นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 291 ซื้อขาย
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 291 ซื้อขาย
ผู้ที่อยู่บนพื้นกรีดร้องและกลิ้งไปกลิ้งมา ทำให้คนอื่นๆ ยิ่งอกสั่นขวัญหาย
โจวกุ้ยหลานมองไม่เห็นด้านหลัง แต่นางรู้ว่าน่าจะเกิดอะไรบางอย่างขึ้น ไม่อย่างนั้นคนเหล่านั้นคงไม่ส่งเสียงอย่างหวาดกลัวเช่นนี้
“เป็ดและไก่เหล่านี้เป็นของพวกข้าทั้งหมด ถ้าไม่อยากตายก็รีบไสหัวไปซะ!” มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
โจวกุ้ยหลานรู้สึกคุ้นหูกับเสียงนั้น ทันใดนั้นบางอย่างก็วาบขึ้นมาในหัว แล้วนางก็ตกตะลึงเบิกตากว้าง
หลังจากนั้นก็มีเสียงอุทานดังขึ้นอีกครั้ง มีเสียงใครอีกคนล้มลงพื้นพร้อมกับเสียงอุทานดังลั่น
ต่อมาก็ได้ยินหวังโหยวเกินออกมาพูดอะไรบางอย่าง แล้วเสียงอันคุ้นเคยก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “ไสหัวไปซะ!”
ทันใดนั้นนางจึงเห็นคนที่มายืนอยู่ที่หน้าประตูแยกย้ายกันออกไป เมื่อชาวบ้านกลับไปจนหมด คนที่อยู่ด้านหลังจึงปรากฏตัวให้เห็น
เมื่อเห็นรอยเลือดที่อาบอยู่บนมีดเล่มใหญ่เหล่านั้น แม้แต่เหล่าไท่ไท่ที่มักจะใช้อำนาจบาตรใหญ่ก็ยังหน้าซีดไปทันที
มีดของคนนับสิบล้วนเปื้อนไปด้วยเลือด คนพวกนี้เป็นพวกฆาตกร!
โจวกุ้ยหลานจำได้แล้ว ว่าผู้ชายหน้าอวบหูโตที่ยืนอยู่หน้าสุดกับผู้ชายปากแหลมคางแหลมก็คือชายสองคนที่สวีฉางหลินเคยจัดการที่โรงเตี๊ยมเทียนเซียงก่อนหน้านี้
นางรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาเป็นโจรภูเขา แต่นางคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะกล้าลงมือฟันคนจริงๆ
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ไป๋ยี่เซวียนที่อยู่ในชุดสีขาวก็เดินมาจากทางด้านหลัง เมื่อเห็นโจวกุ้ยหลาน ริมฝีปากของเขาก็ยกขึ้น ปรากฏเป็นรอยยิ้มส่งมาทางโจวกุ้ยหลาน
โจวกุ้ยหลานใจลอยไปนิดหนึ่ง เขาเป็นคนแรกในรอบหลายวันที่ยิ้มให้นางแบบนี้
“กุ้ยหลาน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ยังคงเป็นเสียงที่อ่อนโยนของไป๋ยี่เซวียนเช่นเคย
ยังไม่ทันที่นางจะตอบกลับ เอ้อร์เฉียงก็รีบวิ่งออกมาจากด้านหลังและหอบหายใจอย่างแรง “โชคดีที่มาถึงทัน!”
โจวกุ้ยหลานพยักหน้าให้เขาและเชิญทุกคนเข้าไปในเรือน
เวลานี้เองที่ไป๋ยี่เซวียนมองเห็นเป็ด ไก่ ห่านรวมถึงหมูของโจวกุ้ยหลานซึ่งกำลังร้องระงม และดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา
“เจ้ายังมีเป็ดไก่มากขนาดนี้เลยหรือ กุ้ยหลาน เกรงว่าเจ้าต้องส่งมาเสียแล้ว!” รอยยิ้มบนใบหน้าของไป๋ยี่เซวียนยิ่งกว้างขึ้น
โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า “ถ้าท่านมาช้ากว่านี้อีกสักนิด เป็ดไก่พวกนี้ก็คงถูกฉกชิงไปหมดแล้ว”
