นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 288 เปลี่ยนใจแล้ว
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 288 เปลี่ยนใจแล้ว
“ข้าได้ยินมาว่าโจวกุ้ยหลานเป็นคนพูดเรื่องนี้ขึ้นมา! พวกเจ้าถูกนางหลอกกันหมดแล้ว!” ผู้หญิงคนนั้นตวาด
คนอื่นๆ ยกมือขึ้นเช่นกัน “จริงด้วย! ทั้งหมดเป็นเพราะโจวกุ้ยหลานพูดจาเหลวไหล! พวกเจ้าเผาคนในครอบครัวพวกข้าแล้วยังคิดจะอยู่ดีกินดีในบ้านหลังนี้ต่อไปอีกหรือ”
ว่าแล้วก็คิดจะบุกเข้ามา
สีหน้าของคนที่อยู่ในบ้านซีดเผือด ไม่มีใครเคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อน!
ที่ด้านนอกนั่นมีคนอยู่อย่างน้อยสองสามร้อยคน สีหน้าแต่ละคนล้วนโกรธเกรี้ยว เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจมาก
หวังโหยวเกินกับผู้อาวุโสสองสามคนพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อควบคุมสถานการณ์ให้คงที่ แต่คนเหล่านี้กลับก้าวขาเข้ามาในเรือนแห่งนี้ ถ้าเข้ามาได้จริง เกรงว่าคงจะรักษาเป็ดไก่ในบ้านไว้ไม่ได้เป็นแน่
โจวกุ้ยหลานลูบหน้าผากของตน นางดึงหวังหยู่ชุนที่อยู่ข้างๆ และพูดบางอย่างกับนาง หวังหยู่ชุนได้ยินแล้วส่ายหน้าทันที แต่เมื่อเห็นว่าโจวกุ้ยหลานยืนกราน นางจึงดึงชายเสื้อของตนเองเพื่อให้กำลังใจตัวเอง
“พวกข้าต้องการคนหนึ่งร้อยคนคอยเฝ้าบ้าน จากนั้นจะแจกไก่ให้คนละหนึ่งตัว!”
ทันทีที่ตะโกนออกไป บรรยากาศภายนอกก็ชะงักไปชั่วขณะ
“อย่าไปฟังนาง พวกเราบุกเข้าไปฆ่าไก่กินต้องได้เยอะกว่าแน่! ในบ้านนางน่าจะมีไก่เป็นหมื่นตัว!” ผู้หญิงที่อยู่ด้านหน้าสุดตะโกนอย่างโกรธจัด
ราวกับกำลังรู้สึกได้ถึงอันตราย ไก่ในเล้าจึงส่งเสียงระงม แม้แต่หมูก็ส่งเสียงอู้อี้ออกมา
“เก้าสิบเก้าคน” โจวกุ้ยหลานกล่าว
คนที่อยู่ข้างนอกรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดของโจวกุ้ยหลาน
ถ้าบุกเข้ามาฆ่าไก่จริงๆ ต่อไปก็จะเชิดหน้าชูตาอยู่ในหมู่บ้านไม่ได้อีก
“พวกเจ้าอย่าไปฟังนาง! ไก่ตั้งมากมายขนาดนั้นแต่นางไม่ยอมให้พวกเรากิน ได้แต่มองพวกเราอดตาย!” ผู้หญิงคนนั้นยังคงตะโกน
โจวกุ้ยหลานหรี่ตา “ตอนนี้ต้องการอีกแค่เก้าสิบแปดคน”
จากนั้นจึงหันไปพูดกับหวังโหยวเกินที่อยู่ข้างๆ ทันทีว่า “ท่านอา ถ้ามีคนมาชิงไก่ของข้า หลังจากน้ำลดเมื่อไรข้าจะไปรายงานทางการ ถึงตอนนั้นข้าจะให้พวกเขาชดใช้เป็นที่ดินให้ได้ใช่หรือไม่”
“แน่นอนว่าได้อยู่แล้ว แล้วถ้ามีคนตายก็จะต้องติดคุก” หวังโหยวเกินเข้าใจความหมายของโจวกุ้ยหลานและพยักหน้า
ชายชราที่อยู่ข้างๆ ก็พยักหน้าเช่นกัน
ถ้าปล่อยให้พวกนั้นลงมือตอนนี้ ต่อไปจะต้องมีคนแย่งชิงอาหารกันเองแน่นอน ถึงตอนนั้นคนตายอาจจะมีเยอะยิ่งกว่าตอนนี้
หลังจากได้รับการยืนยันแน่ชัด หวังหยู่ชุนจึงค่อยรู้สึกลำพองใจ “ได้ยินแล้วใช่หรือไม่ ถ้าพวกเจ้ากล้าฆ่าเป็ดไก่ของกุ้ยหลาน พวกเจ้าจะต้องชดใช้เป็นที่ดินของพวกเจ้า!”
