นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 279 ข้าจะรอเจ้าแค่สามปี
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 279 ข้าจะรอเจ้าแค่สามปี
ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้นางคิดไม่ถึงเลยว่า ครึ่งปีที่ผ่านมาเขาจะทำเรื่องราวมากมายเหล่านี้ ถึงว่าทำไมเขาถึงอยู่แต่ในภูเขาทั้งวันไม่ยอมออกมา
โจวกุ้ยหลานเองก็ไม่แน่ใจมากนักเกี่ยวกับความรู้สึกของตัวเอง ได้แต่คิดว่า เรื่องที่ไม่สามารถควบคุมได้ตรงหน้า มันทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยพอใจ ตัวนางช่างดูต่ำต้อยเหลือเกิน
“ทำไมเจ้าทำเรื่องพวกนี้โดยไม่บอกข้าเลย ? ทำไมถึงต้องจากข้าไป ? ก่อนจะจากไป ทำไมถึงต้องเก็บข้าไว้ด้วย ?” โจวกุ้ยหลานถามต่อ
“ขอโทษด้วย ข้า….. นายพลหลงเคยช่วยชีวิตข้าไว้ แล้วก็ ข้ามิอาจปล่อยให้ประชาชนเหลียงกั๋วต้องโดดเดี่ยวบนเส้นทางที่แสนยากลำบากอย่างนี้ได้”
นี่เป็นครั้งแรกที่สวีฉางหลินพูดอย่างนี้
โจวกุ้ยหลานกัดริมฝีปาก เวลาผ่านไปเนิ่นนาน นางทำได้เพียงถอนหายใจออกมา เดินเข้าไปหาเขาด้านหน้า จากนั้นกอดเขาไว้
“จะไปเมื่อไหร่ ?”
“พรุ่งนี้”
“ห้ามตายนะ ข้าจะไม่เป็นม่าย จะรับหาผู้ชายแต่งงานทันที” โจวกุ้ยหลานซบอกเขา ค่อย ๆ พูดออกมา
สวีฉางหลินไม่พอใจกับคำพูดของนาง “ห้ามคิดถึงชายอื่น”
โจวกุ้ยหลาน หัวเราะเยาะ “ถ้าเจ้าตายไปแล้ว จะมาบังคับข้าไม่ให้แต่งงานกับชายอื่นได้อีกหรือ ?”
“ข้าจะไม่ตายเด็ดขาด !” สวีฉางหลินบอกด้วยความโมโห
เพียงแค่คิดว่าน้องนางของตนอาจจะถูกชายคนอื่นสวมกอดแบบนี้ ร่างกายของเขาก็รู้สึกอึดอัด อากจะฆ่าชายคนนั้นเสีย
โจวกุ้ยหลานคิดไม่ถึงว่าจะถูกเขาหยอกล้อใส่ “สวีฉางหลิน นี่เจ้าเป็นคนพูดเองนะ ถ้าหากเจ้าตายไป ข้าจะไม่มีทางเป็นม่ายเพราะเจ้าแน่ เจ้าต้องคอยเขียนจดหมายบอกข้าว่าเจ้าปลอดภัย ไม่อย่างนั้นถ้าข้าไม่ได้รับจดหมายภายในครึ่งปี ข้าจะเอาเมล็ดข้าวพันธุ์ที่เจ้าให้ข้ามาพวกนี้ไปแต่งงานกับชายอื่น แล้วมีลูก……”
โดยที่ไม่พูดอะไร สวีฉางหลินก็ดูดริมฝีปากของนาง เก็บคำพูดของนางทั้งหมดไว้ในปาก
ผู้หญิงคนนี้ช่างน่ารังเกียจเหลือเกิน ! จะให้พูดไม่ได้ ! แม้แต่คำเดียวก็พูดไม่ได้ !
