นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 293 เจ้ามีอาหารมากแค่ไหนกันแน่
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 293 เจ้ามีอาหารมากแค่ไหนกันแน่
น่าเสียดายที่นางแต่งงานแล้ว…
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ริมฝีปากของเขาก็เต็มไปด้วยรสชาติอันขมขื่น ทว่าเขาก็ดึงตัวเองกลับมาได้ทันที
เหล่าไท่ไท่ตุ๋นไก่สองตัวพร้อมกับหุงข้าวไว้อีกหนึ่งหม้อใหญ่
ทุกคนมานั่งล้อมวงกันเต็มโต๊ะอาหารและเริ่มรับประทานอาหารกัน จากนั้นจึงขอข้าวอีกสองชามจากเหล่าไท่ไท่ บอกว่าจะนำไปให้พี่น้องที่เฝ้าอยู่ที่เชิงเขากิน
หลังจากกินอิ่ม ทุกคนก็เริ่มจับเป็ดจับไก่วิ่งลงไปจากภูเขา เมื่อจับจนเต็มแล้ว คนเหล่านั้นจึงรีบเคลื่อนรถม้ากลับไปที่ตำบล
ไป๋ยี่เซวียนอยู่แต่ในบ้านและพูดคุยกับเหล่าไท่ไท่อย่างถูกคอ
เหล่าไท่ไท่พอใจเป็นพิเศษกับคนที่มาซื้อของที่บ้านของพวกนาง
เมื่อเห็นว่าคนโหดๆ เหล่านั้นกลับไปแล้ว รุ่ยหนิงจึงวิ่งออกมาอย่างตื่นเต้นด้วยขาสั้นๆ ของเขาและเข้ามากอดขาของโจวกุ้ยหลานอย่างออดอ้อน
“กอดท่านแม่!”
โจวกุ้ยหลานไม่มีทางเลือกและยื่นมือไปอุ้มเด็กดื้อขึ้นมานั่งบนตักของนาง
พอหันไปมองอีกด้านจึงเห็นรุ่ยอานเดินเอามือไพล่หลังออกมาจากห้องอย่างเนิบช้า เมื่อเดินมาถึงตัวโจวกุ้ยหลานก็เงยหน้ามอง เอ่ยเสียงอ้อแอ้ว่า “ท่านแม่อุ้มข้าหน่อยได้ไหม”
โจวกุ้ยหลานรู้สึกขบขัน จากนั้นนางจึงยื่นมือไปอุ้มรุ่ยอานขึ้นมานั่งบนขาอีกข้างหนึ่งของนาง
“เด็กสองคนนี้นิสัยแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยใช่หรือไม่” ไป๋ยี่เซวียนมองเด็กสองคนที่หน้าตาเหมือนกันทุกประการอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า “ดูเหมือนคนหนึ่งจะเหมือนข้า คนหนึ่งเหมือนสวีฉางหลินใช่หรือไม่”
พูดมาถึงตรงนี้ รุ่ยอานก็ดูเหมือนเหมือนผู้ใหญ่ตัวน้อยจริงๆ แต่เขาเหมือนสวีฉางหลินหรือ?
ถึงอย่างไรเขาก็เติบโตมาเคียงข้างนาง นอกจากนี้อายุก็ยังน้อย ดังนั้นจึงย่อมดูผ่อนคลายกว่าสวีฉางหลิน
“ไม่ว่าจะต่างอย่างไรก็ยังติดแม่เหมือนกัน นี่ เจ้าเด็กน้อย เล่นนั่งบนตักแม่ของพวกเจ้ากันหมดแบบนี้ แม่ของเจ้าไม่เมื่อยแย่หรือ มานี่มา มาหายาย!”เหล่าไท่ไท่ว่าพลางเอื้อมมือมาอุ้มรุ่ยหนิงที่อยู่ใกล้นาง
ใครจะไปคิดว่ารุ่ยหนิงจะกอดโจวกุ้ยหลานไว้แน่นด้วยสองมือเล็กๆ ส่งเสียงประท้วงอย่างงอแงว่า “จะกอดท่านแม่!”
เขาไม่ได้กอดแม่มานานแล้ว!
เหล่าไท่ไท่หน้าเคร่ง “เจ้ามันใจร้าย! ยายทำของอร่อยให้เจ้ากินตั้งมากมาย จำไม่ได้แล้วรึ”
“ท่านแม่ ท่านจะทะเลาะกับเด็กๆ ทำไมเจ้าคะ ข้าไม่เหนื่อย ให้พวกเขากอดไว้สักพักก็ได้” โจวกุ้ยหลานตอบด้วยรอยยิ้ม
ต่อให้มีปัญหาหนักหนาแค่ไหน แค่ได้อุ้มลูกชายทั้งสองคนไว้ นางก็มีความสุขแล้ว
ช่วงก่อนหน้านี้นางป่วยหนักมาก นางไม่กล้าส่งต่อสภาพป่วยๆ ไปให้ลูกทั้งสอง ดังนั้นนางจึงหลบเลี่ยงพวกเขามาตลาด บางทีพวกเขาก็อาจจะคิดถึงนางเหมือนกัน
“มีลูกแล้วลืมแม่ เจ้าเองก็ใจร้ายเหมือนกัน!” เหล่าไท่ไท่เอ่ยกับโจวกุ้ยหลานอย่างน้อยใจ
ไป๋ยี่เซวียนมองครอบครัวนี้และเกิดความอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย แค่นึกถึงสถานการณ์ของโจวกุ้ยหลานในตอนนี้เขาก็ทนไม่ได้ คำพูดเหล่านั้นอัดอั้นอยู่ในใจ เขาได้แต่เก็บคำไว้เงียบๆ
เมื่อเห็นว่ามีแขกอยู่ด้วย เหล่าไท่ไท่กับโจวกุ้ยหลานจึงไม่ทะเลาะกันอย่างที่เคยและนั่งคุยกับไป๋ยี่เซวียน
เมื่อนึกถึงกลุ่มคนก่อนหน้านี้ โจวกุ้ยหลานจึงยิ้มและเอ่ยว่า “ท่านทำอย่างไรหรือ โจรภูเขาพวกนั้นจึงฟังท่าน”
ไป๋ยี่เซวียนฉีกยิ้ม “โรงเตี๊ยมไป่เว่ยจ่ายเงินให้พวกนั้นมาสร้างปัญหาที่โรงเตี้ยมของข้าได้ แล้วข้าจะจ่ายเงินให้พวกนั้นมาเฝ้าเรือนบ้างไม่ได้หรือ”
พูดมาถึงตรงนี้ก็ดูเหมือนเขาจะคิดอะไรได้อีก เขาหรี่ตาที่เรียวยาวและเอ่ยว่า “ในช่วงที่วุ่นวายเช่นนี้ โจรภูเขามักจะใช้กำลังสยบผู้คนได้ดีกว่าเสมอ”
“ก็จริง ถ้าพวกนั้นไม่ถือมีดถือดาบ พวกคนในหมู่บ้านก็คงไม่ยอมไป!”
เหล่าไท่ไท่ตอบและนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
โจวกุ้ยหลานคิดและรู้สึกว่าเป็นเช่นนี้เหมือนกัน
พวกที่อยู่ทางนี้ก็คุยกันไป ส่วนทางนั้นก็วิ่งเข้าวิ่งออก วิ่งบรรทุกสัตว์กันอยู่ทั้งวันก็ไม่เสร็จ
ไป๋ยี่เซวียนกับโจวกุ้ยหลานปรึกษาหารือกันครู่หนึ่งและตัดสินใจว่าจะกลับมาบรรทุกกลับในคืนนี้ให้เสร็จ กันไม่ให้ชาวบ้านทนไม่ไหวและกลับมาแย่งชิงอีก จะเป็นการเพิ่มปัญหาโดยเปล่าประโยชน์
อาหารค่ำวันนี้โจวกุ้ยหลานเป็นคนลงมือเข้าครัวเองและจัดอาหารไว้หนึ่งโต๊ะ ทุกคนกินไปพลางพยักหน้าไม่หยุดและบอกว่าอร่อยมาก ไป๋ยี่เซวียนมองอาหารบนโต๊ะซึ่งเป็นอาหารที่ไม่มีในโรงเตี้ยมของพวกเขา เมื่อทุกคนไม่อยู่แล้วเขาจึงถามโจวกุ้ยหลานว่าทำอย่างไร โจวกุ้ยหลานไม่ได้เก็บงำและบอกไปทีละอย่างๆ
ตกดึก โจวกุ้ยหลานจึงพาลูกๆ ไปนอนกับเหล่าไท่ไท่ หลังจากผ่านไปครึ่งคืนโจวกุ้ยหลานจึงตื่นขึ้นมาและพบว่าเหล่าไท่ไท่กำลังพลิกตัวไปมา
“เป็นอะไรหรือเจ้าคะท่านแม่ นอนไม่หลับหรือ” โจวกุ้ยหลานเงยหน้ามองเหล่าไท่ไท่ที่กำลังนอนตะแคงและถามนาง
“ไม่รู้ว่าพี่ชายของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ข้าใจไม่สบายดีเลย”
เหล่าไท่ไท่กล่าวและลุกขึ้นนั่ง นางสางผมของตนและรวบปอยผมเล็กๆ ทั้งหมดไปด้านหลังศีรษะ
โจวกุ้ยหลานเงียบ