เกิดความโกลาหลในกลุ่มคนเหล่านั้นอีกครั้ง ทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยความตกใจ
สตรีผู้นั้นตะโกนโวยวายขึ้นมาอีก และโจวกุ้ยหลานก็ตะโกนมาอีกประโยคว่า “ตอนนี้ต้องการอีกแค่เก้าสิบเจ็ดคน”
พอได้ยินแบบนี้ คนเหล่านั้นก็ไม่สนใจผู้หญิงคนนั้นอีกต่อไป พวกเขารีบยกมือแล้วตะโกนขอเป็นคนเฝ้าบ้าน พอคนหนึ่งยก คนอื่นๆ ก็ทยอยยกมือตาม
เมื่อโจวกุ้ยหลานที่อยู่ด้านนอกได้ยินแบบนี้จึงดึงเสื้อของโจวคายจือ ขอให้นางช่วยเรียกหลิวเกามาช่วยลงทะเบียน
จากนั้นนางกับหวังโหยวเกินกับผู้อาวุโสจึงกลับเข้าไปด้านใน นั่งลงในห้องโถงและเริ่มหารือกัน
“เรื่องที่พูดถึงใบจดหนี้เมื่อครู่นี้ ข้าคิดว่าคงจะไม่ได้แล้ว หากพวกเขาไม่มีเงินแล้วข้ามอบเป็ดไก่เหล่านี้ให้พวกเขา ต่อไปพวกข้าจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร” โจวกุ้ยหลานเริ่มต้นประโยคแรกด้วยการยกเลิกสิ่งที่พูดไว้ก่อนหน้านี้
หวังโหยวเกินกับเหล่าผู้เฒ่ารู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย “กุ้ยหลาน… เราเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันทั้งนั้น ถ้า… ถ้าเจ้ายังรักษาเอาไว้ ต่อไปคนพวกนั้นหิวมากๆ ก็จะมาชิงไปนะ…”
“ข้ารู้ ดังนั้นข้าจึงหาคนเฝ้าเรือน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางพ้นวันนี้ไปได้ สุดท้ายแล้วอาหารตั้งมากมายที่ข้านำออกมาให้ พวกเขาก็ไม่เคยสำนึกถึงบุญคุณของข้าเลย” โจวกุ้ยหลานเอ่ยอย่างเยือกเย็น
ก่อนหน้านี้นางยังอยากจะช่วยเหลือคนเหล่านี้มากๆ แต่ตอนนี้นางเปลี่ยนใจแล้ว
พึงชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ จะตอบแทนบุญคุณไปเพื่ออะไร?
“ตั้งแต่นี้ต่อไป ถ้าอยากกินไก่อยากกินเป็ดก็ไม่มีปัญหา ลงชื่อโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของตัวเองให้เป็นชื่อข้า ข้าจะขายตามราคาก่อนหน้านี้ แล้วพวกเขาก็จะซื้อเป็ดไก่ของข้าตามราคาก่อนหน้านี้ แบบนี้ก็สมเหตุสมผลดี” โจวกุ้ยหลานกล่าว
ในเมื่อคิดจะปล้นของของนาง เช่นนั้นก็ต้องจ่ายและเขียนอะไรเอาไว้ จะปล่อยให้นางสงเคราะห์คนพวกนี้อย่างเดียวก็ไม่ได้มิใช่หรือ
“กุ้ยหลาน! คนที่มาก่อเรื่องมีจำนวนนิดเดียว คนส่วนมากไม่ได้มาด้วยซ้ำ เหตุใดเจ้า… เจ้าจึงบังคับให้พวกเขาไปที่ทางตันเช่นนั้น” ชายชราคนหนึ่งอดตำหนิโจวกุ้ยหลานไม่ได้
โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า “ไม่ ไม่ใช่ว่าข้าบังคับพวกเขา เป็นพวกเขาที่บังคับข้า”
อีกสองสามคนคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นก็หยุดลงไปอีก
เพียงแต่… ชาวนาจะทำอย่างไรถ้าไม่มีที่นา
“กุ้ยหลานเอ๊ย ติดหนี้ไว้มิได้หรือ ถ้า… ถ้าต่อไปมีเงิน ก็ค่อยเอามาจ่ายให้เจ้า?” หวังโหยวเกินแนะนำ
“ได้สิ ต้องมีคนค้ำประกัน ถ้าน้ำลดแล้วไม่คืนเงินให้ข้าภายในหนึ่งปี คนค้ำประกันจะต้องคืนเงินให้ข้า ตอนนี้ในหมู่บ้าน นอกจากคนในครอบครัวของข้าที่ข้าเชื่อใจได้ ก็มีแต่ลุงๆ อาๆ แค่ไม่กี่คน”
