตระกูลซุนจ้องมองตาเขม็งนางจึงนิ่งเงียบมิกล้ากล่าว
เมื่อหวังโหยวเกินผู้ใหญ่บ้านเห็นว่าเรื่องนี้น่าจะจัดแจงเรียบร้อยแล้ว จึงได้เข้ามาปิดฉาก
เรื่องนี้จึงได้ยุติลง
โจวคายจือกอดลูกเอาไว้แล้วร่ำไห้ สายตามองไปทางต้าหู่ และพบว่าต้าหู่เดินจูงมือซุนโก่วต้านแล้วหันมามองนาง นางต้องการจะกล่าวบางอย่างออกมา แต่เพียงแค่ขยับปากจากนั้นนางก็ต้องยอมแพ้
คนจากตระกูลซุนเดินทางกันมามากมายอย่างกะทันหัน ผ่านไปมินานทุกคนก็ได้เดินทางจากไป
เนื่องจากโจวกุ้ยหลานได้รับบาดแผลที่หน้าผาก จึงถูกซิ่วเหลียนรั้งเอาไว้เพื่อช่วยทำแผล
เมื่อทำแผลเสร็จแล้วเหล่าไท่ไท่ก็เข้ามาพยุงนาง ทั้งสองคนเดินผ่านหมู่บ้านต้าสือ ตรงขึ้นไปบนภูเขา
โจวคายจือและโจวต้าซานสนทนาเรื่องของทะเบียนบ้านกับหวังโหยวเกินอยู่สักพัก ยังมิสามารถกลับไปได้ในทันควัน
ระหว่างทางเหล่าไท่ไท่ได้แต่ตำหนิตระกูลซุน กล่าวว่าบุตรสาวของนางชีวิตต้องมาพังพินาศก็เพราะคนพวกนี้
โจวกุ้ยหลานได้แต่ฟังแล้วเหลือบมองดูท้องฟ้า เมื่อพบว่าฝนกำลังจะตก นางจึงเข้าไปจับมือเหล่าไท่ไท่เอาไว้กล่าวว่า “ท่านแม่ ข้ามิเป็นไร แม่จงกลับบ้านไปก่อนเถิดประเดี๋ยวเกรงว่าฝนจะตก”
“ได้อย่างไรเล่า หัวของเจ้า……”
“ข้ามิเป็นไร แม่ตากของไว้ที่นอกเรือนใช่หรือไม่ หากมิกลับไปเก็บละก็ประเดี๋ยวเปียกขึ้นมาคงมิดี”
เหล่าไท่ไท่คิดถึงอาหารแห้งที่ตากไว้ในลานบ้านของนางแล้วเหลือบมามองดูบุตรสาว เห็นว่านางกล่าวได้อย่างมีเหตุมีผลจึงกำชับโจวกุ้ยหลานสองสามประโยคและรีบวิ่งกลับบ้านไป
เมื่อนางจากไปแล้ว โจวกุ้ยหลานจึงได้เดินขึ้นไปบนภูเขา
ที่หมู่บ้านต้าสือมีประชากรอยู่มากกว่าสองพันคน แต่ละคนล้วนกำลังยุ่งเกี่ยวกับไร่นาของตน ประกอบกับช่วงนี้เป็นช่วงการเก็บเกี่ยว ทุกครัวเรือนจึงอยู่ง่วนอยู่กับงาน
เพียงแต่ครอบครัวของโจวกุ้ยหลานนั้นมิมีที่ดิน นางจึงมิได้ยุ่งในช่วงนี้
ในอนาคตหากมีเงินพอนางเองก็อยากจะซื้อที่ดินสักหน่อย ถือว่าเป็นอสังหาริมทรัพย์
เมื่อโจวกุ้ยหลานเดินตรงเข้ามาที่บ้านฝนก็ตกลงมาทันที
เจ้าก้อนน้อยกำลังอ่านหนังสือกับหลิวเกาอยู่ในเรือน โจวกุ้ยหลานได้ยินเสียงนั้นจึงกลับไปที่ห้องของตนหยิบเงินออกมาแล้วคำนวณท่ามกลางสายฝน
หลังจากคิดทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดแล้ว หักค่าใช้จ่ายทั้งหมดทั้งสิ้นบัดนี้ยังเหลือเงินอีกสิบเจ็ดตำลึง
ได้ยินเสียงดังมาจากข้างนอก โจวกุ้ยหลานจึงรีบเก็บเงินทั้งหมดเอาไว้ใส่เข้าไปในรูตรงกำแพงแล้วนำหินสองสามก้อนปิดบังเอาไว้
หลังจากจัดเก็บเรียบร้อยแล้วนางจึงเดินออกไปอย่างรวดเร็ว พบว่าสวีฉางหลินกลับมาพร้อมกับแบกหมาป่าอยู่บนหลัง
“พวกเจ้าพบเข้ากับหมาป่าหรือ?” โจวกุ้ยหลานตกใจแล้วรีบวิ่งตรงไปข้างหน้าทันที
โดยทั่วไปแล้วหมาป่าจะอยู่กันเป็นฝูง หากพบเข้ากับหมาป่าละก็……
สวีฉางหลินเงยหน้าขึ้นมองดูบาดแผลบนศีรษะของโจวกุ้ยหลาน แววตาของเขาเต็มไปด้วยความโมโห “เจ้าบาดเจ็บ?”
“อ้อ มิมีอะไรหรอก บัดนี้หยุดเลือดได้แล้ว พวกเจ้า……” โจวกุ้ยหลานยกมือขึ้นแตะหน้าผากของตนอย่างมิใส่ใจ พยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปที่สวีฉางหลิน
สวีฉางหลินรีบเดินตรงเข้าไปอย่างรวดเร็ว เขาจับแขนของโจวกุ้ยหลานเอาไว้ ยื่นมือออกมาจะจับบาดแผลของนาง แต่โจวกุ้ยหลานหลบเสียก่อน ถึงกระนั้นก็ถูกเขาจับเอาไว้จนมิอาจขยับได้
นี่เป็นครั้งแรกที่โจวกุ้ยหลานรู้ว่าสวีฉางหลินมีเรี่ยวแรงมหาศาล นางพยายามดิ้นรนแต่ท้ายที่สุดแล้วก็มิเป็นผล
ด้วยเหตุนี้เองนางจึงมิดิ้นรนอีกต่อไป และปล่อยให้สวีฉางหลินดึงตัวนางเข้าไป
“หากเจ้ายังจับอีก คาดว่าคงจะเลือดออกอีกแน่” โจวกุ้ยหลานเอ่ยเตือนชายผู้ที่มิรู้จักหนักเบา
สวีฉางหลินจึงดึงมือกลับมาแล้วนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ในขณะที่โจวกุ้ยหลานคิดว่าเขาจะเอ่ยบางอย่างออกมา ก็พบว่าเขาเดินตรงไปที่ห้องครัว
เสี่ยวจิ่วที่อยู่ด้านข้างก็เดินตรงไปที่ห้องครัวด้วย นางเหลือบมองโจวกุ้ยหลานแต่มิได้กล่าวอะไรอีก
หัวใจของโจวกุ้ยหลานรู้สึกย่ำแย่ มีความขมขื่นเกิดขึ้นในใจนาง
โจวกุ้ยหลานทุบตีตัวเองเบา ๆ ไร้ประโยชน์ยิ่งนัก!
เมื่อทำเช่นนี้นางก็รู้สึกดีขึ้นมิน้อย จึงเดินไปรอบ ๆ หมาป่า พบว่าหมาป่าตัวนี้ดูมีอายุแล้ว คาดว่าก่อนหน้ามันคงจะเป็นราชาหมาป่า เมื่อแก่ลงจึงถูกเข้าแทนที่ ในวันนี้จึงได้ปรากฏกายเพียงลำพัง และถูกสวีฉางหลินพบเข้าพอดี
โจวกุ้ยหลานสัมผัสไปที่ขนของราชาหมาป่าแล้วรู้สึกว่ามันนุ่มเนียนเหลือเกิน “น่าสงสารจริงเจ้าหมาป่าที่ต้องมาตายเช่นนี้……เจ้าวางใจเถิด ข้าจะเอาหนังของเจ้าไปขายให้กับร้านขายผ้า ให้พวกเขานำมันไปตัดชุดดี ๆ และได้เงินราคาสูง ส่วนเนื้อของเจ้า เฮ้อ เนื้อของเจ้านั้นเอามาทำหม้อไฟดีหรือไม่ เจ้าจะได้ตายอย่างมีประโยชน์”
สวีฉางหลินที่ยืนอยู่ตรงประตูห้องครัวได้ยิน คำพูดนั้นของนางก็ชะงักลง
เสี่ยวจิ่วจ้องมองเขาอยู่ด้านข้าง ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยปากว่า “เจ้ายังมิได้บอกนางอีกหรือ”