นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 285 มีให้กินก็ดีแล้ว !
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 285 มีให้กินก็ดีแล้ว !
เห็นโจวกุ้ยหลานเดินเข้ามา ผู้หญิงหลายคนกล่าวทักทายนางอย่างเอาใจ โจวกุ้ยหลานเดินเข้ามาใกล้ เปิดฝาหม้อดู ด้านในมือข้าวและข้าวโพด ดูแล้วน่าจะกำลังทำโจ๊กอยู่
“ใส่ผักป่าลงไปด้วย” โจวกุ้ยหลานพูดออกมา
“ฝนตกแบบนี้ คงออกไปหาไม่ได้……” ผู้หญิงคนหนึ่งพยายามปฏิเสธ
โจวกุ้ยหลานหันไปมองฝนที่กำลังตกอยู่ด้านนอก ขัดคำพูดของนาง “อาหารที่มีอยู่คงอยู่ได้อีกไม่นาน เพิ่มผักป่าเข้าไป หากหิวก็สามารถรับประทานต่อได้อีกสักสองสามมื้อ”
คนที่อยู่ด้านข้างนางใช้สายตา ผู้หญิงคนนั้นเงียบทันที
“กุ้ยหลานเอ๊ย เจ้าไม่สบายอยู่ก็ไปพักผ่อนเถิด ที่นี่มีพวกเราอยู่ และพวกเราก็รู้ว่าอาหารวางอยู่ที่ไหน สามารถเดินไปเอามาเองได้ เจ้าไม่ต้องกังวล” ซิ่วเหลียนรีบเข้ามาพยุงโจวกุ้ยหลานและพูดกับนาง
โจวกุ้ยหลานขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่มีอะไรจะพูด จากนั้นก็ถามออกมาว่าหวังโหยวเกินอยู่ที่ไหน ซิ่วเหลียนบอกว่าเขาจะมาที่นี่ในอีกไม่ช้า
โจวกุ้ยหลานปวดหัวอย่างรุนแรง นางไม่มีอารมณ์จะมาตอบโต้กับคนพวกนี้ ทำได้เพียงกลับไปห้องของตนเองและนอนพิงกำแพง
เหล่าไท่ไท่นั่งอยู่กับนาง หัวใจเต็มไปด้วยความกังวล ลูบศีรษะของนางและพูดออกมาว่า “เมื่อไหร่ไข้จะหาย !”
โจวกุ้ยหลานปวดหัวรุนแรง ไม่รู้ว่าตนเองพูดอะไรออกมา หลับตาลงและหลับไป
ในห้องครัว ซิ่วเหลียนพูดกับผู้หญิงที่กำลังทำงานอยู่ว่า “กุ้ยหลานพูดแบบนี้เพราะอยากให้พวกเรามีชีวิตรอด เจ้าอย่าไปใส่ใจ”
ผู้หญิงคนนั้นก็พูดออกมาด้วยความเขินอาย “ข้าเองก็ไม่ได้คิดจะไปเถียงกับนาง รู้อยู่ว่าที่นี่มีอาหารอยู่มากน้อยแค่ไหน เจ้าวางใจเถอะ”
จางเสี่ยวจุ๋ยขมวดคิ้ว “ให้กินซุปแบบนี้ทั้งวัน ไม่รู้ว่าจะกินต่อไปได้อีกสักกี่วัน”
“นี่ มีให้กินก็ดีแค่ไหนแล้ว” ซิ่วเหลียนขมวดคิ้ว ทนไม่ไหวจึงพูดออกมา
ทั้งที่ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี แต่ทำไมทุกอย่างต้องหายไปเพียงเพราะถูกน้ำท่วม ?
ผู้หญิงคนอื่นเองก็นึกถึงเรื่องที่บ้านของตนเองไม่เหลืออะไร หัวใจของพวกนางรู้สึกเจ็บปวด
ผ่านไปพักหนึ่ง จางเสี่ยวจุ๋ยถึงพูดออกมาอีกว่า “บ้านของกุ้ยหลานยังมีเป็ดและไก่อยู่อีกหลายตัว จากที่ข้าเห็นเกรงว่ามันมีมากกว่าหมื่นตัว แถมยังมีหมูอีกหลายร้อยตัว นางคงไม่มีทางปล่อยให้พวกเราตายไปทั้งแบบนี้หรอกจริงไหม ?”