โจวกุ้ยหลานกล่าวและกวาดสายตาไปไปยังใบหน้าของคนเหล่านั้น
คนเหล่านั้นสบตากับสายตาของโจวกุ้ยหลานและรีบก้มหน้าลง
ไม่มีครอบครัวไหนอยู่ดีกินดี แล้วยังเจอกับภัยธรรมชาติอีก พวกเขาจะมาเป็นหนีอีกได้อย่างไร
“เมื่อเป็นแบบนี้ก็เป็นอันตกลงตามนี้ ถึงอย่างไรข้าเองก็ไม่รู้ว่าความใจดีของข้าจะเลี้ยงดูหมาป่าใจโหดแบบไหนขึ้นมาอีก” โจวกุ้ยหลานสรุปเรื่องนี้ด้วยประโยคเดียว
หวังโหยวเกินกับผู้อาวุโสสองสามคนรู้สึกเสียใจมาก เมื่อนึกถึงคนนับร้อยที่มาก่อเรื่องก็แทบทนไม่ไหวที่จะก่นด่าสาปแช่งบรรพบุรุษของพวกนั้นไปสิบแปดชั่วอายุคน ถ้าไม่ใช่เพราะคนเหล่านั้นมาก่อเรื่อง กุ้ยหลานก็คงจะให้คนในหมู่บ้านยืมเป็ดไก่เหล่านั้นไปแล้ว ไหนเลยจะให้ใช้ที่ดินมาแลกเปลี่ยนแบบนี้!
“อาๆ ลุงๆ ที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นคนที่ข้าไว้ใจ ถ้าพวกท่านอยากกิน ถึงเวลาก็แค่เขียนใบแสดงหนี้ให้ข้า มีเงินแล้วค่อยนำมาคืนข้าทีหลัง” โจวกุ้ยหลานใช้นิ้วลูบแขนเสื้อพร้อมกล่าวเสริม
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของพวกเขาจึงดูดีขึ้นมาก
สรุปก็คือ แค่ไม่ต้องเอาที่นาของพวกเขาเข้ามาเกี่ยว พวกเขาก็พอใจมากแล้ว
หลังจากทางนั้นลงทะเบียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว หวังโหยวเกินก็ไปบอกเรื่องนี้อีกครั้ง พวกที่ไม่ได้มาพักชั่วคราวที่เรือนมีสีหน้าไม่พอใจ ตะโกนก่นด่าว่าอยากจะเข้ามา
โจวกุ้ยหลานยิ้มเยาะและก้าวมาข้างหน้า ตะโกนเสียงดังว่า “เดิมทีข้าคิดจะให้พวกเจ้ายืมเนื้อไก่ของข้าไปก่อน แต่พวกเจ้ากลับคิดจะฉกชิง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจึงกลัวว่าพวกเจ้าจะกลืนคำพูด ไม่ยอมใช้คืน เรามาแลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียม สำหรับผู้ที่พักชั่วคราวที่เรือนข้า หนึ่งคนจะได้ค่าแรงเป็นไก่หนึ่งตัวต่อห้าวัน ถ้าไม่ยอมรับข้อเสนอนี้ ถึงตอนนั้นข้าก็จะหาคนใหม่”
เกิดเสียงดังอื้ออึงอีกครั้งทันทีที่สิ้นเสียง บรรดาผู้ที่ได้อยู่บ้านชั่วคราวต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก โชคดีที่โชคยังเข้าข้างพวกเขา ตอนนี้ทุกคนจะมีอาหารดีๆ กินแล้ว
ส่วนคนอื่นๆ ต้องขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเมื่อนึกถึงที่ดินของตนและนึกถึงสิ่งที่โจวกุ้ยหลานพูด นึกเกลียดคนที่สนับสนุนพวกเขาเป็นอย่างมาก
โจวกุ้ยหลานรู้สึกทรมานและปวดหัวจนทนไม่ไหว นางแอบขอให้เหล่าไท่ไท่ไปถามพวกที่มาอยู่ชั่วคราวว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไรกันแน่ จากนั้นจึงกลับไปที่ห้อง
หลังจากนางกลับไป หวังโหยวเกินกับคนอื่นๆ จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อนึกถึงโจวกุ้ยหลานที่จัดการเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ได้อย่างง่ายดาย พวกเขาก็รู้สึกเลื่อมใสขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล