นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 290 ในบ้านของเจ้ายังมีอาหารงั้นหรือ
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 290 ในบ้านของเจ้ายังมีอาหารงั้นหรือ
“หลังจากนี้ยังมีเงินอีกนี่! เจ้าได้เงินทุกเดือนมิใช่หรือ เจ้าก็เอาเงินในอนาคตมาให้ข้าซื้อไก่กินสิ!”
“ใครบอกเจ้าว่าพี่สาวของข้าทำงานได้เงินที่นี่” โจวกุ้ยหลานถามเขาอย่างเย็นชา
มีไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ แม้แต่โจวคายจือก็บอกเรื่องนี้กับเขาไม่ได้
ซุนโก่วต้านยิ่งลุกลี้ลุกลนมากขึ้น จากนั้นเขาจึงบอกว่า “คะ… คายจือเป็นคนบอกข้าเอง!”
“หืม? ถ้าอย่างนั้นนางไม่ได้บอกเจ้าหรือ ว่าข้าช่วยชีวิตนางไว้ ต่อไปนางจะไม่รับเงินจากข้าอีก” โจวกุ้ยหลานถามกลับอีกครั้ง จากนั้นจึงเหลือบมองโจวคายจือนิดหนึ่ง
ซุนโก่วต้านตกตะลึง “ว่าไงนะ ไม่รับเงิน? เจ้าโง่เรอะคายจือ มีเงินแต่ไม่รับไว้”
“ข้า… ข้า…” โจวคายจือส่งเสียงอย่างขลาดๆ และไม่ได้พูดอะไร
หลิวเกาที่อยู่ข้างๆ ทนดูไม่ไหวอีกต่อไป “นางไม่รับเงินแล้วยังไง? กุ้ยหลานให้อาหารให้เสื้อผ้าพวกนางแม่ลูก ทั้งยังให้พวกเขาเรียนหนังสือ เช่นนี้นางจะรับเงินได้อย่างไร”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า” ซุนโก่วต้านตวาดหลิวเกาอย่างฉุนเฉียว แต่วินาทีถัดมาก็คิดอะไรขึ้นมาได้และจ้องมองหลิวเกาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง “หรือว่านางจะเอาเงินทั้งหมดให้ชายชู้อย่างเจ้าใช้”
คำว่า “ชายชู้” ทำให้หลิวเกาโกรธจนหน้าแดง เขาศึกษาตำราปราชญ์มานมนาน ไหนเลยจะเคยถูกใครสบประมาทเช่นนี้
“เจ้า! เจ้ามันคนไร้การศึกษาน่าอับอายโดยแท้!”
ซุนโก่วต้านอยากจะพูดต่อ แต่โจวกุ้ยหลานหมดความอดทนที่จะพูดกับเขาอีก ดังนั้นนางจึงหันไปเรียกคนเฝ้าบ้านให้มาลากตัวเขาออกไป
ในเวลานี้โจวคายจือไม่ได้ขอร้องโจวกุ้ยหลานอีกแล้ว นางเพียงแต่ก้มหน้าโดยที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
วันเวลาเช่นนี้ผ่านพ้นไปอีกห้าวัน จนในที่สุดน้ำที่ด้านล่างก็ลดลงเกือบหมด ผู้คนที่อยู่ในถ้ำในภูเขาค่อยๆ ทยอยกลับไปที่บ้านของตน แต่หลังจากกลับไปเห็นสภาพบ้านของตนเอง พวกเขาก็รู้สึกสิ้นหวัง
บ้านหินเหล่านั้นยังอยู่ในสภาพพอรับได้ แต่บ้านไม้แช่น้ำอยู่นานจนไม้เริ่มเน่าเปื่อย เครื่องนอนและข้าวของต่างๆ ก็ใช้ไม่ได้แล้ว เสื้อผ้าอาภรณ์ก็ยุ่ยจนหมด แม้แต่อาหารก็หายไปหมด
พืชผลการเกษตรที่ยังไม่ทันเก็บก็ไม่มีเหลือหลอ หมาแมวตายเกลื่อนอยู่ทุกหนทุกแห่ง นอกจากนี้ยังมีซากศพที่จมน้ำตายและไปติดกับอะไรเข้าจนลากขึ้นมาไม่ได้ พอน้ำลด ทุกอย่างจึงปรากฏขึ้นมาให้เห็น
คนที่รู้สึกมึนชาในตอนแรกเริ่มร้องไห้ออกมาอีกครั้งเมื่อกลับไปที่บ้านของตน
หลังจากทุกคนกลับไปแล้ว โจวกุ้ยหลานจึงค่อยผ่อนคลายลง
ในที่สุดโจวกุ้ยหลานก็มีโอกาสได้อยู่กับเด็กๆ และนางก็ได้เล่นกับสองพี่น้องรุ่ยอานและรุ่ยหนิงตลอดทั้งบ่าย
เมื่อถึงวันต่อมา คนในตระกูลโจวก็ตรวจสมุดบัญชี นำไก่ที่คนเหล่านั้นยังไม่ได้นำไปด้วยออกมานับและส่งไปให้แต่ละบ้านๆ
ที่บ้านของคนเหล่านั้นไม่มีอาหารกิน ดังนั้นแค่มีไก่ให้กินพวกเขาก็พอใจแล้ว
บางคนในหมู่บ้านไปขอยืมอาหารจากญาติๆ ของตน แต่ใครจะไปคิดว่าหมู่บ้านใกล้ๆ ทั้งหมดก็จะประสบภัยพิบัติเหมือนกัน ไม่ว่าบ้านใครก็ไม่มีอาหาร แล้วแบบนี้จะไปยืมได้จากที่ไหน?