“จางเสี่ยวจุ๋ย ! เจ้าพูดอะไรของเจ้า ? ทั้งหมดนั่นเป็นของโจวกุ้ยหลาน !” ซิ่วเหลียนตวาดนางออกมาด้วยความโกรธ
“ข้า……ข้าก็แค่พูด นางเป็นหลานสาวของข้า ข้าไม่มีทางทำร้ายนางอย่างแน่นอน !” จางเสี่ยวจุ๋ยนึกไม่ถึงว่าซิ่วเหลียนจะปกป้องโจวกุ้ยหลาน ดังนั้นนางจึงรีบจัดการกับมันและเงียบปาก
โจวคายจือที่อยู่ด้านข้างพูดออกมา “นั่นเป็นของที่เทียบได้กับชีวิตของโจวกุ้ยหลาน……”
คนที่อยู่ในครัวเงียบไปครู่หนึ่ง ทุกคนส่ายหน้า พวกเขาไม่คิดถึงความคิดของกุ้ยหลาน กุ้ยหลานจะเป็นคนดีมากหากนำอาหารทั้งหมดที่นางมีออกมาให้พวกเขากิน
ในตอนที่โจวกุ้ยหลานตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นั่นเป็นเพราะเหล่าไท่ไท่ปลุกนาง โจวกุ้ยหลานกินโจ๊กที่เหล่าไท่ไท่นำมาให้ กินไปได้ไม่กี่คำก็ไม่อยากกินมันแล้ว
“มีคนอื่นอยู่ด้วยจึงไม่สะดวกที่จะทำอย่างอื่นให้เจ้ากิน เจ้าคงทำได้แค่กินให้สิ่งที่เหมือนกับพวกข้า เฮ้อ เมื่อไหร่อาการป่วยของเจ้าจะหายเสียที” เหล่าไท่ไท่พูดออกมาด้วยความกังวล
โจวกุ้ยหลานหลับตาลง “แค่นี้ก็พอแล้ว ทุกคนเองก็กินมันเหมือนกัน แม่ ท่านช่วยข้าดูแลรุ่ยหนิงกับรุ่ยอานที อย่างให้พวกเขาออกมาวิ่งเพ่นพ่านด้านนอก”
“หลิวซิวไคกำลังสอนหนังสือพวกเขาอยู่ พวกเขาไม่มีทางวิ่งออกมาเล่นได้”
โจวกุ้ยหลานพยักหน้าและนอนหลับพักผ่อนต่อไป
หลังจากกินอาหารเช้าเป็นที่เรียบร้อย พวกผู้ชายก็นั่งในอ่างน้ำ ใช้ไม้พายออกไปเพื่องมอาหารขึ้นมา
ผ่านไปสองวันแล้ว คนที่จมน้ำตายลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ แต่ตอนนี้ไม่สามารถกู้ศพของพวกเขาขึ้นมาได้ และกลัวการแพร่กระจายของโรค ดังนั้นจึงทำได้เพียงทำเป็นมองไม่เห็น
หลังจากผ่านช่วงเช้าไป พวกเขาสามารถเก็บกู้อาหารได้เป็นจำนวนมาก คนพวกนั้นจึงมีอาหารดี ๆ กินที่บ้านของโจวกุ้ยหลานไปอีกสองวัน
ในที่สุดฝนก็หยุดตก ผู้ชายส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ป่วยออกไปหาอาหาร ตอนแรกก็หาอาหารอยู่ใกล้ ๆ แต่ไม่นานก็ออกไปหาไกลขึ้นเรื่อย ๆ
ยิ่งเวลาผ่านไป จำนวนศพที่ลอยขึ้นมาบนผิวน้ำก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น มีทั้งศพของคนในหมู่บ้าน และศพของหมู่บ้านข้าง ๆ ที่ถูกน้ำพัดมา ตอนแรกดวงตาของพวกที่เห็นก็กลายเป็นสีแดง และหลังจากที่ได้เห็นจนชินพวกเขาก็ทำเหมือนกับมองไม่เห็น
โจวกุ้ยหลานพักผ่อนไปสองวัน ในที่สุดก็ฟื้นไข้ แต่ร่างกายยังไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
หวังโหยวเกินและคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านมาปรึกษากับนางในเรื่องนี้ทุกวัน นั่นเป็นเรื่องที่โจวกุ้ยหลานกังวลใจมากที่สุด ซึ่งมันก็คือเรื่องโรคระบาด
“พวกเราถูกขังไว้แบบนี้ จะต้องเกิดปัญหาขึ้นแน่ จะต้องหาคนไปแจ้งเจ้าหน้าที่” โจวกุ้ยหลานพูดออกมา จากนั้นก็ไอออกมาสองสามครั้ง
ตอนนี้นางเกลียดร่างกายที่อ่อนแอของตนเอง ทำไมถึงไร้ประโยชน์เช่นนี้ หากสวีฉางหลินอยู่……
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางรีบลบความคิดนี้ทิ้งไปจากสมอง จากนั้นพูดออกมาต่อว่า “ข้าได้ยินมาว่าในน้ำมีแต่ศพเต็มไปหมด หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป จะเกิดโรคระบาดขึ้นอย่างแน่นอน”
“งั้น…..งั้นจะทำอย่างไร ? ศพพวกนี้ลอยอยู่ในน้ำมาหลายวันแล้ว !” หวังโหยวเกินเองก็หวาดกลัวเช่นกัน
หากโรคระบาดมา ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางรอด
คนแก่พวกนั้นเคยเห็นโรคระบาดมาตั้งแต่ตอนที่พวกเขายังเด็ก ตอนนี้พวกเขากลัวจนแทบทนไม่ไหว
“นี่ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล หากมีโรคระบาดเกิดขึ้น เกรงว่าพวกเราคงต้องตายกันหมด ! พวกเราจะต้องรีบส่งคนออกไป !”