เมื่อวานนี้นางขอให้เอ้อร์เฉียงไปหาไป๋ยี่เซวียนที่ตำบล ถามว่าเขาต้องการสัตว์ปีกหรือไม่ แต่นางไม่คิดว่าเมื่อคืนนี้เอ้อร์เฉียงจะไม่กลับมาทันที นางยังสงสัยอยู่เลยว่าเขาอาจจะหาตัวไป๋ยี่เซวียนไม่พบ ดังนั้นจึงไม่คิดเลยว่าจะพบเจอกับเรื่องแบบนี้ตั้งแต่เช้า
“เป็นเพราะเมื่อวานข้าไม่อยู่ที่บ้าน กว่าจะกลับมาก็กลางดึกแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะได้ยินว่าที่เรือนของเจ้ายังมีสัตว์ปีกอยู่มากมายขนาดนี้!” ไป๋ยี่เซวียนพยายามอย่างเต็มที่เพื่อยับยั้งความปีติภายในใจ
เมื่อวานเขาออกไปข้างนอกเพื่อหาเสบียงอาหาร แต่อาหารของหลายครอบครัวล้วนแช่อยู่ในน้ำ ส่วนคนที่ดูแลไว้อย่างดีก็ไม่ยอมขาย ร้านธัญญาหารที่ใหญ่ที่สุดในตำบลราคาของอาหารสูงขึ้นกว่าเมื่อก่อนหลายสิบเท่า คิดไม่ถึงว่าทันทีที่กลับมาถึงบ้าน เขาจะได้ยินว่าที่บ้านของโจวกุ้ยหลานยังมีสัตว์ปีกอีกจำนวนมาก ทันใดนั้นเขาก็นั่งไม่ติดที่และรีบพาคนมาที่นี่ทันที
เมื่อเขาได้เห็นจำนวนสัตว์เหล่านี้แล้ว โจวกุ้ยหลานจึงพาเขาไปที่ห้องโถงในบ้านที่นางพักอาศัย ส่วนคนอื่นๆ เหล่าไท่ไท่กวักมือเรียกให้เข้าไปในบ้าน แต่คนเหล่านั้นโบกมือบอกว่าไม่จำเป็นและถือมีดเปื้อนเลือดเฝ้าอยู่ที่ลานบ้าน
เมื่อเหล่าไท่ไท่เห็นว่าไม่มีเรื่องอะไรแบบนั้น นางจึงจับไก่สองตัวไปฆ่า หลังจากฆ่าแล้วจึงพาโจวคายจือไปทำอาหารในครัว เอ้อร์เฉียงตัวสั่นเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังยืนอยู่ในลานกับคนพวกนั้น
เมื่อทั้งสองคนมาถึงห้องโถงและนั่งลง โจวกุ้ยหลานจึงพูดคุยกับไป๋ยี่เซวียนประโยคสองประโยค นั่นเองนางจึงรู้ว่าคราวนี้น้ำท่วมหนักมิใช่น้อย แม้แต่ที่ตำบลก็จมน้ำหมด
“เกรงว่าแม้แต่ที่อำเภอก็คงจะท่วมเหมือนกัน เพราะอย่างไรฝนก็ตกอยู่หลายวันมาก” ไป๋ยี่เซวียนนึกถึงโรงเตี๊ยมของตัวเองและส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้
โจวกุ้ยหลานพอจะเดาได้บ้าง “คราวนี้ในอำเภอน่าจะเปิดยุ้งฉางแล้วมิใช่หรือ”
“นั่นก็ไม่แน่” ไป๋ยี่เซวียนกล่าว จากนั้นจึงส่ายหน้าสาวกับว่าคิดถึงอะไรบางอย่าง “เจ้าคิดว่ายุ้งฉางในอำเภอจะยังมีเสบียงอาหารอยู่อีกหรือ”
“เราประสบภัยแล้งครั้งใหญ่มานานสามสี่ปีแล้ว เสบียงอาหารนั้น…” พูดมาถึงตรงนี้ โจวกุ้ยหลานก็ตระหนักได้จากความทรงจำว่าในปีที่มีภัยแล้งนั้น เสบียงอาหารดูเหมือนจะไม่ได้ถูกปล่อยไป และหัวใจของนางก็จมดิ่ง
สุดท้ายแล้วหัวข้อนี้ก็ละเอียดอ่อนเกินไป ไป๋ยี่เซวียนเองก็ไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้ต่อ จากนั้นจึงเอ่ยต่อทันทีว่า “ตอนนี้ถึงมีเงินก็ซื้ออาหารไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกสัตว์ปีกที่จมน้ำตายไปแล้ว บางส่วนก็เน่าเปื่อย เกรงว่าต่อให้รวมกันทั้งตำบลก็ไม่มีเป็ดไก่เยอะเท่าที่บ้านของเจ้า”
“ข้าเองก็โชคดีเหมือนกันที่ได้อาศัยความได้เปรียบจากพื้นที่สูง” โจวกุ้ยหลานไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้