ครอบครัวของโจวต้าซานก็ลงจากภูเขาเช่นกัน ทั้งครอบครัวยุ่งกับการทำงาน จนกระทั่งถึงเวลาค่ำ โจวกุ้ยหลานจึงขอให้เอ้อร์เฉียงแบกอาหารกลับไปให้พวกเขาและบอกพวกเขาว่าอย่าบอกคนอื่น
ต้าไห่ยังไม่กลับมา ดังนั้นเหล่าไท่ไท่กับลูกสะใภ้และลูกๆ จึงอยู่บนภูเขากันต่อ
สามวันต่อมา โจวคายจือเปิดประตูและเห็นว่าที่หน้าประตูมีผู้คืนยืนออกันเต็มไปหมด
โจวคายจือก้าวเท้าวิ่งไปที่ห้องของโจวกุ้ยหลานและลากโจวกุ้ยหลานให้ลุกจากเตียง โจวกุ้ยหลานโดนลากมาที่ประตูทั้งที่ยังสะลึมสะลือ แต่เมื่อเห็นผู้คนมืดฟ้ามัวดินที่ด้านนอก ความง่วงเหงาหาวนอนก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” โจวกุ้ยหลานถาม
คราวนี้หวังโหยวเกินยืนอยู่ด้านหน้าสุด
“กุ้ยหลาน ที่บ้านของเจ้ายังมีอาหารงั้นหรือ”
โจวกุ้ยหลานเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ใครบอกพวกท่านเรื่องนี้”
“ใครบอกพวกข้าแล้วยังไง ที่บ้านของพวกเจ้ามีอาหารซ่อนไว้จริงหรือเปล่า” ชายคนหนึ่งเอ่ยอย่างมีโทสะ
โจวคายจือตกใจมากและรีบกลับไปเรียกเหล่าไท่ไท่
หัวใจของโจวกุ้ยหลานจมดิ่ง แค่มองท่าทางของพวกเขานางก็รู้แล้วว่าพวกเขาเชื่อจริงๆ ว่าที่บ้านของนางยังมีอาหารอยู่
“ที่บ้านของข้ายังมีเป็ดไก่แล้วก็หมู ถ้าพวกเจ้าอยากได้ก็เอาเงินมาซื้อ หรือไม่ก็เอาที่ดินมาแลกเปลี่ยน” โจวกุ้ยหลานเอ่ยอย่างเย็นชา
ทันทีที่กล่าวออกไป สภาพที่ด้านนอกก็ยิ่งโกลาหลและมีเสียงดังอื้ออึง
ในเวลานี้นางถอยไม่ได้อีกแล้ว ไม่อย่างนั้นนางคงปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างไว้ไม่ได้ แม้แต่คนก็จะอดตายกันหมด
หวังโหยวเกินและผู้อาวุโสในหมู่บ้านที่เคยปรึกษาหารือกับนางก่อนหน้านี้ เวลานี้พวกเขายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับนางเสียแล้ว
“กุ้ยหลาน ถ้าเจ้ายังมีอาหารก็จงนำออกมาให้หมด ช่วยพวกเราให้ผ่านพ้นความยากลำบากนี้ไปก่อน แล้วหลังจากนี้พวกข้าจะคืนให้เจ้า” หวังโหยวเกินเอ่ยอย่างเย็นชา
ในเวลานี้แก้มของเขาซูบตอบ เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็หิวมาก
“นั่นสิ! ถ้ามีอาหารก็เอาออกมาให้พวกเรา!” คนที่อยู่ด้านนอกร้องตะโกน
ก่อนหน้านี้คิดว่าพอน้ำลดแล้วได้กลับไปบ้านก็จะดีแล้วแท้ๆ แต่กลับไปแล้วกลับยิ่งสิ้นหวัง เวลานี้พวกเขาไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
ความหิวโหยทำให้คนเป็นบ้า
ขณะที่กำลังคุยกันอยู่นั้น เหล่าไท่ไท่กับโจวคายจือก็ออกมา เมื่อเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและสีหน้าที่บ้าคลั่งของคนเหล่านั้น เหล่าไท่ไท่ก็กังวลใจขึ้นมาทันที
วุ่นวายอะไรอย่างนี้! วุ่นวายอะไรอย่างนี้!