“แต่ใครจะเป็นคนยอมออกไป ? และก็ไม่รู้ว่าน้ำมันท่วมไปถึงที่ไหน ออกไปมันก็ไม่ต่างอะไรกับตายหรอก ?” หวังโหยวเกินขมวดคิ้วพร้อมเสนอความคิดของตนเองออกมา
ใช่ ด้านนอกอันตรายมาก
“ไม่อย่างนั้นให้ข้าไปไหม ?” โจวต้าไห่พูดออกมา
เหล่าไท่ไท่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบดึงเสื้อของโจวต้าไห่ทันที จากนั้นก็ใช้สายตากับเขา
ภรรยาของโจวต้าไห่เองก็ดึงเสื้อเขาเอาไว้ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความอ้อนวอน
“ให้ข้าไปเถอะ ให้รออยู่ที่นี่ต่อไปมันก็ต้องตายเหมือนกัน” โจวต้าไห่พูดออกมาพร้อมหันไปหาโจวกุ้ยหลาน
เขาเชื่อในตัวน้องสาวของเขา นางพูดถึงโรคระบาดมาโดยตลอด นางจะต้องรู้สึกไม่ดีอย่างแน่นอน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาซึ่งเป็นพี่ชายก็ต้องยอมเสี่ยง
โจวกุ้ยหลานหันมาสบตากับโจวต้าไห่ เมื่อรู้ว่าเขาได้ตัดสินใจแล้วก็พูดออกไปทันทีว่า “ได้ พี่ ท่านไปเถอะ ให้คนในครัวเตรียมอาหารให้ท่านมากขึ้น”
“แบบนั้นไม่ได้ ! จะปล่อยให้เขาไปคนเดียวไม่ได้ !” เหล่าไท่ไท่เป็นคนแรกที่ไม่ยอม
“ไม่อย่างนั้นให้เหล่าซานของข้าไปเป็นเพื่อนเขาไหม หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างทาง อย่างน้อยก็ยังสามารถช่วยเหลือกันได้” หวังโหยวเกินพูดออกมา
คนอื่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าออกมา
ไม่ว่าเหล่าไท่ไท่และภรรยาของโจวต้าไห่จะกังวลมากแค่ไหน แต่ก็ยังต้องช่วยโจวต้าไห่ทำขนมเปี๊ยะอบจำนวนมาก ให้เขาสวมเสื้อกันฝน จากนั้นทำแพไม้ให้กับโจวต้าไห่และลูกคนที่สามของหวังโหยวเกินคนละแพ และส่งพวกเขาออกไป
ผ่านมาหลายวันกว่าโจวกุ้ยหลานจะเดินมาถึงริมน้ำ เมื่อเห็นสถานการณ์บนผิวน้ำ ใบหน้าของนางก็ดูน่าเกลียดขึ้นมาก
หากตั้งใจสูดกลิ่นก็จะได้กลิ่นเหม็นอยู่บ้าง หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปจะต้องเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคจำนวนมาก ตอนนี้พวกเขากินไม่อิ่ม ภูมิต้านทานไม่เพียงพอ เกรงว่าคงจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น !
“ลุงโหยวเกิน ศพพวกนี้จะต้องนำขึ้นมาเพื่อเผาทำลาย ไม่อย่างนั้นอาหารที่อยู่ในน้ำคงไม่สามารถนำมากินได้อีกต่อไป และน้ำเองก็ไม่สามารถดื่มได้”
“พวกเราดื่มน้ำจากบ่อในบ้านของเจ้า” ชายชราคนหนึ่งพูดออกมา
โจวกุ้ยหลานพูดอย่างเหนื่อยใจ “น้ำในบ่อกับน้ำพวกนี้ก็ไม่ได้แยกตัวกันอย่างชัดเจน พวกเราจำเป็นต้องเผาทำลายศพเหล่านี้ให้เร็วที่สุด”
อันตรายเหลือเกิน สภาพแวดล้อมแบบนี้ช่างอันตรายเหลือเกิน