ไป๋ยี่เซวียนคลี่พัดของเขาและพัดช้าๆ เพื่อไล่ความร้อนอบอ้าว
“กุ้ยหลาน เราอย่าพูดวกไปวนมากันอีกเลย ถ้าเจ้าตกลง ข้าจะจ่ายเงินสองตำลึงสำหรับไก่แต่ละตัวของเจ้า”
หากเป็นวันปกติคงไม่มีทางให้ในราคานี้ แต่ในเวลานี้ ราคานี้นับว่าสมเหตุสมผล ยิ่งไปกว่านั้นถ้านางไม่ขายไปตอนนี้ ต่อไปพวกชาวบ้านก็คงจะมาสร้างปัญหากันอีก ถึงตอนนั้นนางก็จะรักษาอะไรไว้ไม่ได้เลย
“ตกลง แล้วเป็ดกับห่านล่ะ” โจวกุ้ยหลานถาม
สัตว์สองชนิดนี้เลี้ยงยากกว่าไก่
ไป๋ยี่เซวียนขมวดคิ้ว “ไก่เหล่านี้ข้าสามารถนำไปทอดขายได้ แต่การทำซุปเป็ดกับห่านต้องใช้เวลามากกว่า…”
ไก่ทอดที่ว่านี้คือสิ่งที่โจวกุ้ยหลานเคยพูดถึง ในช่วงสามปีมานี้ไป๋ยี่เซวียนทำออกมาขายและเป็นที่นิยมมากในหมู่เด็กๆ จากนั้นโรงเตี๊ยมเทียนเซียงจึงขยายตัวใหญ่ขึ้น ถึงขนาดมีร้านจำนวนมากทั้งในอำเภอและมณฑล ยอดขายก็ดีมาก และแน่นอนว่าวัตถุดิบทั้งหมดก็นำเข้ามาจากโจวกุ้ยหลาน ซึ่งทั้งสองคนได้ลงนามไว้ในสัญญา
และด้วยเหตุนี้เอง โจวกุ้ยหลานจึงเลี้ยงเป็ดไก่และห่านได้มากมาย
“เถ้าแก่ไป๋ ท่านหลากข้าอีกแล้ว คนร่ำรวยในตำบลมีอยู่มิใช่น้อย ตอนนี้ถ้าท่านซื้อเป็ดกับห่านไปด้วยและนำไปทำเป็นอาหาร คนเหล่านั้นต้องยอมจ่ายเพื่อให้ได้กินแน่นอน” โจวกุ้ยหลานตอบ
มือของไป๋ยี่เซวียนหยุดชะงักไปนิดหนึ่ง จากนั้นเขาจึงส่ายหัวพร้อมกับยิ้ม “เจ้ายังเจ้าเล่ห์จริงๆ เราทำการค้ากันมาสามปีแล้ว แต่เจ้าก็ยังไม่เคยถอยเช่นเคย”
“ถ้ารู้ว่าท่านทำเงินได้เท่าไหร่ก็ไม่มีทางถอย ท่านว่าจริงหรือเปล่า” โจวกุ้ยหลานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ไป๋ยี่เซวียนพยักหน้าและรู้สึกว่าเขาเองก็ไม่จำเป็นจะต้องยุ่งยากกับเรื่องนี้อีก
“ตกลง ข้าจะซื้อเป็ดและห่านของเจ้าหนึ่งตัวด้วยเงินสองตำลึงครึ่ง ส่วนหมูข้าจะให้ตัวละสิบห้าตำลึง เจ้าเห็นเป็นอย่างไรบ้าง”
“ตกลง” โจวกุ้ยหลานตอบ จากนั้นจึงเริ่มยกนิ้วขึ้นมานับสัตว์ปีกที่เหลืออยู่ตอนนี้ เมื่อนับจนเสร็จ ไป๋ยี่เซวียนจึงหยิบตั๋วเงินปึกหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อของเขาและส่งให้โจวกุ้ยหลาน
โจวกุ้ยหลานรับมานับและพบว่ามีตั๋วเงินทั้งหมดสี่หมื่นตำลึง นางรู้สึกเหมือนตัวลอย นี่นาง… ร่ำรวยแล้วจริงๆ!
“ข้าขายทั้งหมดนี้รวมแล้วแค่สามหมื่นตำลึง ท่านให้มาเกิน” โจวกุ้ยหลานข่มกลั้นอารมณ์และนำตั๋วเงินห้าสิบใบส่งให้ไป๋ยี่เซวียน
ไป๋ยี่เซวียนมองตั๋วเงินที่นางยื่นมาให้ ทว่าเขาไม่รับ
“กุ้ยหลาน หนึ่งหมื่นตำลึงที่เหลือนี้ข้าอยากจะซื้อเสบียงอาหารจากบ้านของเจ้า”
“หลายวันมานี้ชาวบ้านกินอาหารของครอบครัวข้าจนหมดแล้ว ตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว” โจวกุ้ยหลานวางตั๋วเงินไว้บนตักของเขา
ไป๋ยี่เซวียนส่ายหน้า “ไม่มีทาง แต่ละปีเจ้ามักจะนำข้าวเก่าออกมาขายจำนวนมากและซื้อข้าวใหม่กลับไป เป็นไปไม่ได้ที่ข้าวจะหมดเร็วขนาดนี้”