พูดถึงเรื่องนี้ โจวต้าไห่ออกไปเกือบจะสิบวันแล้วและยังไม่มีข่าวคราวใดๆ เลย ต่อให้เป็นเมื่อก่อนก็ต้องกังวลอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนที่มีสถานการณ์น้ำท่วมแบบนี้เลย
เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ไม่มีใครกล้านึกถึงมัน และตกดึก เหล่าไท่ไท่ก็นอนไม่หลับอยู่คนเดียว
“ไม่เป็นไรหรอก พี่ชายข้าเป็นคนดวงแข็ง ท่านแม่หลับก่อนเถิด พรุ่งนี้ข้าจะคุยกับไป๋ยี่เซวียน ขอให้เขาส่งคนไปช่วยหา”
เหล่าไท่ไท่ถอนหายใจ สุดท้ายก็ทำได้แค่นี้ ตอนนี้คนในหมู่บ้านพึ่งพาอะไรไม่ได้แล้ว
หลังจากนั้นโจวกุ้ยหลานก็นอนไม่หลับตามไปด้วย นางอยู่ในอาการสะลึมสะลือ ครู่หนึ่งฝันว่าโจวต้าไห่กลับมาแล้ว ครู่หนึ่งฝันว่าสวีฉางหลินกลับมา อีกครู่หนึ่งก็ฝันว่าสวีฉางหลินเสียชีวิตในสนามรบ
นางสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างตกใจ เหงื่อกาฬไหล่ท่วมกาย นางนอนไม่หลับอีกแล้วและตาค้างไปจนกระทั่งรุ่งสาง
นางลุกขึ้นในตอนเช้า เมื่อเปิดประตูออกไปจึงเห็นว่าไป๋ยี่เซวียนกำลังนั่งอยู่ที่ห้องโถง
เมื่อดวงตาดั่งหมีแพนด้าสบตากัน ทั้งคู่จึงเห็นความเหนื่อยล้าในดวงตาของอีกฝ่าย
“ไม่ได้นอนทั้งคืนเลยหรือ” โจวกุ้ยหลานเริ่มต้นประโยคด้วยคำถามนี้
ไป๋ยี่เซวียนส่ายหน้า “ข้าไม่ชินกับการนอนกับคนอื่น”
“เช่นนั้นก็น่าสงสาร ต่อไปถ้าท่านมีภรรยาก็คงจะไม่ต้องนอนแล้ว” โจวกุ้ยหลานหยอกล้ออย่างเป็นกันเอง
ไป๋ยี่เซวียนส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เกรงว่าชั่วชีวิตนี้ข้าคงจะไม่ได้แต่งงานแล้วล่ะ”
ในความมืดนั้น โจวกุ้ยหลานสัมผัสได้ถึงสายตาของเขาที่เหมือนจะจับจ้องมาที่นาง
นางส่ายหน้าและระงับความคิดบางอย่างที่ยากจะอธิบาย “ถ้าท่านสะดวก ท่านช่วยข้าตามหาพี่ชายหน่อยได้หรือไม่ แล้วข้าจะมอบข้าวให้ท่านอีกหนึ่งพันจิน”
ปากของไป๋ยี่เซวียนขยับ แต่สุดท้ายเขาก็กลืนคำพูดกลับไป จากนั้นจึงพยักหน้าและบอกว่า “ตกลง”
นี่เป็นเพียงความสัมพันธ์แบบความร่วมมือที่ใสสะอาดเรียบง่าย
โจวกุ้ยหลานถอนหายใจอย่างโล่งอกและพูดต่อไปว่า “ถ้าหาพบแล้ว ข้าจะมอบข้าวให้ท่านอีกห้าพันจิน”
ตอนนี้ไป๋ยี่เซวียนประหลาดใจมากจริงๆ “ตกลงเจ้ามีอาหารมากแค่ไหนกันแน่”
“ท่านเดาสิ” โจวกุ้ยหลานตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
ขณะที่ไป๋ยี่เซวียนกำลังจะเดาว่านางมีเสบียงอาหารมากมายแค่ไหน เหล่าไท่ไท่ก็เดินออกมาจากห้องและถามไป๋ยี่เซวียนว่า “เหตุใดจึงตื่นเช้านักรึเสี่ยวไป๋”
คำเรียกแบบนี้… ทำให้นางนึกถึงหมาที่ชื่อเสี่ยวไป๋โดยไม่รู้ตัว
จากนั้นไป๋ยี่เซวียนจึงหันกลับไปคุยกับเหล่าไท่ไท่ เมื่อโจวกุ้ยหลานเห็นทั้งคู่คุยกันถูกคอ นางจึงเข้าไปที่ห้องครัวเพื่อทำอาหารเช้าด้วยตัวเอง
วันรุ่งขึ้น เหล่าคนที่อดหลับอดนอนทั้งคืนก็นำรถม้าหลายคันมาถึง หลังจากผ่านไปทั้งวัน ในที่สุดพวกเขาก็นำเป็ดไก่ของนางออกไปจากบ้านจนหมด โจวกุ้ยหลานฉวยโอกาสตอนที่พวกเขาไม่สนใจแอบไปที่ห้องใต้ดินเพื่อขนเสบียงอาหารออกมา หลังจากทำสัญญาเรื่องข้าวกับไป๋ยี่เซวียนเรียบร้อยแล้ว ไป๋ยี่เซวียนจึงค่อยกลับไป