เหล่าไท่ไท่จะตื่นตระหนกเหมือนกัน สิ่งที่นางกลัวที่สุดคือการที่ชาวบ้านทั้งหมดมายืนรวมกันเช่นนี้ แบบนี้เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ!
“อย่าว่าแต่ที่บ้านของข้าไม่มีอาหารเลย ต่อให้ที่บ้านของข้ามีอาหาร พวกท่านก็คิดจะมาชิงสินะ คิดจะฆ่าคนงั้นหรือ? ตอนนี้พวกท่านลืมฐานะสามีของข้าแล้วสินะ” โจวกุ้ยหลานขวางอยู่ที่หน้าประตูและเอ่ยกับคนที่อยู่ข้างนอกอย่างโหดเหี้ยม
สีหน้าของทุกคนแข็งค้างเมื่อได้ยินนางพูดถึงสวีฉางหลิน พวกเขารู้ว่าสวีฉางหลินกลายเป็นแม่ทัพไปแล้วและกำลังสู้รบอยู่ด้านนอก
“แต่สวีฉางหลินอยู่ที่ชายแดน อยู่ห่างจากพวกเราไปตั้งไกล! จะไปกลัวพวกนั้นทำไม พวกเราจะอดตายกันอยู่แล้ว!” ผู้หญิงหัวรุนแรงที่ก่อเรื่องวุ่นวายก่อนหน้านี้ตะโกนออกมา ทำให้ผู้คนที่สงบลงไปแล้วรู้สึกเดือดพล่านขึ้นมาอีกครั้ง
สีหน้าของโจวกุ้ยหลานเองก็ไม่สู้ดีนัก
“เข้าไปค้น!” หวังโหยวเกินเอ่ยบางโบกมือส่งสัญญาณให้ทุกคน
คนในหมู่บ้านเคลื่อนไหวและรีบดาหน้าเข้ามาทันที
ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงก่อตัวขึ้นภายในใจ ในเวลานี้โจวกุ้ยหลานไม่มีวิธีจะรับมือเลยแม้แต่น้อย
ขณะที่คนเหล่านั้นกำลังจะถลันเข้ามา จู่ๆ ที่ด้านนอกก็มีเสียงตะโกนอย่างโกรธจัดของผู้ชายคนหนึ่ง “หยุดเดี๋ยวนี้!”
ดวงตาของโจวกุ้ยหลานเป็นประกายวาบเมื่อได้ยินเสียงนี้ ปะ… ไป๋ยี่เซวียนหรือ?
เวลานี้ชาวบ้านดูไม่ต่างอะไรจากคนบ้า มีหรือที่พวกนั้นจะได้ยินเสียงของเขา เวลานี้สิ่งที่พวกนั้นคิดมีแต่เรื่องอาหารเท่านั้น
แต่วินาทีถัดมาก็มีเสียงกรีดร้องดังออกมาจากกลุ่มของฝูงชน ทุกคนหันกลับไปมองและเห็นมีดสีขาววาววับเล่มหนึ่งปักทะลุไหล่ของคนที่อยู่ด้านหลังสุด ขณะที่กำลังตื่นตระหนกก็เห็นชายปากแหลมแก้มตอบคนหนึ่งกำลังถือมีดพร้อมกับรอยยิ้มแสยะ มีดถูกดึงออกไป และชาวบ้านที่ถูกแทงก็ล้มลงกับพื้นพร้อมกับร้องโหยหวนกุมไหล่ที่มีเลือดออกของตนเอง
เมื่อเงยหน้ามอง พวกเขาจึงเห็นว่าที่ด้านหลังมีชายนับสิบคนกำลังยืนถือดาบเล่มใหญ่เอาไว้ ตัวดาบที่วาววับเหล่านั้นทำให้พวกเขาขวัญหนีดีฝ่อ
“ฆะ… ฆ่าไปแล้ว!” ไม่รู้ว่าเสียงนี้เป็นเสียงของใคร แต่ตอนนี้พวกที่คิดจะแย่งอาหารของโจวกุ้ยหลานแข้งขาอ่อนแรงไปแล้ว
“โจรภูเขา! นี่มันโจรภูเขา!” ไม่รู้ว่าใครได้สติและตะโกนออกมาอีกครั้ง
ทั้งชายหญิงและหนุ่มคนแก่ที่ยืนอยู่ที่ประตูล้วนตื่นตระหนก
โจรภูเขาเป็นพวกไม่คิดชีวิตทั้งยังมีมีพร้าอยู่ในมือ แสงเย็นๆ เหล่านั้นเห็นแล้วน่ากลัวจับใจ