ตลอดทั้งคืน โจวกุ้ยหลานและสวีฉางหลินต่างก็ไม่ได้นอน ทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกันบนเตียง มองหิมะที่อยู่ด้านนอกอย่างเงียบเชียบ
เตียงใส่ฝืนจนรู้สึกอบอุ่น สวีฉางหลินนำผ้าห่มมาคลุมโจกุ้ยหลานเอาไว้แน่น นำชุดเสื้อผ้าหนังที่เตรียมไว้ออกมาให้โจวกุ้ยหลาน
“หลังจากนี้เจ้าก็สวมตัวนี่เถอะ” สวีฉางหลินพูดเสร็จ ก็พับเสื้อผ้าเก็บใส่ไว้ในตู้
โจวกุ้ยหลานมองการกระทำของเขาโดยที่ไม่พูดอะไร
ชุดนี้เหมือนกับที่โจวชิวเซียงใส่กลับมาในตอนนั้น ช่างเป็นผู้ชายที่น่ารำคาญจริง ๆ
“เจ้าต้องไปร่วมกองกำลังรบงั้นหรือ ?” โจวกุ้ยหลานถาม
แม้จะบอกว่าก่อนหน้านี้เขาเป็นทหาร แต่ว่าตอนนี้ก็ไม่ใช่แล้ว
สวีฉางหลินนั่งลง ค่อย ๆ ใช้ศีรษะซบลงบนไหล่ของนาง “ข้าจะไปหานายพลหลง”
จากนั้น เขาก็พูดต่อว่า “อาจจะไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ เหลียงกั๋วในตอนนี้ กำลังป่วยระยะสุดท้ายแล้ว”
หมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลนี้ ทุกคนต่างก็ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข นอกจากราชสำนักจะมีการเกณฑ์ทหารเข้าไปและเพิ่มภาษี ก็ไม่มีร่องรอยของการสู้รบอยู่เลย
โจวกุ้ยหลานยื่นมือไปโอบกอดสวีฉางหลิน ใช้มือลูบผมของเขา “เจ้าต้องกลับมา”
“อือ”
“ข้าจะรอเจ้าแค่สามปี” โจวกุ้ยหลานพูด
สวีฉางหลินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหลับตาลง “ได้”
ทั้งสองพูดคุยเล่นกันเรื่อยเปื่อย เมื่อมีเสียงประตูถูกเปิดออก ทั้งสองถึงได้แยกออกจากกัน
สวีฉางหลินสวมเสื้อผ้าของตนเอง จากนั้นลุกขึ้น ลูบผมของโจวกุ้ยหลาน “ข้าพาเสี่ยวเทียนไปก่อนล่ะ”
ในใจของโจวกุ้ยหลานรู้สึกไม่เต็มใจ “จะทิ้งไว้ให้ข้าไม่ได้หรือ ?”
ตลอดหนึ่งปีกว่า นางดูแลเจ้าก้อนน้อยมาตลอด จู่ ๆ บอกว่าจะไปก็ไป ในใจของนางรู้สึกไม่อยากให้ไปนัก ที่สำคัญที่สุด ยิ่งสวีฉางหลินต้องจากไป นางยิ่งรับไม่ได้
สวีฉางหลินไม่มีทางเลือก “เขาจะมีแต่หาความวุ่นวายมาให้เจ้า”
โจวกุ้ยหลานเข้าใจดี ไม่พูดอะไรออกมาอีก
ห่อผ้าห่ม หิมะกำลังตกหนัก ไปส่งทั้งสองคน เจ้าก้อนน้อยกำลังนอนหลับ สวีฉางหลินแบกเขาไว้ โจวกุ้ยหลานกลัวว่าหิมะจะทำให้เมื่อผ้าของเขาเปียก จึงหยิบเสื้อกันฝนในบ้านออกมาให้เขา มองทั้งสามคนค่อย ๆ หายลับไป โจวกุ้ยหลานมองดูโดยที่ไม่กะพริบตา
จนกระทั่งมองไม่เห็นทั้งสองคนอีก โจวกุ้ยหลานก็หันกลับเข้าไปในห้อง ล็อกประตูเพื่อไปนอนต่อ
เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้นอนมาทั้งคืน โจวกุ้ยหลานจึงนอนตื่นอีกทีเที่ยง
จนกระทั่งนางลุกขึ้นมา โจวคายจือถามนางเกี่ยวกับเรื่องจของสวีฉางหลินและเจ้าก้อนน้อย นางบอกพวกเขาได้เพียงแค่สวีฉางหลินไปเกณฑ์ทหารแล้ว
แต่ไปเกณฑ์ทหาร ใครจะเอาลูกไปด้วยกัน ? รวมถึงยังเอาเสี่ยวจิ่วคนนั้นไปด้วย เมื่อคิดว่าผู้หญิงที่ชื่อเสี่ยวจิ่วหน้าตาสวยงาม ในใจของเหล่าไท่ไท่ก็ยิ่งร้อนรุ่ม
โจวกุ้ยหลานปกติแล้วกิน ๆ
ช่วงนี้ เหล่าไท่ไท่จะคอยอยู่ใกล้ชิดนางตลอดเวลา
จนกระทั่งฤดูใบไม้ผลิมาถึง หิมะละลายจนหมด คนในหมู่บ้านก็เริ่มออกมาทำไร่ทำนากัน
โจวกุ้ยหลานพบว่าตนนั้นตั้งท้องอีกแล้ว เหล่าไท่ไท่ก็ยิ่งอยู่ไม่ห่างจากนาง
ลูกคนนี้โจวกุ้ยหลานอุ้มท้องไม่ง่าย ทั้งมือและเท้าต่างบวม ไม่กินอะไร มองดูผอมแห้งจนแทบจะเหลือแต่กระดูก เหล่าไท่ไท่ว้าวุ่นใจจนทนไม่ไหว เรียกหมอหวังให้มาดูอาการเป็นครั้งคราว
เป็นเพราะพวกเขาช่วยโจวกุ้ยหลานฟักลูกไก่ บ้านหลังนี้จึงมีไก่อยู่ห้าร้อยตัวแล้ว โจวกุ้ยหลานให้โจวต้าไห่เข้าไปในตำบลกับเหล่าหม่าโถวเพื่อนำไก่ไปส่งให้โรงเตี๊ยมเทียนเซียง ไป๋ยี่เซวียนคนนี้ดูแลโจวกุ้ยหลานเป็นพิเศษ แม้แต่หมูของนางยังถูกซื้อไป
โจวกุ้ยหลานนำหมูที่บ้านในขาย ด้วยเงินที่ได้มาจากสวีฉางหลิน นางจึงไปจับหมูมาเลี้ยงอีกสิบตัว เนื่องจากการขึ้นภาษีที่มากขึ้น ทำให้คนในหมู่บ้านจำนวนไม่น้อยต่างช่วยโจวกุ้ยหลานฟักลูกไก่และลูกเป็ด
โจวกุ้ยหลานใช้เงินที่ได้มาจากการขายไก่ไปซื้อลูกไก่ พอได้อย่างนี้ จนกระทั่งฤดูหนาวมาถึง บ้านของนางก็เลี้ยงไก่ไว้แล้วกว่าพันตัว แค่เป็ดก็มีอยู่สองร้อยกว่าตัวแล้ว ห่านอีกร้อยกว่าตัว
เมื่อเป็นอย่างนี้ โจวคายจือและเหล่าไท่ไท่รวมกันก็ยุ่งจนสายตัวแทบขาด ต่อให้มีต้าญาช่วยก็ยังไม่ไหว โจวกุ้ยหลานจึงให้ป้าอู๋ช่วยนางเลี้ยงไส้เดือน และก็หาคนสองคนที่พอจะเชื่อถือได้มาช่วยนางปลูกผัก
ในครอบครัวไม่มีผู้ชายเหลือแล้ว มีอะไรก็ต้องให้คนอื่นช่วย โชคดีที่หลายชายของป้าอู๋ร่างกายแข็งแรง นางจึงจ้างเขาให้มาเป็นเกษตรกรที่บ้าน ถ้าหากที่ฝืนนามีปัญหาเกิดขึ้น ก็จะให้กลับไปทำอย่างอื่นแทน
โจวต้าไห่พาเอ้อร์เฉียงและโจวต้าซานไปเผาถ่าน คอยหล่อเลี้ยงชีวิตคนในครอบครัว ทว่าธุรกิจค้าถ่านนี้กลับยิ่งแย่ลง ๆ ราคาตกต่ำลงมาไม่น้อย แต่ราคาเมล็ดข้าวพันธุ์กลับสูงขึ้น
ตั้งแต่สวีฉางหลินจากไป มีคนมากมายในหมู่บ้านต้าสือลือกันว่าโจวกุ้ยหลานถูกทอดทิ้งไปแล้ว สวีฉางหลินได้หนีไปกับสาวงามคนนั้นแล้ว โจวกุ้ยหลานหลังจากได้ฟังหลายรอบก็แกล้งทำเป็นหูหนวกไม่ได้ยิน ทำงานของตนเองต่อไป
เข้าฤดูใบไม้ร่วง โจวกุ้ยหลานเริ่มทำการคลอดลูก นางร้องตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวด ปากด่าสวีฉางหลินว่าไอ่สารเลวไม่หยุด
เหล่าไท่ไท่เองก็อยู่ภายในห้อง ทั้งโมโหทั้งตลก “เจ้าเก็บแรงไว้เบ่งลูกบ้าง”
โจวกุ้ยหลานเจ็บปวดจนไร้หนทาง เหงื่อออกทั่วทั้งร่างกาย “ข้าเจ็บ สวีฉางหลิน ไอ่สารเลว มีแต่มันที่สุขสบาย ! ส่วนข้าต้องทุกข์ทรมาน ! โอ๊ยยย !”